ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 152-2 ดูเหมือนจะผอมไปแล้ว (2)
ตอนที่ 152 ดูเหมือนจะผอมไปแล้ว (2)
“แม่หนูหยวน สมาคมหยวนผิงของเธอ ขนาดฉันตอนนี้ยังรู้แล้ว ระวังพี่ชายเธอรู้เข้าจะตีก้นเอา!”
“ไม่หรอกค่ะ พี่ชายหนูรู้ตั้งนานแล้ว…”
แม้จะพูดไปแบบนั้น แต่ฟางหยวนยังคงร้อนตัว ฟางผิงไม่รู้เรื่องที่เธอเริ่มเก็บค่าสมาชิกแล้ว
ฉันไม่ได้อยากเก็บจริงๆ คนอื่นต่างหากที่ดึงดันจะให้เอง!
เริ่มแรกสมาคมหยวนผิงมีแค่เด็กนักเรียนหญิงของโรงเรียนมัธยมสือเยี่ยนไม่กี่สิบคนเท่านั้น ตอนนี้กลับครอบคลุมไปถึงโรงเรียนมัธยมต้นทั่วหยางเฉิงแล้ว!
ฟางหยวนปวดหัวอยู่บ้าง เธอควรจะบอกฟางผิงดีหรือเปล่าว่าตอนนี้สมาคมหยวนผิงมีสมาชิกสามร้อยคนแล้ว?
“ช่างเถอะ อย่าเพิ่งบอกเลยดีกว่า…”
สาวน้อยพึมพำด้วยใจว้าวุ่น หากฟางผิงรู้ว่าเธอเป็นพี่ใหญ่ของสมาชิกสามร้อยคน คงจะตีเธอตายแน่!
ทุกคนหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ถานเจิ้นผิงไม่หยอกเธออีกแล้ว เด็กน้อยแค่เล่นสนุกเท่านั้น ต้องทำเป็นเรื่องใหญ่ทำไมกัน?
หากฟางหยวนตั้งกลุ่มรวบรวมผู้ฝึกยุทธ์สามร้อยคน นั่นถึงค่อยเป็นเรื่องที่หนานเจียงควรจับตามอง
แต่นักเรียนมอต้นสามร้อยคนนั้น…
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งกลุ่มสู้รบคงสามารถจัดการพวกเธอได้ง่ายดายราวกับหั่นแตงโม
“จื้อหาว ใกล้จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้วสินะ?”
ถานเจิ้นผิงไม่สนใจฟางหยวนอีกแล้ว เอ่ยถามอู๋จื้อหาวขึ้นมาแทน
อู๋จื้อหาวยิ้มแหย “ยังหรอกครับ ปราณแตะถึงหนึ่งร้อยสี่สิบห้าแคลแล้ว แต่ยาบำรุงสำหรับทะลวงด่านยังไม่พร้อม ทั้งฟางผิงแนะนำพวกเราว่าทางที่ดีควรหลอมกระดูกสองครั้งแล้วค่อยทะลวงด่าน หรือหากไม่สามารถหลอมสองครั้งได้ ก็ควรทำให้ปราณสูงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จบเทอมหน้าแล้ว ยังต้องพึ่งโชคว่าจะทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้หรือเปล่า”
“พี่จื้อหาวยังไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์งั้นเหรอ?”
ฟางหยวนถามอย่างประหลาดใจ อู๋จื้อหาวเผยสีหน้าขื่นขม คำพูดของเด็กน้อยไม่อาจถือสาได้ เจ้าตัวแสบจะไปเข้าใจอะไร!
ผู้ฝึกยุทธ์เป็นกันง่ายๆ ซะที่ไหน!
พี่ชายเธอกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว เธอคิดว่าคนที่เข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จะสามารถเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ทุกคนหรือไง?
หยางเจี้ยนที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างแปลกใจ “ตอนนี้ฟางผิงคงจะหลอมกระดูกเสร็จไปข้างหนึ่งแล้วสินะ?”
“ไม่รู้สิ แต่มีโอกาสสูง ทรัพยากรของเซี่ยงไฮ้นั้นมีเยอะกว่าพวกเรา”
“ถูกของนาย เฮ้อ พวกเรายังกลัดกลุ้มเรื่องทำให้ปราณถึงจุดสูงสุด เขากลับหลอมกระดูกเสร็จไปข้างหนึ่งแล้ว ระยะห่างนี้นับวันก็ยิ่งไกลกันขึ้นเรื่อยๆ!”
ทุกคนต่างถอนหายใจ ถานเจิ้นผิงกลับคาดการณ์ได้ถึงบางอย่าง ฟางผิงเนี่ยนะจะหลอมเสร็จแค่ข้างเดียว?
เด็กคนนั้นกลับมาเดือนตุลาบอกว่าฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดไปแล้วสองคน
หากเป็นอย่างนั้นจริงๆ คงเป็นพวกที่โดดเด่นในหมู่นักศึกษาเซี่ยงไฮ้ ไม่แน่ว่าอาจจะหลอมกระดูกข้างหนึ่งเสร็จไปตั้งนานแล้ว
พวกเขาพูดคุยกันอีกสักพัก ก่อนจะเอ่ยถึงเรื่องการแข่งขันแลกเปลี่ยนขึ้นมา
“การแข่งขันแลกเปลี่ยนทั่วประเทศครั้งนี้ไม่รู้ว่าทีมพันธมิตรมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั่วไปจะเอาชนะได้หรือเปล่า อาจารย์พวกเราบอกว่า หากชนะปีหน้าพวกเราจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แต่ถ้าแพ้ก็ต้องก้มหน้าก้มตาฝึกวิชาอย่างยากลำบากต่อไป เฮ้อ อยากให้ชนะได้จริงๆ!”
ถานเจิ้นผิงกลับสงสัยอยู่บ้าง ถามว่า “ครั้งนี้มหาวิทยาลัยหนานเจียงมีคนเข้าร่วมการแข่งขันหรือเปล่า?”
“ไม่รู้เหมือนกันครับ” อู๋จื้อหาวส่ายหัวด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “ตอนนี้รายชื่อผู้เข้าแข่งขันถูกเก็บเป็นความลับ แต่ได้ยินว่าเซี่ยงไฮ้และปักกิ่งเหมือนจะกำหนดออกมาแล้ว ก่อนหน้านี้สองมหาลัยชื่อดังมีการแข่งขันอุ่นเครื่องกับมหาวิทยาลัยอื่น ผมได้ยินอาจารย์พวกเราบอกว่า เหมือนทีมของสองมหาลัยชื่อดังนั้นเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดทั้งหมด!”
หยางเจี้ยนเอ่ยอย่างอิจฉา “ขั้นหนึ่งสูงสุดน่าอิจฉาจริงๆ กว่าพวกเราจะถึงจุดนั้นได้ คงต้องปีสามปีสี่เป็นอย่างต่ำสินะ?”
แม้ว่าพวกเขาจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ในปีหนึ่งเทอมหน้า แต่อยากจะหลอมกระดูกให้ได้หกสิบสองชิ้นขึ้นไป ไม่มีทรัพยากรสนับสนุน คงทำได้เพียงรับภารกิจเล็กน้อยเพื่อหาเงินเท่านั้น
อัจฉริยะของเซี่ยงไฮ้สามวันหลอมกระดูกได้หนึ่งชิ้น พวกเขากลับต้องใช้เวลาสิบวันหรืออาจจะมากกว่านั้น!
รอจนหลอมกระดูกเสร็จแล้วคงจะล่วงเลยไปเกือบสองปีพอดี
“ขั้นหนึ่งสูงสุด…”
ถานเจิ้นผิงพึมพำ เขาใช้ชีวิตมาหลายปี ก็อยู่แค่ขั้นหนึ่งสูงสุดเท่านั้น
เด็กๆ พวกนี้ บางคนยังอายุน้อยกว่าลูกชายของเขาเสียอีก
แต่คนพวกนี้ล้วนตามเขาทันหมดแล้ว
ตอนนี้ฟางผิงไม่อยู่ ทั้งไม่ทราบถึงความคิดของเขา ไม่งั้นในใจคงจะพูดโจมตีออกมาอีกหลายประโยค
ขั้นหนึ่งสูงสุดของเซี่ยงไฮ้นั้น ไม่ใช่สิ่งที่ถานเจิ้นผิงเทียบได้จริงๆ
ไม่พูดถึงเรื่องเคล็ดวิชา แต่เอาแค่ปราณก่อน
ตอนนี้สิบคนในทีมเซี่ยงไฮ้ แม้จะเป็นหลี่จ้าวซวี่ที่อ่อนแอที่สุด ยังไม่ถึงขั้นหนึ่งสูงสุด ปราณกลับแตะที่สองร้อยห้าสิบแคลแล้ว
หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุด จ้าวเสวี่ยเหมยที่ถือว่าปราณต่ำยังปาไปกว่าสองร้อยแปดสิบแคล
ส่วนพวกฟู่ชางติ่งนั้นพุ่งถึงสามร้อยแคล
ฟางผิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างไม่มีเบื่อ รอจนฟางหยวนงีบหลับตื่นขึ้นมา รถไฟก็มาถึงสถานีพอดี!
—
สถานีรถไฟ
ฟู่ชางติ่งหาวหวอด เอ่ยอย่างเบื่อหน่าย “ยังไม่ถึงเหรอ?”
จ้าวเสวี่ยเหมยเอ่ยอย่างสงสัยเช่นกัน “ฟางผิง กลุ่มเครือญาติของนายมีเยอะจริงๆ ต้องขับรถมารับถึงสามคัน”
“กลุ่มเครือญาติอะไรกัน” ฟางผิงเอ่ยอย่างจนใจ “ครอบครัวฉันไม่รู้เรื่องที่ฉันจะเข้าร่วมการแข่งด้วยซ้ำ มีแค่น้องสาวที่อยากมาดูความครึกครื้น ส่วนคนอื่นๆ เป็นเพื่อนสมัยมอปลายของฉันทั้งหมด”
“ครอบครัวนายไม่รู้?”
ฟู่ชางติ่งเอ่ยอย่างตกใจ “งั้นถ้านายถูกคนฆ่าตาย…”
“ไสหัวไปไกลๆ!”
“แค่กๆ ฉันหมายถึงเรื่องใหญ่ขนาดนี้ นายไม่บอกกล่าวกับครอบครัวหรือไง?”
“พ่อแม่ของฉันเป็นคนธรรมดา จะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ง่ายๆ ที่ไหน ถ้ารู้ว่าฉันขึ้นเวทีประลอง คงจะตกใจกันใหญ่ ฉันและพวกนายไม่เหมือนกัน ครอบครัวของพวกนายมีผู้ฝึกยุทธ์อยู่ คุ้นชินเรื่องพวกนี้แล้ว…”
ได้ยินเขาพูดแบบนี้ จู่ๆ ฟู่ชางติ่งก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “นายไม่พูดขึ้นมา ฉันยังจะนึกไม่ออก คิดมาตลอดว่าฉันเป็นยาจก ส่วนพ่อนายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก ตอนนี้มาคิดดู เหมือนว่าปู่ฉันต่างหากที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก พวกเราสองคนต้องมีอะไรผิดพลาดไปแน่ๆ?”
ฟางผิงแค่นหัวเราะ “นี่หมายความว่านายโง่ไง ไม่มีสาเหตุอย่างอื่น”
“ไอ้เวร ฉันชักสงสัยขึ้นมาแล้ว นายเอาเงินมาจากไหนมากมาย คงไม่ได้ปล้นมาหรอกนะ?”
ฟางผิงเจ้าหมอนี้มีเงินจริงๆ อย่างน้อยก็ไม่เคยเห็นเขากลัดกลุ้มเรื่องยาบำรุงสักครั้ง กลับกันยังเอาไปขายข้างนอกตั้งเยอะแยะ
ฟางผิงรู้ว่าเรื่องนี้มีช่องโหว่เช่นกัน แต่ตอนแรกเป็นเพราะเขารีบใช้เงินจึงไร้หนทาง ตอนนี้ได้ฟังค่อยเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน “นายอย่าไปบอกคนอื่นนะ จริงๆ แล้ว ตั้งแต่เด็กฉันถูกปรมาจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่งถูกชะตา เขาบอกว่ากระดูกฉันมีความพิเศษ โตไปจะสามารถเป็นผู้กอบกู้โลกได้ ดังนั้น…”
“จริงเหรอ?”
ฟางผิงพูดขนาดนี้ ฟู่ชางติ่งกลับทำสีหน้าจริงจัง “เป็นปรมาจารย์ขั้นเก้าจริงๆ เหรอ?”
ตอนแรกจ้าวเสวี่ยเหมยไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง พอเวลานี้เห็นฟู่ชางติ่งไม่มีแววล้อเล่น จึงอดเอ่ยไม่ได้ “หยางเฉิงมียอดฝีมือขั้นเก้าซ่อนอยู่จริงๆ เหรอ? หรือหวังจินหยางจะเป็น…”
ฟางผิงอึ้งไปเล็กน้อย นี่มันเรื่องอะไรกัน แค่นี้ก็เชื่อ?
เป็นเพราะฉันแสดงเหมือนเกินไปหรือพวกนายสองคนโง่เกินไปกัน!
แต่ไม่แปลกที่พวกเขาจะเชื่อเช่นกัน เมืองเล็กๆ อย่างหยางเฉิง ให้กำเนิดเด็กหนุ่มที่แข็งแกร่งออกมาติดต่อกันถึงสองคน
ฝีมือของฟางผิงอาจจะยังอ่อนด้อย แต่เขามีชาติกำเนิดจากครอบครัวธรรมดา กลับสามารถโดดเด่นเหนือเด็กใหม่ของเซี่ยงไฮ้ได้
มองจากจุดนี้ มีปรมาจารย์ถูกชะตาฟางผิง ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
บางทีขั้นเก้าฟางผิงอาจจะโม้ขึ้นมา แต่หากเป็นปรมาจารย์ขั้นเจ็ดคิดว่าฟางผิงมีอนาคตไกลจึงอบรมเลี้ยงดูเขา ไม่ถือว่าแปลกจริงๆ
ฟางผิงไม่รู้ว่าควรจะโกหกต่อไปยังไง?
ฉันจะพูดแค่นี้ละกัน!
แต่พอเห็นท่าทีจริงจังของทั้งสองคน ฟางผิงจึงเอ่ยด้วยยิ้มแห้งๆ ว่า “พูดละเอียดกว่านี้ไม่ได้แล้ว พวกนายทำเป็นว่าไม่ได้ยินละกัน”
“ได้ งั้นพวกเราจะไม่ถามแล้ว เรื่องนี้ยังห่างไกลจากพวกเรามาก”
เรื่องเกี่ยวกับปรมาจารย์ ทั้งสองคนไม่คิดซักไซ้อีก แค่มีคำปลอบใจให้ตัวเองได้หน่อย
ก็ว่าแล้วทำไมฟางผิงถึงแข็งแกร่งกว่าตัวเอง ที่แท้มีปรมาจารย์แอบเลี้ยงดูอยู่ นี่หมายความว่าพวกเราไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่!
ทั้งสามคนเปลี่ยนเป็นคุยเรื่องอื่นสักพัก แววตาของฟางผิงพลันสดใสขึ้นมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ถึงแล้ว!”
ด้านหน้า พวกถานเจิ้นผิงเดินออกมาจากสถานี ฟางหยวนเพ่งสายตามองมาจากไกลๆ เอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ฟางผิง ฉันอยู่นี่!”
ฟางผิงเผยสีหน้าไม่ดีเท่าไหร่ ดูเหมือน…ดูเหมือนจะผอมไปแล้ว!
————————