ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 165 การแข่งรอบตัดสิน (1)
ตอนที่ 165 การแข่งรอบตัดสิน (1)
เย็นของวันที่สิบสี่
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้
ถังเฟิงยืนมองหน้าทุกคน เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พรุ่งนี้คือการแข่งรอบตัดสิน ทั้งถือเป็นการแข่งขันครั้งสุดท้าย!”
“ใครจะลงสนาม ไม่ลงสนาม ทุกคนเสนอความคิดเห็นได้?”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา การแข่งขันครั้งสุดท้าย เลือกคนลงสนามยากจริงๆ
ตอนนี้ยังเหลือคนที่ไม่ได้ลงสนามอีกเยอะ มักจะมีคนที่ไม่มีโอกาสได้แตะการประลอง
ลงสนามหมายถึงความอันตราย แต่ในเมื่อเข้าทีมแล้ว กระทั่งโอกาสลงสนามครั้งสุดท้ายยังไม่มี นั่นคงเป็นความเสียดายอย่างยิ่ง
จ้าวเหล่ยเอ่ยอย่างไม่ลังเล “อาจารย์ครับ ผมอยากลงสนาม!”
ฟางผิงเบะปาก พึมพำว่า “ให้โอกาสคนอื่นบ้างสิ”
จ้าวเหล่ยหน้าเขียวคล้ำไปหมดแล้ว
ให้โอกาสใคร?
มาจนถึงตอนนี้ฉันยังแม่งไม่มีโอกาสเผยหน้าค่าตาตัวเองด้วยซ้ำ ต้องให้โอกาสใครอีก หากให้โอกาสคนอื่น ครั้งนี้คงกลับไปมือเปล่าแล้ว
จ้าวเหล่ยเป็นนักเรียนที่สอบเข้าเซี่ยงไฮ้ได้ด้วยคะแนนอันดับหนึ่ง ทั้งเป็นคนที่มีความสามารถโดดเด่นในหมู่นักศึกษาใหม่
แม้จะไม่ใช่ลูกศิษย์ของถังเฟิง ถังเฟิงก็ไม่อาจปฏิเสธคำขอร้องของเขาได้
ฟังจบจึงพยักหน้าว่า “ได้ นับเธอเป็นหนึ่ง”
“อาจารย์ ผมอยากทุ่มเทเพื่อมหาวิทยาลัยเช่นกัน!”
“ได้ จินเหล่ยอีกหนึ่ง”
“อาจารย์ ผมอยาก…”
ฟู่ชางติ่งยังไม่ทันพูดจบ ถังเฟิงครุ่นคิดพักหนึ่งเอ่ยออกมาว่า “ฟู่ชางติ่ง อาการของเธอยังไม่หายดี เอาโอกาสให้คนอื่นดีกว่า”
“ผม…”
ฟู่ชางติ่งเผยสีหน้าหม่นหมอง เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “อาจารย์ หากจู่ๆ ทีมปักกิ่งคิดแผนร้ายอะไรขึ้นมา ผมไม่ลงสนามรอบสุดท้าย พวกเราจะเป็นอันตรายได้นะครับ”
ถังเฟิงชำเลืองตามองเขาไปที นักศึกษาของเซี่ยงไฮ้มั่นใจไม่น้อยหน้ากันเลยจริงๆ
“อาจารย์ครับ…”
“ได้ จ้าวเหล่ย จินเหล่ย สวีอี้ข่าย หลี่จ้าวซวี่ทั้งสี่คนลงสนาม ฟางผิงรั้งท้ายทัพ”
สุดท้ายถังเฟิงจึงกำหนดตัวผู้เข้าแข่งขันออกมา เฉินอวิ๋นซีที่อยู่ด้านข้างเผยใบหน้าแดงก่ำ พูดอึกอักว่า “อาจารย์คะ ฉัน…”
ถังเฟิงมองเธอพักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “เฉินอวิ๋นซีคอยรับผิดชอบงานเบื้องหลังให้ทุกคนแล้วกัน”
“อาจารย์คะ…”
เฉินอวิ๋นซีดวงตาแดงก่ำ แทบจะร้องออกมารอมร่อ
ฟู่ชางติ่งเอ่ยอย่างเป็นเดือดเป็นร้อนแทน “อาจารย์ครับ นี่ไม่ค่อยเหมาะสมเท่าไหร่? ไม่ว่าจะพูดยังไง เฉินอวิ๋นซีก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุด…”
“ขึ้นไปบนสังเวียน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดที่ไม่กล้าต่อสู้ เลือกขั้นหนึ่งตอนปลายยังจะดีกว่า!”
ฟู่ชางติ่งไม่มีอะไรจะพูดแล้ว พึมพำสักพักก่อนจะเงียบไป
เฉินอวิ๋นซีกัดฟันว่า “อาจารย์ ฉันไม่กลัวการต่อสู้ค่ะ!”
“เธอไม่กลัว? ใช่สิ พอเธอขึ้นไปบนเวทีจริงๆ อาจจะไม่กลัว แต่เป็นฝ่ายเอ่ยปากขอลงสนาม กับเป็นฝ่ายถูกกระทำบนเวที นี่ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน!”
ถังเฟิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “หากคนไม่พอ เธอคงสามารถขึ้นเวทีได้ แต่ในเมื่อได้คนครบแล้ว เธอก็ไม่จำเป็นต้องขึ้นเวที”
“ฉัน…”
ฟางผิงเห็นเฉินอวิ๋นซีแทบจะร้องไห้ออกมา จึงเอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “เรื่องง่ายๆ เหมือนจ้าวเสวี่ยเหมยไง ท้าสู้ตัวต่อตัวกับจ้าวเหล่ยสิ กำราบจ้าวเหล่ยได้ เธอขึ้นเวที อาจารย์ครับ แบบนี้คงใช้ได้ใช่หรือเปล่า?”
จ้าวเหล่ยใบหน้าดำคล้ำ ทำไมต้องเป็นฉันล่ะ!
ในนี้ยังมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งตอนปลายตั้งสามคน!
ถังเฟิงกวาดสายตามองฟางผิง ก่อนจะมองไปทางเฉินอวิ๋นซี “วิธีของฟางผิงใช้ได้เหมือนกัน ถ้าเธออยากขึ้นเวทีจริงๆ สามารถท้าคนใดคนหนึ่งในนี้ประลองได้!”
“จ้าวเหล่ยก็พอแล้ว เฉินอวิ๋นซี อย่าไปกลัว!” ฟางผิงเป่าหูอีกประโยค
ฟู่ชางติ่งเผยสีหน้าราวกับกำลังดูเรื่องสนุกเช่นกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อวิ๋นซี จะท้าประลองก็ควรท้าจ้าวเหล่ย ถึงจะสามารถแสดงฝีมือของเธอได้ ไม่ต้องกลัว พวกเธอบาดเจ็บ พวกเราก็ไม่ขาดคนอยู่แล้ว”
แม้จ้าวเหล่ยจะได้รับบาดเจ็บ แต่ฟู่ชางติ่งยังอยู่ ทั้งสองแพ้ยับเยินทั้งคู่ถึงจะดีที่สุด เขาจะได้มีโอกาสขึ้นเวทีอีกครั้ง
ตอนนี้จ้าวเหล่ยอยากจะทุบกำหมัดใส่สองคนนี้ให้ตาย!
ฉันแม่งไปทำผิดอะไรกัน?
ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้แทบยังไม่ได้ทำอะไรเลย พอขอโอกาสครั้งสุดท้ายมาได้อย่างยากลำบาก พวกนายสองคนกลับจะเล่นงานฉันอีก?
เห็นเฉินอวิ๋นซีลอบมองตัวเอง คล้ายกับจะคล้อยตาม จ้าวเหล่ยจำต้องออกปากว่า “เฉินอวิ๋นซี หากพวกเราบาดเจ็บก่อนการแข่งขัน…”
“ไม่เป็นไร ฉันอยู่ท้ายทัพ แพ้ไม่ได้หรอก” ฟางผิงพูดตัดบท
“ฟางผิง!”
จ้าวเหล่ยกัดฟันแน่น แค้นเคืองอย่างมาก
ข่มกลั้นโทสะไว้ในใจ จ้าวเหล่ยเอ่ยออกมาอีกครั้ง “ไม่ใช่ว่าฉันไม่กล้ารับคำท้า! แต่พรุ่งนี้ต้องลงสนาม ฉันขึ้นชื่อว่าเป็นสมาชิกทีมหลัก ไม่ว่าจะยังไงการแข่งขันรอบตัดสินก็ควรต้องลงสนาม!”
เขาแสดงท่าทีออกมาแล้ว หากเฉินอวิ๋นซีจะท้าประลองเขาจริงๆ อย่าโทษว่าเขาลงมือไร้ความเมตตาละกัน
เฉินอวิ๋นซีเริ่มลังเล เบนสายตาไปยังทั้งสามคน
พวกหลี่จ้าวซวี่ตื่นเต้นอยู่บ้าง พวกเขาเป็นแค่ขั้นหนึ่งตอนปลาย หากประลองกับเฉินอวิ๋นซีจริงๆ มีโอกาสสูงที่จะแพ้
พวกเขาไม่เคยลงสนามเช่นกัน เป็นเรื่องยากที่จะซัดปักกิ่งจนยับเยินมาถึงรอบตัดสิน ตอนนี้มีโอกาสให้ทุกคนแล้ว ไม่อาจลงสนามคงเป็นเรื่องน่าเสียดาย
จ้าวเหล่ยเห็นอย่างนั้นจึงพูดว่า “อาจารย์ครับ ผมคิดว่าฟางผิงไม่ต้องลงสนาม…”
ฟางผิงแค่นเสียงขึ้นจมูก เอ่ยว่า “ได้สิ นายรั้งท้ายทัพแทน ฉันยังไงก็ได้ หากแพ้ขึ้นมาจริงๆ มหาวิทยาลัยจะมาโทษว่าพวกเราไม่พยายามไม่ได้เชียว หานซวี่มีความสามารถในการรบ จ้าวเหล่ยเอาชนะหานซวี่อย่างสบายๆ ได้งั้นเหรอ? หากแพ้แล้ว…”
ถังเฟิงไม่สนใจความคิดของจ้าวเหล่ยเช่นกัน หากฟางผิงไม่ลงสนาม สุดท้ายเซี่ยงไฮ้ถูกคนพลิกสถานการณ์เอาชนะ อธิการบดี และคณบดีคงฉีกเขาเป็นชิ้นๆ
เฉินอวิ๋นซีไม่คิดจะท้าประลองกับฟางผิงเช่นกัน กวาดสายตาไปยังทั้งสามคน จู่ๆ ก็หยุดที่จินเหล่ย “อาจารย์คะ ฉันอยากท้าประลองกับจินเหล่ย!”
จินเหล่ยเผยสีหน้าแห้งเหี่ยวทันที
แม่งเหอะ ทำไมถึงเลือกฉันกัน!
ถ้าเลือกฉันเป็นสามี ฉันคงจะดีใจหรอก
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ไง!
เขามองถังเฟิงอย่างจนใจอยู่บ้าง ถังเฟิงกลับไม่สนใจ เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “จินเหล่ย เธอประลองกับเฉินอวิ๋นซี”
“ครับ!”
จินเหล่ยทำได้เพียงเดินออกมา เผยสีหน้าหดหู่อยู่บ้าง
เฉินอวิ๋นซีทำหน้ารู้สึกผิดเช่นกัน เอ่ยเสียงเบาว่า “ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร มาเถอะ”
ยังไงจินเหล่ยก็เป็นผู้ชาย แม้ในใจจะไม่ยินดี ตอนนี้กลับไม่อาจพูดอะไรได้
เขาเพิ่งพูดจบ เบื้องหน้าพลันปรากฏขาเรียวยาววาดเข้ามาหาจุดสงวนเขาทันที!
“ให้ตายเถอะ!”
—
“พวกผู้หญิง!”
“น่ากลัวชะมัด!”
ฟู่ชางติ่งและฟางผิงร้องประสานเสียง หวาดผวาจนตัวสั่นอยู่บ้าง ผู้หญิงพวกนี้เป็นอะไรกันไปหมด!
พวกจ้าวเหล่ยมุมปากกระตุกเช่นกัน รูปแบบการต่อสู้ของเซี่ยงไฮ้แย่เกินไปแล้ว
อัดหน้า เล็งจุดสงวน โขกหัว…
นี่มันวิธีการอะไรกัน!
ยังไงเฉินอวิ๋นซีก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดที่หลอมกระดูกสองครั้ง หากประมือกันจริงๆ จินเหล่ยที่อยู่ขั้นหนึ่งตอนปลายย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้
หลังจากปัดป้องลูกเตะที่เล็งจุดสงวนหลายครั้ง จินเหล่ยจึงจำเป็นต้องตะโกนออกมา “ฉันยอมแพ้!”
ตะโกนยอมแพ้แล้ว หน้าผากของจินเหล่ยมีเหงื่อผุดพรายเต็มไปหมด มองไปทางเฉินอวิ๋นซีอย่างไม่มีทางเลือก
เฉินอวิ๋นเผยสีหน้ารู้สึกผิดออกมาอีกครั้ง “จินเหล่ย ขอโทษ…”
“ไม่…ไม่เป็นไร…”
จินเหล่ยยิ้มขื่น ฉันยังจะทำอะไรได้อีก?
ไม่ใช่คู่ต่อสู้ สู้ไม่ได้ ทั้งกลัวว่าจะถูกโจมตีจนใช้การไม่ได้ ทำได้เพียงยอมแพ้
ถังเฟิงมองอยู่สักพัก ก่อนเอ่ยว่า “งั้นก็เป็นพวกเธอห้าคน ฟางผิงรั้งท้าย จ้าวเหล่ยนำทัพ”
ฟางผิงกลับเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย “อาจารย์ ผมคิดว่าให้จ้าวเหล่ยและผมรั้งท้ายด้วยกันจะเหมาะกว่า เปิดโอกาสให้คนอื่นๆ ได้ฝึกฝน จ้าวเหล่ยแข็งแกร่งขนาดนี้ ถ้าเขาชนะรวดขึ้นมา คนอื่นๆ คงไม่มีโอกาสลงสนามแล้ว? ผมว่าให้หลี่จ้าวซวี่นำทัพ สวีอี้ข่ายลำดับสอง เฉินอวิ๋นซีลำดับสาม จ้าวเหล่ยลำดับสี่…”
หน้าของจ้าวเหล่ยดูแทบไม่ได้ ทีมปักกิ่งยังมีอีกกี่คนที่สามารถต่อสู้ได้กัน?
เขาอยู่ลำดับสี่ จะมีโอกาสขึ้นเวทีจริงๆ น่ะเหรอ?
กลับนึกไม่ถึงว่าครั้งนี้ถังเฟิงจะไม่คัดค้าน ครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนพยักหน้าว่า “แบบนี้ก็ได้ ไม่ใช่ว่าประเมินปักกิ่งต่ำไป แต่หานซวี่ยังมีความสามารถในการต่อสู้ คนอื่นๆ…อาจจะลงสนามด้วยเหมือนกัน รวมถึงหลี่หรานและจางเจิ้นกวงที่บาดเจ็บในวันนี้”
“พวกเขายังจะลงสนามอีก?”
ฟู่ชางติ่งถอนหายใจว่า “อึดเหมือนแมลงสาบอย่างนั้นเหรอ?”
“ปักกิ่งยอมจ่ายค่าแลกเปลี่ยนพวกนี้ได้ อาจเป็นไปได้เช่นกัน”
ถังเฟิงเอ่ยด้วยใบหน้าจริงจัง “มีสองคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดที่หลอมกระดูกสองครั้ง อีกคนหนึ่งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดหลอมกระดูกสามครั้ง ทั้งมีทักษะต่อสู้สมบูรณ์แบบ วางแผนการรบแบบนี้ หากยัง…แพ้ล่ะก็…”
ถังเฟิงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง จ้าวเหล่ยกลับเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “อาจารย์ ผมไม่ปล่อยให้ปักกิ่งผ่านรอบที่ห้าไปได้แน่!”
ฟางผิงปิดปากเงียบ หากสำเร็จยังพอว่า แต่ถ้าถูกทีมปักกิ่งเล่นงานมาจนถึงรอบตัวเอง คนที่ขายหน้ายังคงเป็นจ้าวเหล่ย
—————