ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 174 ช่องทางธุรกิจของผู้ฝึกยุทธ์ (1)
ตอนที่ 174 ช่องทางธุรกิจของผู้ฝึกยุทธ์ (1)
ตึกธุรกิจที่เจริญรุ่งเรือง
ฟางผิงขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่
หลี่เฉิงเจ๋อที่อยู่ด้านข้างตึงเครียดเช่นกัน ไม่กล้าส่งเสียงออกมา
ตอนนี้ฟางผิงกำลังตรึกตรองคำพูดเมื่อสักครู่ของหลี่เฉิงเจ๋อ
บริษัทหยวนฟาง ตั้งแต่รวบกิจการของตงเซิง ธุรกิจส่งอาหารก็แทบจะครอบคลุมไปทั่วสถาบันการศึกษาของเมืองมหาวิทยาลัย
แม้ในความเป็นจริงจะยังหาเงินไม่ได้ แต่บริษัทกลับขยายขอบเขตกว้างขึ้นมาแล้ว
ด้านธุรกิจส่งของ ช่วงนี้บริษัทหยวนฟางมีการร่วมปรึกษาหารือกับบริษัทขนส่งบางส่วนเพื่อรับเหมาในเขตพื้นที่
พัฒนามากว่าครึ่งปี ขอบข่ายของหยวนฟางจึงเติบโตมากยิ่งขึ้น ขอบเขตของธุรกิจก็ขยายกว้างไม่น้อยเช่นกัน
แต่ค่าทรัพย์สินของฟางผิงกลับไม่มีการเพิ่มขึ้นเลย
ตกลงแล้วระบบคำนวณค่าทรัพย์สินพวกนี้ยังไงกันแน่?
สินทรัพย์สุทธิทั้งหมด?
ถ้าคำนวณตามนี้ งั้นบริษัทหยวนฟางคงทำกำไรได้ไม่เยอะกว่ามูลค่าที่ฟางผิงลงทุนไปจริงๆ
ตอนนี้บริษัทหยวนฟางผิงมีสินทรัพย์สุทธิไม่ถึงสิบห้าล้าน
แต่ฟางผิงลงทุนกับบริษัทหยวนฟางผิงไปเกือบสิบห้าล้านแล้ว
แต่ถ้าคำนวณตามสินทรัพย์สุทธิ คิดจะหากำไรคงเป็นเรื่องยาก ระบบน่าจะไม่สร้างความลำบากให้ขนาดนี้หรอกมั้ง?
หากไม่คำนวณตามสินทรัพย์สุทธิ งั้นคงเป็นมูลค่าที่ทุกคนรับรู้โดยทั่วกัน
หรือจะพูดให้ตรงอีกหน่อย บริษัทจดทะเบียนมองที่มูลค่าตลาด บริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนดูที่การประเมินค่า
ตอนนี้หากโลกภายนอกรู้จักบริษัทหยวนฟาง มูลค่าจะเกินกว่าสิบห้าล้านหรือเปล่า?
ฟางผิงเคาะโต๊ะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบมานาน “ธุรกิจส่งอาหารทำได้ไม่เลว เคยมีคนมาเสนอเงินทุนหมุนเวียนหรือเปล่า?”
“เงินทุนหมุนเวียน?”
หลี่เฉิงเจ๋อครุ่นคิดพักหนึ่ง ก่อนจะส่ายหัวว่า “เงินทุนหมุนเวียนเหมือนจะไม่มี แต่มีบริษัทมาขอซื้อกิจการ”
“อีกฝ่ายเสนอเงินเท่าไหร่?”
“สิบล้าน!”
ฟางผิงแค่นเสียงอย่างดูแคลน ผ่านไปพักหนึ่งจึงเอ่ยว่า “ถ้ามีองค์กรอยากเสนอเงินทุน ลองพูดกันก่อนได้ ฟังใบเสนอราคาของอีกฝ่าย”
ตอนนี้เขาสงสัยว่าอาจเป็นเพราะในความเป็นจริงบริษัทหยวนฟางไม่ได้ถูกยอมรับ ดังนั้นจึงได้เกิดสถานการณ์ที่ค่าทรัพย์สินไม่เพิ่มขึ้น
ครุ่นคิดแล้ว ฟางผิงเอ่ยออกมาอีกว่า “ความจริงผมพบว่าโลกนี้เงินที่หาได้ง่ายที่สุดคือเงินของผู้ฝึกยุทธ์”
ผู้ฝึกยุทธ์นั้นมีเงินจริงๆ!
ทั้งยังหาเงินได้ไว และไม่เสียดายเงิน
“ก่อนหน้านี้ผมกลับไปหยางเฉิง เจอกับปัญหาหนึ่ง แม้ผู้ฝึกยุทธ์จะมีเงิน แต่เมืองเล็กๆ อย่างหยางเฉิง ทำให้ยากที่จะใช้จ่ายออกมา อยากจะซื้อยาบำรุง ยังต้องถ่อเข้าไปในเมืองในมณฑล คุณว่าถ้าพวกเราหาลู่ทางได้ เปิดร้านค้าออนไลน์ของผู้ฝึกยุทธ์บนอินเทอร์เน็ต ผลตอบรับจะดีหรือเปล่า?”
อีคอมเมิร์ซเพิ่งจะเกิดขึ้นไม่นาน ตอนนี้ยังไม่มีร้านค้าในอินเทอร์เน็ตของผู้ฝึกยุทธ์โดยเฉพาะ
ยิ่งไปกว่านั้นยาบำรุง อาวุธต่อสู้พวกนี้ยังมีมูลค่าสูง ซื้อค้าบนอินเทอร์เน็ตอาจจะไม่ได้รับความไว้ใจจากผู้ฝึกยุทธ์
ฟางผิงพูดไม่ทันจบดี หลี่เฉิงเจ๋อก็ส่ายหัวทันที “ยากเกินไป! ทั้งพวกเรา…ก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ”
แม้ฟางผิงจะทะลวงขั้นสองแล้ว แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างอย่างเขา คิดจะเปิดแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซสำหรับผู้ฝึกยุทธ์โดยเฉพาะ ถือเป็นเรื่องน่าขำ!
จะไปหาช่องทางที่ไหนกัน สินค้าราคาแพงนับล้านสิบล้านพวกนี้ ต้องใช้ทีมจัดส่ง ไม่ใช่เรื่องที่บริษัทขนส่งตอนนี้จะทำได้
การคุ้มกันสินค้ามูลค่าสูงพวกนี้ หากไม่มีผู้ฝึกยุทธ์นำทีม ถือเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างมาก
โลกนี้มีผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนที่ยอมเสี่ยงเข้าตาจนเพื่อเงินเช่นกัน
ฟางผิงถูขมับ ถอนหายใจเบาๆ ว่า “ความจริงหากทำแพลตฟอร์มแบบนั้นได้ เรื่องกำไรคงไม่มีปัญหา ทั้งยังเพิ่มอิทธิพลให้ไม่ใช่น้อยๆ แทบจะครอบครองช่องทางทรัพยากรฝึกวิชาของผู้ฝึกยุทธ์…”
ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหากแพลตฟอร์มถูกคนยอมรับ ได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกยุทธ์ หลังจากนี้ผู้ฝึกยุทธ์ส่วนใหญ่คงจะเลือกซื้อของจากช่องทางนี้
เหมือนกับความสัมพันธ์ของหน้าร้านและแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หากฟางผิงทำสำเร็จ นั่นก็จะเป็นช่องทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุด กำไรและอิทธิพลภายในนั้นยากจะประเมินค่า
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้จำเป็นต้องใช้ของเยอะมากๆ ตอนนี้ฟางผิงยังมีทรัพยากรไม่เพียงพอ
แพลตฟอร์มอย่างอาหลีบาบาอาจจะเคยคิดทำธุรกิจของผู้ฝึกยุทธ์มาก่อนเช่นกัน แต่ตระหนักได้ถึงความยากภายใน รวมถึงทรัพยากรบางส่วนที่ถูกผูกขาด บริษัทยาบำรุง บริษัททำอาวุธ ตอนนี้อยู่ในสภาวะผูกขาด
แต่ว่า…
คิดดูแล้ว อาจจะไม่ถึงกับหมดหวังเสียทีเดียว
จู่ๆ ฟางผิงก็เอ่ยขึ้น “คุณว่าถ้าผมทำแพลตฟอร์มแบบนี้ภายในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ หลักๆ คือดึงทรัพยากรของฝ่ายบริการมาไว้บนอินเทอร์เน็ตโดยให้ใช้คะแนนแลกเปลี่ยน แบบนี้พวกนักศึกษาก็ไม่ต้องวิ่งไปฝ่ายบริการทุกครั้งแล้ว อย่ามองว่าฝ่ายบริการอยู่แค่ในมหาวิทยาลัย แต่นักศึกษาบางคน หลายครั้งก็ไม่อยู่ในมหาวิทยาลัย ทำภารกิจอยู่ข้างนอก ทุกครั้งที่พวกเขาแลกเปลี่ยนทรัพยากรต้องกลับมาที่มหาวิทยาลัย ยุ่งยากอย่างมาก คุณคิดว่าไง แบบนี้จะมีคนยอมรับหรือเปล่า?”
หลี่เฉิงเจ๋อฟังจบก็อึ้งไปเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาว่า “งั้น…กำไรจะมาจากที่ไหนล่ะครับ?”
แววตาของฟางผิงค่อยๆ เป็นประกาย เอ่ยว่า “อย่างแรก เมื่อเข้าถึงช่องทางทรัพยากรของมหาวิทยาลัย หากทุกคนคุ้นชินกับระบบนี้ขึ้นมา ช่องทางของมหาวิทยาลัยจะถูกผมยึดครองทันที อย่างที่สองกำไรมีแน่นอน พวกเราปลดปล่อยกำลังผลิตของมหาวิทยาลัย ไม่ต้องให้อาจารย์ระดับกลางและระดับสูงหลายคนมารับหน้าที่แลกเปลี่ยนพวกนี้แล้ว เวลานี้พวกเราจะเสนอเงื่อนไขขึ้นมานิดหนึ่ง ซื้อสินค้าเข้ามาจำนวนมาก จะถูกลงหน่อยได้หรือเปล่า? ต้องได้อยู่แล้ว! กำไรจากราคาต่างมีอย่างแน่นอน ยังคงมีหวังอยู่ กลัวก็แต่ว่า…”
กลัวก็แต่ว่ามหาวิทยาลัยจะไม่ยินยอม มอบทรัพยากรที่สำคัญพวกนี้ให้นักศึกษาจัดการ หากเกิดปัญหาขึ้นมา ความเสียหายคงมหาศาล
และสิ่งที่ฟางผิงคิดคือลองใช้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เป็นที่ทดสอบก่อน รอจนมีฝีมือพอแล้ว ค่อยขยับขยายออกไป
เริ่มจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้แล้วค่อยลามไปหามหาวิทยาลัยในเมืองเซี่ยงไฮ้
สุดท้ายค่อยๆ ขยายไปยังมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดหรือจนถึงขั้นรวมผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดและคนธรรมดา!
ฟางผิงหยุดไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อว่า “ทั้งธุรกิจขนส่งและส่งอาหาร ก็สามารถใช้ผู้ฝึกยุทธ์เป็นเป้าหมายได้เช่นกัน ร้านอาหารในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ แม้ปกติจะไม่เสียเงิน แต่ล้วนเป็นอาหารทั่วไป คุณว่าถ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เปิดตลาดอาหารคุณภาพสูงให้พวกเขาโดยเฉพาะจะเป็นยังไง? ความจริงผู้ฝึกยุทธ์ต่างหวงแหนเวลา บางครั้งทุกคนฝึกวิชาอย่างเร่งรีบ ไม่อยากจะออกไปกินข้าวข้างนอก ถ้ามีเงิน ก็ใช้บำรุงเลือดและปราณ ไม่มีเงิน ยาบำรุงกำลังก็เป็นยาที่ใช้ประจำอยู่แล้ว หากพวกเราสามารถเปิดตลาดกับผู้ฝึกยุทธ์ ทำอาหารคุณภาพสูงจัดส่งได้ พูดตามตรงคนพวกนี้มีแต่คนรวย โดนหลอกง่าย กำหนดค่าส่งที่หนึ่งร้อยหยวน คนพวกนี้ยังแทบไม่สนใจอะไร สามารถสั่งอาหารได้สบายๆ ระหว่างฝึกก็มีอาหารส่งถึงหน้าประตู ลิ้มรสของอร่อย ดียิ่งกว่าการอัดยาซะอีก…”
ฟางผิงยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้สามารถทำได้
พูดถึงตัวเองก่อน ตอนที่เขาฝึกวิชา บางครั้งยังขี้เกียจจะไปกินข้าวที่โรงอาหาร เทียวออกไปทีหนึ่งค่อนข้างยุ่งยาก
วันๆ เอาแต่อัดยาบำรุงและใช้ค่าทรัพย์สินเพิ่มปราณก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร คนยังคงต้องกินต้องดื่ม
ตอนนี้หากมีคนมาส่งอาหารถึงหน้าประตู ฟางผิงไม่เสียดายเงินค่าจัดส่งเล็กน้อยเช่นกัน นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
สำหรับพวกเขาแล้ว เงินร้อยกว่าหยวนยังเรียกว่าเงินอย่างนั้นเหรอ?
แต่ภายในนี้ยังมีเรื่องยากอยู่เหมือนกัน อย่างแรกโซนหอพักของมหาวิทยาลัย ปกติคนนอกจะเข้ายาก เรื่องนี้ยังเป็นปัญหาอยู่บ้าง อย่างที่สองร้านอาหารคุณภาพสูงอาจทระนงตัว ร่วมงานกับพวกเขาเป็นเรื่องยากเช่นกัน
พูดไปพูดมาแล้ว ยังเป็นเพราะความสามารถของฟางผิงด้อยเกินไป ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งที่เพิ่งทะลวงขั้นสอง
ผู้ฝึกยุทธ์อย่างเขาคิดจะข้องเกี่ยวกับห่วงโซ่อุตสาหกรรมของผู้ฝึกยุทธ์ นั่นเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง
หากเขาเป็นปรมาจารย์ ยังจะดีกว่าไม่น้อย บางเรื่องสามารถทำได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร
ฟางผิงเคาะโต๊ะอีกครั้ง กัดฟันว่า “กลับไปผมจะไปคุยกับมหาวิทยาลัยดู อาจจะสำเร็จก็ได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ คงต้องทิ้งไปก่อน ดำเนินธุรกิจกับคนธรรมดาต่อ แต่หากเปิดตลาดกับผู้ฝึกยุทธ์ได้ นั่นคงไม่เหมือนกันแล้ว!”
ทุกปีประเทศจีนลงทุนกับผู้ฝึกยุทธ์อย่างมหาศาล อย่างน้อยๆ ก็หมื่นล้านแสนล้านถึงกระทั่งล้านล้าน
ผู้ฝึกยุทธ์นับล้าน คนหนึ่งใช้จ่ายหนึ่งหมื่น นั่นก็เป็นหมื่นล้านแล้ว ในหนึ่งปีผู้ฝึกยุทธ์จะใช้จ่ายแค่หนึ่งหมื่นหรือไง?
เฉลี่ยมาตรฐานอยู่ที่มากกว่าหนึ่งล้าน ตลาดนี้ทำเงินได้ล้านล้านเป็นอย่างต่ำ
แม้ฟางผิงจะได้รับการแบ่งผลประโยชน์เล็กๆ ในนั้นกับคนอื่น ก็สามารถได้เงินก้อนโตมาอยู่ดี
ประเด็นยังอยู่ที่ว่า…ความสามารถอ่อนแอเกินไป ไม่มีคุณสมบัติเข้าไปแบ่ง
เรื่องของผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้ หลี่เฉิงเจ๋อสอดมือยุ่งไม่ได้อยู่แล้ว แต่หลังจากใคร่ครวญอย่างละเอียดยังคงเอ่ยว่า “คุณฟาง หากอยากทำธุรกิจของผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ งั้นทางพวกเรา…ก็ต้องเตรียมรับสมัครผู้ฝึกยุทธ์ แต่รายจ่ายสำหรับผู้ฝึกยุทธ์…ไม่ใช่น้อยๆ!”
อยากจะเปิดธุรกิจเกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธ์ ในบริษัทจะมีแค่ฟางผิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์คนเดียวไม่ได้
ระหว่างผู้ฝึกยุทธ์และคนธรรมดา ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่อยู่
แม้จะขยับขยายธุรกิจพื้นฐานบางอย่าง ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ออกหน้าเจรจา นั่นก็ไม่สามารถทำอะไรได้
ฟางผิงยังต้องรีบฝึกวิชา มีเวลามายุ่งกับเรื่องพวกนี้เยอะที่ไหนกัน
“ถูกเหมือนกัน…แต่นี่ก็เป็นเรื่องในอนาคต รอฉันเจรจาสำเร็จค่อยว่ากันอีกที”
ฟางผิงจะทำตามแผนของตัวเองสำเร็จหรือเปล่า เขาไม่แน่ใจเหมือนกัน
ผู้มีฝีมือในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อาจจะไม่สนใจธุรกิจพวกนี้ แต่ให้นักศึกษามาจัดการเรื่องนี้ อาจจะไม่ยอมก็ได้
ลองใช้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เป็นสถานที่ทดสอบก่อน กลับไม่ต้องใช้อะไรมากมาย ให้คนธรรมดาวิ่งเต้นทำงานให้ก็เพียงพอแล้ว
“คุณทำงานของคุณต่อเถอะ อีกอย่าง การพัฒนาระบบมือถือที่ผมพูดครั้งก่อน อย่าลืมด้วย ประเทศจีนเริ่มมีการใช้มาตรฐานของสามจีแล้ว โรงงานผลิตมือถือบางส่วนกำลังพัฒนามือถือเทคโนโลยีสามจี…นอกจากนี้ธุรกิจยังต้องขยับขยายต่อ อย่างน้อยต้องครอบคลุมเมืองมหาวิทยาลัย ผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว ยังไม่ได้กินรวบแม้แต่เขตเดียว เงินไม่พอ สามารถกู้ยืมหรือมาพูดกับผมได้ ต้องทำเวลาหน่อย ช่วงแรกต้องทำเวลาเป็นหลัก…”
ฟางผิงรอไม่ไหวอยู่บ้าง เดือนหน้าค่าทรัพย์สินของเขาอาจจะถูกใช้จนหมดเกลี้ยง
หากหาเงินไม่ได้อีก หลังจากนี้จะฝึกวิชายังไง?
ไม่มีที่บ้านสนับสนุน หรือต้องยอมเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายทำภารกิจเพื่อเงินอันน้อยนิดนั่นจริงๆ?
——————