ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 178 เขตทางใต้ของมหาวิทยาลัย (1)
ตอนที่ 178 เขตทางใต้ของมหาวิทยาลัย (1)
ความเป็นไปของสมาคม ฟางผิงไม่ได้จัดการดูแลเท่าไหร่
ตอนนี้แค่ส่งของภายในมหาวิทยาลัยเท่านั้น เรื่องเล็กๆ แค่นี้ สำหรับพวกนักศึกษาแนวหน้าแล้ว ไม่นับเป็นปัญหาอะไร
ทั้งฟางผิงไม่จำเป็นต้องควบคุมพวกเขาจนเกินไป ความจริงเป็นเรื่องยากเหมือนกันที่จะผูกมัดนักศึกษาพวกนี้
พวกเขาไม่ใช่พนักงานของตัวเอง ไม่ได้รับเงินเดือน ตอนนี้อาศัยความฮึกเหิมเลือดร้อนเป็นตัวขับเคลื่อนเท่านั้น
บีบบังคับมากเกินไป กลับจะให้ผลร้ายมากกว่า
—
วันที่ 14 กุมภาพันธ์
วางแผนตระเตรียมกันมาพักหนึ่ง แพลตฟอร์มทางอินเทอร์เน็ตของหยวนฟางก็เปิดให้แลกเปลี่ยนทรัพยากรภายในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้แล้ว
ช่วงแรกฟางผิงยังไม่เก็บค่าใช้จ่าย เปิดให้แลกเปลี่ยนบนอินเทอร์เน็ตโดยตรง มีนักศึกษาไปส่งของให้ถึงที่
นักศึกษาบางคนอยากลองของใหม่ หลายคนใช้คะแนนแลกเป็นยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาหนึ่งเม็ด รอจนของมาส่งถึงหน้าประตู
มีคนลองสั่งเยอะอยู่เหมือนกัน วันนั้นแพลตฟอร์มได้รับคำสั่งซื้อเป็นจำนวนนับร้อย!
ผลตอบรับไม่แย่เลย แม้ตอนแรกทุกคนยังกังวลอยู่บ้าง ไม่กล้าแลกเปลี่ยนของจำนวนเยอะๆ แต่ก็ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี
คืนนั้นฟางผิงเลี้ยงข้าวทุกคน
ครั้งนี้ฟางผิงยอมกระเป๋าฉีก เอาเงินสมาคมที่มหาวิทยาลัยให้เดือนแรกห้าหมื่นหยวนมาเลี้ยงข้าว!
หนึ่งร้อยกว่าคน เหมาสิบโต๊ะ
โต๊ะหนึ่งห้าพันหยวน สำหรับนักศึกษาที่ยังไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ งานเลี้ยงเช่นนี้ถือว่าหรูหราอย่างมาก
พวกฟู่ชางติ่งแทบไม่กล้าเชื่ออยู่บ้าง ฟางผิงยอมกระเป๋าฉีกจริงๆ น่ะเหรอ?
เรื่องเงินของสมาคมแทบไม่มีคนรู้เลย
ตอนนี้มีแค่ฝ่ายสำนักงาน โจวเยวี่ยหงรู้เรื่องที่มหาวิทยาลัยจัดสรรเงินให้สมาคม ส่วนคนอื่นๆ ต่างคิดว่าฟางผิงควักจากประเป๋าตัวเอง
กินข้าวด้วยกันแล้ว กลับไม่ได้มีการกินเหล้าเมามายเหมือนที่พวกนักศึกษาทั่วไปทำกัน
ผู้ฝึกยุทธ์ โดยเฉพาะคนที่ยังอยู่ในช่วงคนธรรมดา แทบจะไม่แตะต้องเหล้าบุหรี่เลย
ผู้ฝึกยุทธ์บางคนไม่สนใจเรื่องพวกนี้เช่นกัน พอกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เหล้าบุหรี่ไม่ได้ถือเป็นข้อห้าม
แต่แอลกอฮอล์ส่งผลให้เส้นประสาทเป็นอัมพาต ไม่อาจทำให้สมองทำงานประคองสติต่อไปได้ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่จึงมีจำนวนไม่เยอะ
เมื่อไม่มีการดื่มเหล้าเคล้าสุรา กินข้าวกันเสร็จแล้วก็จบเรื่องง่ายขึ้น แยกย้ายกลับที่ทางของตัวเองเท่านั้น
—
ถนนด้านนอกมหาวิทยาลัย
เห็นข้างนอกมีผู้คนออกมาเดินคึกคัก คู่รักเดินตามหลังกันมาคู่แล้วคู่เล่า ทุกคนคล้ายจะนึกอะไรออก
“วันนี้วันวาเลนไทน์?”
ฟู่ชางติ่งถามออกมา ปรากฏว่าทุกคนกลับมองหน้ากัน ผ่านไปพักใหญ่ยังคงเงียบกริบ
นักศึกษาศิลปะการต่อสู้พวกนี้ เพื่อเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ คนที่มีเวลาว่างศึกษาดูใจกับคนอื่นจึงมีไม่เยอะจริงๆ
สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ได้ ใครจะไม่ทุ่มเทอย่างสุดชีวิตเพื่อเส้นทางนี้บ้างล่ะ
“เทศกาลของต่างชาติ จะสนใจทำไม”
ฟางผิงไม่คิดจริงจัง พวกหยางเสี่ยวม่านที่เป็นผู้หญิง กลับมองพวกหญิงสาวที่ถือช่อดอกไม้ด้วยความอิจฉาอยู่บ้าง
ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ คู่รักนักศึกษานั้นมีน้อยถึงน้อยมากจริงๆ
ฟู่ชางติ่งกลับโรแมนติกกว่าฟางผิงไม่น้อย จู่ๆ ก็วิ่งออกมา ก่อนจะกลับมาพร้อมกุหลาบช่อใหญ่
“เธอเอาไปหนึ่งดอก เธออีกดอก…”
เขาส่งดอกกุหลาบให้พวกนักศึกษาหญิงในสมาคมคนละดอก ปรากฏว่านักศึกษาหญิงมีแค่นิดเดียว กุหลาบยังเหลืออีกเยอะ
ฟู่ชางติ่งเห็นแบบนั้นก็ส่งให้ผู้ชายด้วย หัวเราะว่า “ฉลองเทศกาลกันหน่อย วันนี้พวกเราไม่คิดเอาความรักมาเป็นอุปสรรคกับเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ รอในอนาคตพวกเราประสบความสำเร็จ ชายหญิงแบบไหนล้วนหาได้ทั้งนั้น! อย่าอิจฉาไปเลย นักศึกษาของเซี่ยงไฮ้ยังจะกลัวหาคู่ครองไม่ได้ไปทำไม?”
ทุกคนได้ฟังต่างหัวเราะขึ้นมา ทิ้งความรู้สึกผิดหวังไป
แม้ว่าพวกคู่รักริมถนนจะยังแสดงความรักอย่างออกหน้าออกตา แต่นักศึกษาของเซี่ยงไฮ้พวกนี้ล้วนมีความทระนงตัว หากให้พวกเขาหาคู่อย่างง่ายๆ มาสักคน คงมีแค่ไม่กี่คนที่เลือกทำแบบนั้น
ฟู่ชางติ่งหยอกเล่นอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเสียบกุหลาบไว้บนหัวของฟางผิง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ฟางผิง ในอนาคตนายจะหาแฟนแบบไหน?”
ฟางผิงไม่ได้โยนกุหลาบทิ้ง ดึงมาไว้ในมือ ก่อนจะเสียบให้ที่หูของฟู่ชางติ่ง เวลานี้ค่อยตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “อ่อนโยนเล็กน้อย ไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งมาก แต่หวังว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทัศนคติจะได้เหมือนกัน…”
ระหว่างที่เขาพูด หยางเสี่ยวม่านก็มองทั้งสองคนอย่างแปลกๆ เอ่ยอย่างสงสัยว่า “พวกนายส่งกุหลาบให้กัน หรือจะไม่ใช่แค่มิตรภาพธรรมดาแล้ว?”
“ไปไกลๆ เลย”
ฟางผิงก่นด่า ไม่พูดเรื่องนี้ต่ออีก เอ่ยถามว่า “เธอทะลวงขั้นสองแล้ว?”
เวลานี้หยางเสี่ยวม่านก็เบื่อจะคุยเรื่องความรัก ฟังจบจึงเผยรอยยิ้มออกมา เอ่ยอย่างแฝงความไม่พอใจอยู่บ้าง “ถ้าฉันไม่ได้รับบาดเจ็บ คงทะลวงไปนานแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ถือว่าสายเกินไปเหมือนกัน จะพยายามหลอมกระดูกแขนขาให้เสร็จก่อนจบปีหนึ่ง ปีสองพวกเราก็จะพยายามทะลวงขั้นสาม!”
กระดูกส่วนบนหกสิบสี่ชิ้น ส่วนล่างหกสิบสองชิ้น
ไม่ว่าขั้นหนึ่งจะหลอมกระดูกส่วนบนหรือล่าง เข้าสู่ขั้นสอง กระดูกต้องหลอมมากกว่าหกสิบชิ้นขึ้นไป
ก่อนจบปีหนึ่ง มีเวลาไม่ถึงห้าเดือนเท่านั้น เปิดเทอมปีสองอีกประมาณเจ็ดเดือน
อยากจะหลอมกระดูกให้สำเร็จภายในเวลานี้ เฉลี่ยแล้วต้องหลอมสิบชิ้นต่อหนึ่งเดือน สามวันหนึ่งชิ้น
ทรัพยากรเพียงพอ สามารถทำได้อยู่แล้ว
แต่ถ้าไม่มีทรัพยากร คิดจะทำถึงจุดนี้ เป็นเรื่องที่ยากอย่างมาก
อย่างน้อยต้องสิ้นเปลืองยาบำรุงเลือดและปราณจำนวนมหาศาล
พวกเขาเข้าสู่ขั้นสอง อยากจะเพิ่มปราณ ยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาจะให้ประสิทธิภาพน้อยลง ต้องใช้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่ง
แม้จะใช้สามวันต่อหนึ่งเม็ด หนึ่งเดือนสิบเม็ด ครึ่งปีก็เป็นหกสิบเม็ด ใช้ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งเป็นมูลค่าสิบแปดล้าน
ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่ได้ใช้ยาบำรุงเลือดและปราณแค่อย่างเดียว พวกเขายังต้องใช้ยาเสริมสร้างกระดูกเพื่อเร่งความเร็ว คิดจะฝึกวิชาให้ทะลวงขั้นสองสูงสุดในหนึ่งเทอม ไม่มีเงินถึงยี่สิบล้านคงไม่พอ สามสิบล้านจะนับว่าไม่ขาดเหลือ
ตอนนี้ฟู่ชางติ่งถอนหายใจเช่นกัน “เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ยิ่งสูงก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ รอเข้าสู่ขั้นสาม…พวกเรายังต้องลงไปถ้ำใต้ดิน”
ภารกิจในถ้ำใต้ดิน เป็นภารกิจที่หาเงินได้ไวที่สุด
เข้าสู่ขั้นสาม คิดจะพึ่งการทำภารกิจพวกนั้นมาเติมเต็มการฝึกฝน ถือเป็นเรื่องยากยิ่ง
เมื่อถึงเวลานั้น หากไม่เข้าถ้ำเพื่อเก็บคะแนน ก็ต้องพึ่งทรัพย์สินจากทางบ้าน
ถอนหายใจแล้ว ฟู่ชางติ่งมองไปทางฟางผิงว่า “นายทะลวงขั้นสองมาเดือนหนึ่งแล้ว ตอนนี้หลอมกระดูกได้เท่าไหร่?”
ฟางผิงทะลวงขั้นสองหลังจากจบการแข่งขันแลกเปลี่ยน
ตอนนี้ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว ทุกคนยังคงสงสัยอยู่บ้างว่าเขาหลอมกระดูกไปถึงไหนแล้ว
ไม่รอให้ฟางผิงเอ่ยปาก หยางเสี่ยวม่านพูดขึ้นว่า “จ้าวเหล่ยหลอมได้เจ็ดสิบเอ็ดชิ้นแล้ว นายน่าจะเยอะกว่าเขาสินะ?”
กระดูกแขนและขาหนึ่งร้อยยี่สิบหกชิ้น ตอนนี้จ้าวเหล่ยหลอมกระดูกไปเจ็ดสิบเอ็ดชิ้น ความเร็วนี้ไม่ใช่เล่นเลย
เทอมก่อนทุกคนได้รับคะแนนกันไปไม่น้อย การฝึกวิชาช่วงแรกจึงทำได้เร็ว
เมื่อวานหยางเสี่ยวม่านเพิ่งจะทะลวงขั้นสอง แต่ยังไม่ได้เริ่มหลอมกระดูก
ทางฟู่ชางติ่ง ความก้าวหน้าพอๆ กับจ้าวเหล่ย
ระยะเวลาที่ทุกคนทะลวงขั้นไม่ต่างกันมาก ฟางผิงก็เร็วกว่าพวกเขานิดหน่อยเท่านั้น
แต่เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกสามครั้ง ทุกคนเดาว่าเขาอาจจะหลอมกระดูกประมาณเจ็ดสิบห้าชิ้นแล้ว
เห็นพวกเขาทำหน้าสงสัย ฟางผิงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เก้าสิบหกชิ้น”
“เท่าไหร่นะ?”
“นายแกล้งฉัน?”
ฟางผิงเพิ่งทะลวงได้หนึ่งเดือน หนึ่งเดือนหลอมกระดูกได้สามสิบสี่ชิ้น คิดว่าทุกคนเป็นพวกปัญญาอ่อนหรือไง?
“อะไร? ไม่เชื่อ? หลายวันนี้ฉันใช้ยาเสริมสร้างกระดูกไปสิบเม็ด ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งอีกหลายสิบเม็ด พวกนายน่าจะรู้ว่าปราณฉันฟื้นฟูได้เร็ว หลอมกระดูกได้ต่อเนื่อง ความเร็วแบบนี้น่าตกใจหรือไง?”
“แต่ว่านายเอายาบำรุงมากมายขนาดนั้นมาจากไหน…”
ฟางผิงขายยาบำรุงไปตั้งเยอะ!
“คนอื่นส่งให้”
“ใครโง่ส่งให้นาย…”
———–