ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 185 ศึกประลองหนานเจียง (1)
ตอนที่ 185 ศึกประลองหนานเจียง (1)
หกโมงเย็น
พวกฟางผิงไม่ได้เจอหวงจิ่ง กลับเป็นไป๋รั่วซีที่ตามมา
พอถึงโรงแรม ไป๋รั่วซีก็เปิดประชุมเล็กๆ ทันที
“คณบดีมาถึงแล้ว แต่ตอนนี้ไปจวนผู้ว่า คงจะเข้าไปพร้อมกับผู้ว่าหนานเจียง คณบดีไม่ได้เน้นหนักถึงเรื่องแพ้ชนะ อันที่จริงจะแพ้หรือชนะอยู่ที่ตัวเอง ผู้ฝึกยุทธ์ทำได้แค่ชนะเท่านั้น! ตอนนี้ให้โอกาสพวกเธอได้ประลองกับระดับเดียวกัน วันข้างหน้าลงถ้ำใต้ดิน ใครจะให้โอกาสที่ยุติธรรมแบบนี้อีก? ดังนั้นการแข่งขันแลกเปลี่ยนความรู้แบบนี้ ทุกคนควรหวงแหนไว้”
พวกเขาพยักหน้า ฟางผิงก็พยักหน้าเช่นกัน ก่อนจะถามว่า “อาจารย์ครับ มหาวิทยาลัยฝากยาบำรุงมากับอาจารย์หรือเปล่าครับ?”
ไป๋รั่วซีหัวเราะว่า “ไม่น่าล่ะอาจารย์ถังบอกว่า…”
“อาจารย์ครับ คือว่าอาจารย์ถัง ไม่ใช่ผมไม่เคารพหรือนินทาอาจารย์ แต่เขาใจแคบอยู่บ้างจริงๆ อาจารย์ถังแต่งงานหรือยังเหรอครับ?”
“หา?”
“ยังไม่ได้แต่งงานสินะครับ?” ฟางผิงเอ่ยอย่างตกใจ “ถ้าเป็นแบบนี้ นิสัยขี้หงุดหงิดของเขาก็พอเข้าใจได้”
“เหลวไหล!”
ไป๋รั่วซีหัวเราะ “ลูกสาวของอาจารย์ถังแทบจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว…”
“เขามีลูกสาว?”
ฟางผิงทำหน้าตกใจ “ไม่เหมือนคนเป็นพ่อคนสักนิด…”
“เอาเถอะ หยุดพูดเหลวไหลได้แล้ว ถ้าอาจารย์ถังรู้ ระวังจะมาคิดบัญชีกับเธอ”
ไป๋รั่วซีหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง ในหมู่อาจารย์ ไป๋รั่วซีนั้นอ่อนโยนใจดี หยอกล้อสักหน่อยก็ไม่อาจโกรธอะไร
พูดเล่นกันแล้ว เธอค่อยวกเข้าสู่ประเด็นหลัก
“ยาบำรุงเอามาให้พวกเธอแล้ว แต่ว่าฟางผิง ความจริงฉันอยากเตือนเธอหน่อย อย่าเอาแต่พึ่งการใช้ยาจนเกินไป เธอทำแบบนี้ สุดท้ายแล้วจะติดนิสัยขี้เกียจได้ง่าย ทำให้ทักษะต่อสู้ไม่พัฒนาพอ ไม่อาจเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ส่งผลเสียทั้งการใช้ปราณและทักษะการต่อสู้ หากมีวันหนึ่งที่เธอไม่มียาบำรุง เธอจะรับมือกับวิกฤตยังไงล่ะ? พัฒนาความสามารถของตัวเอง เรียนรู้ที่จะใช้ค่าตอบแทนน้อยที่สุดจ่ายออกไปให้ได้ผลลัพธ์ที่ใหญ่ที่สุด นี่ต่างหากเป็นสิ่งที่เธอควรเรียนรู้ เดิมทีปราณของเธอก็สูงกว่าคนอื่นอยู่แล้ว สถานการณ์แบบนี้เธอไม่อาจกำราบระดับเดียวกันได้ นั่นหมายความว่าฝีมือของเธอไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ตัวเองคิดไว้ ผู้ฝึกยุทธ์บางคนสามารถต้านระดับเดียวกันได้เป็นสิบคน พวกเขาทำถึงขั้นนี้ได้โดยที่ไม่สามารถฟื้นฟูปราณได้รวดเร็วด้วยซ้ำ? ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เธอต้องพิจารณาสักหน่อย”
ฟางผิงพยักหน้าอย่างจริงจัง มีเหตุผล ควรค่าให้พิจารณาจริงๆ
แต่…ก็ไม่ได้สิ้นเปลืองสักหน่อย มหาวิทยาลัยไม่คิดจะให้ประโยชน์ฉันบ้างหรือไง
กำชับทุกคนแล้ว รู้ว่าเฉินอวิ๋นซีจะขึ้นเวที ไป๋รั่วซีก็เผยยิ้มบาง “สู้ดีๆ ล่ะ แสดงฝีมือตัวเองออกมา”
“อื้ม ฉันจะตั้งใจแสดงฝีมือ!”
เฉินอวิ๋นซีพยักหน้าอย่างจริงจัง กลับคิดน้อยใจอีกครั้ง หากไม่แสดงฝีมืออีก ฉันคงได้ทำงานเบื้องหลังจริงๆ แล้ว
—
มหาวิทยาลัยให้ยาบำรุง ฟางผิงไม่คิดจะเอาเปรียบคนอื่นเช่นกัน
แบ่งยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองคนละหนึ่งเม็ด ขั้นหนึ่งอีกสี่เม็ด
ค่าทรัพย์สินมีการเพิ่มขึ้นอีกครั้ง แตะถึงเจ็ดล้าน หลายวันนี้เขาหลอมกระดูกถึงจุดสูงสุดแล้ว จึงไม่สิ้นเปลืองอะไรมาก
“พอที่จะเติมเต็มปราณเจ็ดพันแคลแล้ว…”
ฟางผิงคำนวณยกใหญ่ ค่าทรัพย์สินเจ็ดล้านเหลือเฟือให้ต่อสู้อีกหลายสนาม ไม่ต้องกังวลเรื่องปราณจะไม่พอแล้ว
ประเด็นสำคัญคือหากบนเวทีไม่จำเป็นต้องใช้ยาบำรุง เขาก็จะไม่ใช้
ความจริงการแข่งขันที่เปิดกว้างเช่นนี้ค่อนข้างเป็นปัญหา โดยเฉพาะมีพวกปรมาจารย์แกร่งกล้ามาชมการต่อสู้ด้วย
ฟางผิงจำเป็นต้องใช้ยาบำรุงเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาพึ่งยาในการฟื้นฟูปราณของตัวเอง
การใช้ยาบำรุงพวกนี้จึงเป็นการสิ้นเปลืองอย่างมาก ต่อให้มีเงินก็ไม่ควรนำมาสิ้นเปลืองแบบนี้
—
หกโมงครึ่ง ทุกคนเดินทางออกจากโรงแรม มุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยหนานเจียงที่อยู่ไม่ไกล
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียง
หวังจินหยางและพวกอาจารย์ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ เห็นพวกฟางผิง หวังจินหยางก็พยักหน้าเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มไปทางไป๋รั่วซี “อาจารย์ไป๋ นึกไม่ถึงว่าคุณจะมาด้วย”
“คณบดีของพวกเราก็มาด้วย คงจะเข้ามาพร้อมกับพวกผู้ว่าจาง”
ไป๋รั่วซีเผยใบหน้าประดับยิ้ม ทักทายเขาไม่กี่ประโยค ทว่ากลับวางท่าทีธรรมดากับพวกอาจารย์หนานเจียงที่อยู่ด้านข้าง
ตอนนี้อาจารย์ของหนานเจียงก็เหมือนจะให้หวังจินหยางเป็นแกนนำเช่นกัน
อาจารย์ของหนานเจียงมีตั้งแต่ขั้นสามขึ้นไป ขั้นสี่ถือเป็นเสาหลัก ขั้นห้ามีน้อยมาก ขั้นหกล้วนเป็นผู้มีอำนาจในมหาวิทยาลัย
ความสามารถของหวังจินหยาง แม้จะอยู่ในหมู่อาจารย์ ก็ถือเป็นประเภทที่โดดเด่น
รวมกับฐานะประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของเขา อาจารย์หลายคนที่ตามมา ฐานะทางสังคมยังสู้หวังจินหยางไม่ได้ด้วยซ้ำ
ฟางผิงมองอย่างอิจฉาอยู่บ้าง นี่ต่างหากคือความสำเร็จของชีวิตที่แท้จริง!
จะเหมือนตัวเองได้ยังไง วันๆ เอาแต่ถูกราชสีห์ถังหาเรื่อง
รอวันไหนราชสีห์ถังเดินตามเหมือนอาจารย์พวกนี้ เกรงอกเกรงใจต่อหน้าตัวเอง นี่ถึงจะเป็นการประสบความสำเร็จอย่างหนึ่งในชีวิต
หวังจินหยางทักทายกับไป๋รั่วซีเป็นมารยาทแล้ว ก็เดินไปพลางเอ่ยไปพลาง “ครั้งนี้นักศึกษาห้าคนของหนานเจียง ต่างมีฝีมืออยู่ในขั้นโดดเด่นในมหาวิทยาลัย ฟางผิง พวกนายอย่าประมาทล่ะ สิ่งที่ฉันอยากเห็นคือการประลองอย่างสูสี ไม่ใช่ถูกทำลายอย่างย่อยยับ ฉันหมายถึงหนานเจียงของเราทำลายพวกนายอย่างย่อยยับ”
“ไม่อยู่แล้ว”
“หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
หวังจินหยางไม่มากความ พาทุกคนไปยังสมาคมผู้ฝึกยุทธ์
หนานเจียงไม่ได้กว้างเหมือนเซี่ยงไฮ้ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ก็ไม่ได้หรูหราเหมือนเซี่ยงไฮ้ ตั้งอยู่บนพื้นที่นับร้อยหมู่เท่านั้น
แต่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของหนานเจียงก็ไม่ได้เล็กๆ
ครั้งนี้สถานที่จัดการแข่งขันไม่ได้อยู่ในห้อง แต่เป็นข้างนอก
สนามหญ้าหน้าตึกใหญ่ของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ตอนนี้ก่อตั้งเวทีขึ้นมามุมหนึ่ง รอบทิศทางไม่ได้จัดวางเก้าอี้
จากที่หวังจินหยางพูด การแข่งขันของผู้ฝึกยุทธ์ จัดเก้าอี้ให้นั่งดูเหมือนละครเป็นความอัปยศสิ้นดี!
แค่ยืนดูการประลองยังทำไม่ได้ งั้นก็อย่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์เลย
ใครบ่น คนนั้นก็ไม่ต้องดู
ดังนั้นตอนที่พวกฟางผิงมาถึง จึงเป็นภาพที่นักศึกษานับพันยืนอยู่บนสนามหญ้ารอบทิศทาง หัวดำๆ เบียดเสียดเต็มไปหมด แผ่ความกดดันไม่น้อย
เห็นพวกฟางผิง นักศึกษาของหนานเจียงก็เสียงดังวุ่นวายขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
หลายคนชี้นิ้วซุบซิบนินทา…
ปรากฏว่ายังไม่ทันขาดคำ หวังจินหยางก็ตะโกนขึ้นมาก่อน “หุบปากให้หมด!”
“คนอ่อนแอไม่มีสิทธิ์มาชี้นิ้วใส่ผู้แข็งแกร่ง!”
“นักศึกษาใหม่ของเซี่ยงไฮ้ ตอนนี้ท้าประลองผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดที่อยู่ปีสามปีสี่ของพวกเรา เดิมทีก็เป็นการแข่งที่ไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว!”
“หากครั้งนี้หนานเจียงพ่ายแพ้ ผู้ฝึกยุทธ์ทุกคนต้องแลกยาบำรุงด้วยแต้มที่เพิ่มขึ้นมาห้าเปอร์เซ็นต์! คนธรรมดาจบปีสอง ยังไม่สามารถทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ต้องถูกไล่ออก! มหาวิทยาลัยหนานเจียงเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ไม่ใช่สถานที่ที่ให้พวกนายเดินเล่นไปวันๆ ปีก่อนนึกไม่ถึงว่าจะมีคนจบการศึกษาจากหนานเจียงด้วยฐานะคนธรรมดา นี่เป็นความอัปยศของหนานเจียง ไม่ใช่เป็นเพราะความใจกว้างของหนานเจียง”
“…”
จู่ๆ ในฝูงชนก็มีเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้น มีคนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “พวกเราไม่ได้ลงสนามสักหน่อย แพ้แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเรา…”
เขาพูดยังไม่ทันจบ สายตาของหวังจินหยางก็ปราดไปหาเขาทันที!
“นาย ออกมา!”
ทุกคนหันไปมองนักศึกษาคนที่พูดโดยพร้อมเพรียงกัน
คนๆ นั้นสีหน้าเปลี่ยนทันที ผ่านไปพักหนึ่งจึงกัดฟันเดินออกมา ทำเป็นใจกล้าว่า “ประธานหวัง ฉันพูดไม่ถูกหรือไง?”
“นายออกไปจากหนานเจียงได้!”
“ออกไป…จากหนานเจียง?”
“ใช่ นายถูกไล่ออกแล้ว!”
พวกฟางผิงต่างตกตะลึง อะไรกัน?
นักศึกษาคนที่เดินออกมาก็อ้ำอึ้งเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยอย่างโมโห “หวังจินหยาง นายมีสิทธิ์อะไรมาไล่ฉันออก!”
หวังจินหยางกลับไม่ตอบ กวาดสายตามองคนอื่นๆ เอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็น
“ขึ้นชื่อว่าเป็นนักศึกษาของหนานเจียง ไม่มีความรู้สึกถึงเกียรติยศของพวกพ้อง ไม่รู้สึกอัปยศอดสู ไม่ว่าจะเวลาไหนล้วนคิดว่าเรื่องไม่เกี่ยวกับตัวเอง มีผลประโยชน์ไม่เอาให้ก็บ่นว่ามหาวิทยาลัยไม่เป็นธรรม มีใครเคยคิดไหมว่าถือสิทธิ์อะไร? ถือสิทธิ์อะไรพวกเธอถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยหนานเจียง? ถือสิทธิ์อะไรไม่มุ่งแสวงความก้าวหน้า คิดแค่มีวันหนึ่งจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์เพื่อสามารถใช้อำนาจได้? ผู้ฝึกยุทธ์คืออะไร! ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช่ใบผ่านทางของชนชั้นอภิสิทธิ์ ผู้ฝึกยุทธ์คือกลุ่มผู้กล้าที่ดิ้นรนอยู่ระหว่างความเป็นความตาย! ฉันอยู่ที่หนานเจียงแทบมองไม่เห็นสิ่งเหล่านี้เลย!”
สิ้นเสียงของเขา จู่ๆ คนรอบนอกก็เปิดทางให้ผู้มีอำนาจหลายคนสาวเท้าเข้ามาด้วยความเกรงขาม
ในนั้นมีชายชราผมขาวคนหนึ่งเป็นผู้นำ ชายคนนั้นไม่ได้พูดอะไร เป็นชายกำยำวัยกลางคนที่เดินอยู่ด้านข้างเขาพูดขึ้นว่า “หวังจินหยางพูดไม่ผิด แพ้แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเธอ? งั้นถ้ามีวันหนึ่งพวกเราพ่ายแพ้ในสนามรบ ผู้แข็งแกร่งถูกกำราบจนราบคาบ พวกเธอถูกนำไปเป็นทาส ยังจะพูดแบบนี้ออกมาอีกหรือเปล่า? เป็นความผิดของผู้แข็งแกร่งทั้งหมด ถือสิทธิ์อะไรให้พวกเรามายอมรับผลการกระทำ! มหาวิทยาลัยหนานเจียงหรือจะพูดว่าหนานเจียง ไม่ต้องการผู้ฝึกยุทธ์แบบนี้! ไม่พอใจ เธอลงสนามได้ คิดว่าคนที่ลงสนามไม่อาจเป็นตัวแทนของพวกเธอ งั้นพวกเธอก็ขึ้นเวทีไปต่อสู้เอง!”
ทุกคนต่างปิดปากเงียบ เพราะพวกเขาต่างรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใคร
ผู้ว่ามณฑลหนานเจียง…จางติ้งหนาน!
จางติ้งหนานมีชื่อนี้ตั้งแต่แรก หรือเพิ่งเปลี่ยนในภายหลังต่างไม่มีใครรู้
ทุกคนรู้แค่ว่าตั้งแต่จางติ้งหนานทะลวงเป็นปรมาจารย์ ก็เริ่มสอดมือเข้ามาในกิจธุระต่างๆ
รวมถึงกิจธุระของมหาวิทยาลัยการต่อสู้ ทั้งยังทำด้วยเจตนารมณ์ที่แน่วแน่
คำพูดนี้ของเขาสื่อให้เห็นว่า คำพูดก่อนหน้านี้ของหวังจินหยางจะกลายเป็นเรื่องจริง
—————-