ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 187-2 ฟางผิงที่น่าสงสาร (2)
ตอนที่ 187 ฟางผิงที่น่าสงสาร (2)
ด้านล่างเวทีพวกเฉินอวิ๋นซีเตรียมยาฟื้นฟูและผ้าพันแผลไว้แล้ว เริ่มช่วยฟางผิงจัดการกับบาดแผล
ฟางผิงไม่พูดอะไร นั่งลงกับพื้นปล่อยให้พวกเขาทำตามเรื่องตามราวไป
ยากที่หยางเสี่ยวม่านจะไม่ขัดคอฟางผิง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นายรู้หรือเปล่าอีกฝ่ายเป็นใคร? กู้สยง อันดับที่ยี่สิบสี่ของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองกลุ่มสู้รบ นายเอาชนะเขาได้ หมายความว่าฝีมือของนายอย่างน้อยก็สามารถเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกของขั้นสองแล้ว ทั้งนึกไม่ถึงว่านายจะไม่อัดยาบำรุง ฉันว่าเดือนหน้าการจัดลำดับขั้นสองคงมีการเปลี่ยนแปลงแล้ว อย่างน้อยนายคงจะได้อยู่ลำดับที่สิบห้า”
เพิ่งจะแตะขั้นสองไม่นาน ก็เข้าสู่ยี่สิบลำดับแรกของขั้นสองกลุ่มสู้รบแล้ว
ความสามารถแบบนี้ถือว่าแข็งแกร่งมากแล้ว
ฟางผิงกลับกัดฟันว่า “ยี่สิบอันดับแรก?”
เขาคิดมาโดยตลอดว่าตัวเองแข็งแกร่งมาก ไม่ว่าจะอยู่ในมหาวิทยาลัย หรือทำภารกิจอยู่ข้างนอก เขาแทบไม่เจอคู่ต่อสู้ของตัวเองเลย
ดังนั้นแม้ว่าครั้งนี้เคล็ดวิชาต่อสู้จะไม่ได้พัฒนามากมาย ฟางผิงก็ยังคิดว่าตัวเองนั้นโดดเด่นในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองแล้ว
เขาหลอมกระดูกสามครั้ง อาศัยการบ่มเพาะไม่กี่วัน ปราณก็สูงแตะกว่าห้าร้อยยี่สิบแคลแล้ว!
ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกสองครั้งจะมีปราณสูงเท่าไหร่กัน?
ผู้ฝึกยุทธ์หลอมกระดูกธรรมดา ปราณจะจำกัดที่สี่ร้อยแคล
ผู้ฝึกยุทธ์หลอมกระดูกสองครั้ง ขีดจำกัดจะเพิ่มขึ้นมาประมาณยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็คือสี่ร้อยแปดสิบแคล
ปราณของฟางผิงสูงกว่าอีกฝ่ายสี่สิบแคลเป็นอย่างต่ำ สุดท้ายนึกไม่ถึงว่าต้องมาประชันเรื่องกระดูกถึงเอาชนะได้ นี่ทำให้ฟางผิงรู้สึกว่าตัวเองห่วยเหลือทน
เฉินอวิ๋นซีพูดเสียงเบาว่า “เก่งมากแล้ว นายเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสองสูงสุด…”
“ฉันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกสามครั้ง ควรจะเอาชนะระดับเดียวกันได้ทั้งหมดด้วยซ้ำ!”
“รุ่นพี่เซี่ยเหล่ยก็เหมือนกัน…แต่ก่อนหน้านี้เขาเคยแพ้ให้รุ่นพี่หวังด้วยไม่ใช่เหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองก็มีคนที่หลอมกระดูกสามครั้งเหมือนกัน…”
ประโยคนี้หยางเสี่ยวม่านเป็นคนพูด ฟางผิงฟังแล้วกลับอัดอั้นตันใจยิ่งกว่าเดิม
สรุปแล้วฉันทำได้เพียงพึ่งระบบฟื้นฟูปราณถึงจะสามารถครองความได้เปรียบในระดับเดียวกันงั้นสินะ?
ฟางผิงมองข้ามไปว่า ระดับเดียวกันในสายตาของเขา ในสายคนอื่นกลับเป็นอัจฉริยะที่สามารถท้าประลองข้ามขั้นได้
ผู้ฝึกยุทธ์ร้อยอันดับของขั้นสองกลุ่มสู้รบรับมือกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามทั่วไปกลุ่มสู้รบ ขอแค่ไม่ใช่ขั้นสามสูงสุด โอกาสชนะก็มีสูงแล้ว
ตอนนี้แม้ฟางผิงจะประลองกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนกลางกลุ่มสู้รบ ก็อาจจะไม่แพ้เสมอไป
อีกฝ่ายไม่มีทักษะต่อสู้ที่เก่งกาจ ไม่มีไหวพริบในการต่อสู้ ฟางผิงอาศัยระบบฟื้นฟูปราณ แทบจะมีโอกาสชนะถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์
น่าเสียดายที่ตอนนี้ฟางผิงไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องพวกนี้ เขาคิดแค่ว่าตัวเองเกือบถูกขั้นสองที่ด้อยกว่าเขาเอาชนะแล้ว
—
ระหว่างที่ฟางผิงจมในความเศร้า คนสุดท้ายจากหนานเจียงก็เผชิญหน้ากับฟู่ชางติ่ง
ในความเป็นจริง นักศึกษาของหนานเจียงนั้นตระหนักได้แล้วว่าพวกเขาแพ้อย่างแน่นอน
ฝั่งของฟางผิงยังเหลืออีกตั้งสามคน
แม้คนสุดท้ายจะเอาชนะฟู่ชางติ่งได้ แต่ยังจะสามารถเอาชนะอีกสองคนที่เหลือได้งั้นเหรอ?
ผลลัพธ์ปรากฏให้เห็นทันตา อีกฝ่ายมีฝีมือกว่าฟู่ชางติ่งแค่เล็กน้อย สู้กับฟู่ชางติ่งแล้วปราณแทบจะหมดสิ้น
พอหยางเสี่ยวม่านขึ้นเวทีชกออกไปสองหมัดก็แทบโยนอีกฝ่ายตกเวทีได้แล้ว
—
การประลองระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดของหนานเจียงและนักศึกษาใหม่ของเซี่ยงไฮ้จบลงแล้ว
ทั่วทั้งมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงราวกับตกสู่ความเงียบสงัด
ห้าต่อห้า ฝ่ายตัวเองเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดห้าคน อีกฝ่ายมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดแค่คนเดียว
ทั้งยังเป็นนักศึกษาใหม่ที่เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสองได้ไม่นานทั้งหมด
การประลองเช่นนี้ ปิดฉากลงไปด้วยการพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถของหนานเจียง
เป็นการพ่ายแพ้ที่น่าอนาถ!
ห้าคนจากเซี่ยงไฮ้ มีแค่ฟางผิงที่เจ็บหนักหน่อย ตอนนี้แทบจะฟื้นพลังพร้อมต่อสู้อีกครั้งแล้ว
แต่ฝ่ายหนานเจียง นอกจากหลานไฉ่เย่ที่จากไปอย่างโมโห สี่คนที่เหลือแทบจะไม่อาจสู้ต่อได้แล้ว
ผลลัพธ์แบบนี้ทำให้หนานเจียงรับไม่ได้อยู่บ้าง
แต่ต่อให้รับไม่ได้ยังไง เรื่องจริงกลับกองอยู่ตรงหน้าแล้ว พวกเขาจะปฏิเสธความสามารถของพวกกู้สยงได้งั้นเหรอ?
จะปฏิเสธสิ่งที่พวกกู้สยงจ่ายออกไปได้งั้นเหรอ?
พวกเขาแทบจะต่อสู้จนบาดเจ็บหนัก ก่อนหน้านี้หลานไฉ่เย่ก็ต้านฟางผิงไม่ได้จึงจากไปอย่างโมโห คงตำหนิเธอไม่ได้เช่นกัน
หนานเจียงแพ้แล้ว!
หวังจินหยางไม่เอ่ยคำพูดทำร้ายจิตใจอีก รอการประลองจบแล้วจึงขึ้นไปบนเวที “การแลกเปลี่ยนความรู้ครั้งนี้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เป็นฝ่ายชนะ! ทุกคนแยกย้ายกันได้ กลับไปคิดดูเอง ตกลงเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เพื่ออะไรกันแน่? ยินยอมที่ล้าหลังกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวตลอดไปหรือเปล่า? ไม่ยอม งั้นก็คิดดูว่าเส้นทางในอนาคตจะเดินไปยังไง…”
ไม่มีอารมณ์ฮึกเหิม ไม่มีท่าทีโกรธเคือง หวังจินหยางพูดแล้วก็ลงจากเวทีไป
“ไม่เลวนี่ ฉันเคยบอกนานแล้ว เนื้อแท้นายเป็นคนใจเด็ด ไม่มีความจำเป็นต้องแสร้งเป็นลูกแกะ เสแสร้งนานวันเข้าคงได้กลายเป็นลูกแกะจริงๆ กลับไปฟื้นฟูบาดแผลก่อนเถอะ อีกสองวันค่อยไปเยี่ยมผู้ว่าจาง”
ตอนนี้ปรมาจารย์ทั้งสามจากไปแล้ว รวมถึงผู้อำนาจจากหนานเจียงที่มาชมการประลองด้วยเช่นกัน
พวกปรมาจารย์ไม่ได้สนทนากับฟางผิงตามลำพัง แต่หวังจินหยางเอ่ยให้ไปเยี่ยมผู้ว่าจาง เห็นได้ชัดว่าได้รับคำอนุญาตจากจางติ้งหนานเป็นนัยแล้ว
ฟางผิงพยักหน้าไม่พูดอะไรอีก การประลองครั้งนี้หนานเจียงแพ้อย่างน่าอนาถ เขาก็ชนะอย่างอึดอัดใจเช่นกัน
ความคิดที่ว่าไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน ตอนนี้ดูแล้ว เขายังจะนับว่าไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันได้อีกเหรอ!
สู้กับผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมพวกนี้ถือเป็นเรื่องอะไรกัน?
เอาชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามทั่วไปแล้วยังไง?
เขาสามารถเอาชนะสามอันดับแรกในขั้นสองได้หรือเปล่าล่ะ?
สามารถเอาชนะหวังจินหยางที่อยู่ระเดียวกันก่อนหน้านั้นได้หรือเปล่า?
อีกอย่าง ผู้ฝึกยุทธ์หน่วยทหารที่เคลื่อนไหวในถ้ำใต้ดินพวกนั้น เขาสามารถเอาชนะได้งั้นเหรอ?
แค่กู้สยงคนเดียวก็ทำให้เขาเกร็งมือเกร็งเท้าแล้ว ต่อสู้อย่างยากลำบาก ถ้าเจอคนอื่น ฟางผิงอาจจะไม่สามารถเอาชนะได้เสมอไป
ปราณสามารถฟื้นฟูได้เร็วแล้วยังไง?
ปราณทั้งสองฝ่ายยังใช้ไม่ทันหมด เขากลับถูกคนฆ่าตายก่อนแล้ว ต่อให้ฟื้นฟูเร็วกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์
—
หวังจินหยางจากไปแล้ว ไป๋รั่วซีเห็นฟางผิงนิ่งไปนาน จึงเดินไปพลางเอ่ยไปพลาง “สูญเสียกำลังใจในการต่อสู้แล้ว? คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกสินะ เธออย่าลืมว่าเธอเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสองสูงสุด พวกกู้สยงไม่เหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังเป็นคนชนะ กลับดูเหมือนว่าเธอเสียใจกว่าหนานเจียงที่เป็นฝ่ายแพ้ซะอีก รอเธอมีเวลาขัดเกลาในขั้นสองอีกหน่อย เคล็ดวิชาต่อสู้ก้าวไปอีกขั้น กู้สยงคงไม่ใช่คู่ต่อสู้เธออีกแล้ว ต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อย่าเอาแต่คิดจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในระดับเดียวกันได้ทันที เธอมีพรสวรรค์ คนอื่นก็มีเหมือนกัน เธอกำลังพยายามบากบั่น คนอื่นก็พยายามเช่นเดียวกัน คนอื่นมีปรมาจารย์คอยชี้แนะ มียาบำรุงสนับสนุน มีประสบการณ์ต่อสู้มากกว่า เข้าสู่ขั้นสองเร็วกว่า…เธอทำถึงจุดนี้ได้ถือว่าดีมากแล้ว”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มฝืนๆ “อาจารย์ไม่ต้องปลอบใจผมหรอกครับ ผมไม่ได้สูญเสียความตั้งใจง่ายขนาดนั้น แค่กำลังทบทวนอะไรนิดหน่อย อีกอย่าง…”
ทุกคนพุ่งสายตามาหาเขา ฟางผิงถอนหายใจว่า “อีกอย่างผมคิดว่ามหาวิทยาลัยควรชดเชยให้ผมหน่อย เฉินอวิ๋นซีไม่ได้ลงสนามด้วย ยาบำรุงของเธอควรมอบเป็นสิ่งปลอบใจผมหรือเปล่า?”
เฉินอวิ๋นซีที่มีท่าทีเป็นห่วงเมื่อครู่ เปลี่ยนสีหน้าชั่วพริบตา เอ่ยอย่างโมโหว่า “ฉันไม่เห็นด้วย!”
ฉันไม่สนใจยาบำรุงไม่กี่เม็ดหรอก แต่ยังไงก็ไม่เห็นด้วย ฟางผิงจะรังแกคนเกินไปแล้ว!
ฟางผิงถอนหายใจ เอ่ยอย่างเศร้าๆ “เจ็บหนักขนาดนี้ ฐานะทางบ้านก็ไม่ดีอีก แค่ยาฟื้นฟูไม่กี่เม็ดยังไม่มี…เมื่อไหร่ฉันถึงจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งได้กัน? เฮ้อ!”
เฉินอวิ๋นซีลังเลขึ้นมาทันที เอ่ยกระอึกกระอักว่า “งั้น…งั้นยาบำรุงจากหนานเจียง ฉันไม่เอาก็ได้…”
“ได้ ตกลงกันตามนี้!”
ฟางผิงกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา กระทั่งเอวที่คดงอเมื่อครู่ยังเหยียดตรงทันที
ท่าเดินก็ไม่ได้ดูกะโผลกกะเผลกน่าสงสารเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ทำเอาทุกคนต่างเผยสีหน้าตกตะลึง
เฉินอวิ๋นซีอ้าปากค้างเช่นกัน “เขา…เขา…”
ฟู่ชางติ่งกวาดสายตามองเธอ ก่อนจะส่ายหน้า
ผู้หญิงช่างโง่เขลาจริงๆ!
ฟางผิงบาดเจ็บแค่ภายนอกเท่านั้น เหมือนคนกำลังจะตายที่ไหน
ยิ่งไปกว่านั้นยังเอาชนะอันดับที่ยี่สิบสี่ของขั้นสองได้ ฟางผิงจะอ่อนแอได้ยังไง?
อ่อนแอก็บ้าแล้ว!
ฟู่ชางติ่งไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ ทำไมทุกคนถึงคิดว่าฟางผิงที่เพิ่งแตะขั้นสองก็สามารถเข้าสู่ยี่สิบอันดับแรกของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองกลุ่มสู้รบ จะได้รับการกระทบกระเทือนจิตใจง่ายๆ
ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองสามเม็ด ถูกฟางผิงหลอกเอาไปแล้ว
ทั้งเฉินอวิ๋นซียังเป็นฝ่ายเอ่ยปากให้เอง!
ฟางผิงไม่หาประโยชน์จากคนอย่างเธอ จะมีเงินใช้ได้ยังไง
ทุกครั้งที่เล่นบทโศก ผู้หญิงพวกนี้ก็จะหลงกล ฟู่ชางติ่งครุ่นคิดในใจแล้ว ครั้งหน้าตัวเองควรจะใช้วิธีนี้บ้างดีหรือเปล่า
—————-