ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 191-2 ความสามารถของขั้นสาม (2)
ตอนที่ 191 ความสามารถของขั้นสาม (2)
เซี่ยเหล่ยสีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ครางเสียงต่ำ ดึงมือออกจากสนับมืออย่างรวดเร็ว เหวี่ยงหมัดโจมตีหน้าอกฉินเฟิ่งชิง
ฉินเฟิ่งชิงไม่มีท่าทีลนลาน ออกหมัดไปรับอีกฝ่ายอย่างตรงๆ
การปะทะครั้งนี้ทำให้ฉินเฟิ่งชิงถอยหลังไปสองก้าว เซี่ยเหล่ยกลับถอยไปติดต่อกัน พื้นหินอ่อนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าถูกเหยียบจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
ฟางผิงสังเกตเห็นเหมือนกัน หมัดของเซี่ยเหล่ยเต็มไปด้วยรอยเลือด ฉินเฟิ่งชิงกลับไร้รอยขีดข่วน
“โง่เขลา!”
ฉินเฟิ่งชิงแค่นหัวเราะ “ขั้นสามสูงสุดหมายถึงอะไร หรือนายไม่เข้าใจ? กระดูกเนื้อหนังทั่วร่างถูกหลอมแล้ว ปราณเคลื่อนไหวได้ตามใจนึก นอกจากสมองแล้ว ทุกส่วนล้วนถูกป้องกันอย่างแน่นหนา นอกเสียจากพลังหมัดของนายจะทะลวงการป้องกันของปราณฉัน โจมตีอวัยวะภายในได้ ไม่งั้นนายอย่าคิดจะเอาชนะฉันได้เลย”
เวลานี้ฟางผิงเพิ่งเข้าใจว่า ทำไมก่อนหน้านี้เซี่ยเหล่ยถึงเตะเขาไปแค่ครั้งเดียวก็ไม่คิดทำต่อ
เซี่ยเหล่ยปิดปากเงียบ ยังคงเผยสีหน้าเยียบเย็นจ้องมองเขาอยู่พักหนึ่ง “นายทะลวงขั้นสูงสุดนานแล้ว?”
“เหอะๆ นายทายดูสิ?”
ฉินเฟิ่งชิงไม่ได้พูดปฏิเสธ เซี่ยเหล่ยเข้าใจทันที ฉินเฟิ่งชิงไม่ได้เพิ่งทะลวงขั้น
กระดูกเนื้อหนังของเขาหลอมจนถึงขั้นสามสูงสุดแล้ว ภายใต้การเคลื่อนที่ของปราณทั่วร่างกาย นอกจากสมองแล้ว ส่วนอื่นล้วนเป็นเหมือนก้อนโลหะผสม
นอกจากจะสามารถทะลวงการป้องกันจากปราณของเขา สั่นสะเทือนถึงอวัยวะภายใน ไม่งั้นทำได้แค่เลือกโจมตีจุดตายที่สมองเท่านั้น
แต่ทุกคนแข่งขันกันด้วยความฮึกเหิม หากจะต่อสู้เพื่อเข่นฆ่า นั่นคงไม่คุ้มค่า
“ขั้นสามสูงสุด…ปล่อยปราณออกมาภายนอก ควบคุมภายในตามใจนึก จู่โจมและตั้งรับได้…”
ฟางผิงจดจำลักษณะพิเศษพวกนี้เอาไว้ ผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้ปราณสูงประมาณหนึ่งพันแคล
รวบรวมปราณมาป้องกันนิดหน่อย แทบจะเป็นหุ่นยนต์ที่ฟันแทงไม่เข้าแล้ว
หากเซี่ยเหล่ยทุ่มสุดตัวจริงๆ ใช้กระบวนท่าชั้นยอดก็ไม่อาจฝ่าการป้องกันของเขาได้เสมอไป
แต่ยังคงเป็นประโยคนั้น แข่งขันด้วยความฮึกเหิม ไม่มีความจำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น
แค่มองการจู่โจมและตั้งรับปกติก็รู้แล้วว่าเซี่ยเหล่ยไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉินเฟิ่งชิง
ฉินเฟิ่งชิงไม่คิดจะฆ่าเซี่ยเหล่ยให้ตายเช่นกัน เบะปากว่า “แยกย้ายได้แล้ว มองอะไร ฉันเป็นอันดับหนึ่งของขั้นสาม ไม่ยอมก็ไม่มีประโยชน์อะไร”
บางคนหัวเราะขึ้นมา บางคนเอ่ยหยอกว่า “น่าเสียดายที่การจัดอันดับขั้นสามกลุ่มสู้รบ ไม่มีนายอยู่ในนั้นเลย”
“เหอะ ของเล่นพรรค์นั้นใครคิดเป็นจริงเป็นจังกัน”
ฉินเฟิ่งชิงแค่นยิ้ม เอ่ยอย่างดูแคลนว่า “ยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้อยู่ขั้นสามสูงสุด ตอนนี้ให้สิบอันดับแรกพวกนั้นเข้ามาพร้อมกัน นายว่ายังจะเป็นคู่ต่อสู้ของฉันงั้นเหรอ?”
“พูดถึงเรื่องขี้โม้ คงไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้นายได้จริงๆ…”
“อยากมีเรื่อง?” ฉินเฟิ่งชิงโมโหไม่น้อย ทุกคนที่มามุงดูเห็นแบบนั้นเลยพากันแยกย้าย ยังคงได้ยินเสียงหัวเราะแว่วเข้ามาเป็นครั้งคราว
ส่วนพวกเซี่ยเหล่ย มีคนไม่พอใจเล็กน้อยเท่านั้น คนอื่นๆ ไม่คิดจะพูดเหน็บแนมอะไร
เซี่ยเหล่ยไม่ได้จากไปทันที ตอนนี้เขาเก็บสนับมือที่ถูกฉินเฟิ่งชิงทิ้งไว้กับพื้นขึ้นมา เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “รอฉันทะลวงขั้นสามสูงสุดแล้วจะมาย้ำให้นายเห็นความสามารถของตัวเองอีกครั้ง!”
“เหอะ นายขั้นสามสูงสุด ฉันคงขั้นสี่ไปนานแล้ว”
ระหว่างที่ฉินเฟิ่งชิงพูด จู่ๆ ตาก็เป็นประกายขึ้นมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แต่ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นให้น้องชายฉันจัดการนายแทนได้ ฟางผิง ขยันเพิ่มหน่อยจัดการเจ้าหมอนี่!”
ฟางผิงทำหน้าเป็นผู้บริสุทธิ์ เอ่ยอย่างจนใจว่า “ผมผ่านทางมาเท่านั้น…”
“กลัวอะไร! ผู้ชายห้ามพูดว่าไม่ได้ เขาหลอมกระดูกสามครั้ง นายก็หลอมกระดูกสามครั้งเหมือนกัน เขาถูกหวังจินหยางซ้อมจนร้องหาพ่อแม่ นายเป็นพวกของหวังจินหยาง ไม่จัดการเขา เขาก็จัดการนายอยู่ดี!”
ฟางผิงไร้คำจะพูดอย่างถึงที่สุด เหล่าฉินคิดจะหาความบันเทิงให้ตัวเองหรือไง?
เซี่ยเหล่ยได้ฟังจึงมองฟางผิงไปแวบหนึ่ง กลับไม่พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ “รอเขาต้านประธานสมาคมได้สามกระบวนท่าค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
“ฟางผิง เขาดูถูกนาย!” ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างเคืองแทน
“สามกระบวนท่า จางอวี่เลิศเลอมาจากไหน สามกระบวนท่านายยังรับไม่ได้ก็อย่าอยู่เลยดีกว่า”
“รุ่นพี่ฉิน!”
ฟางผิงจำเป็นต้องตัดบทสนทนา “พวกเราไม่ได้มีความแค้นต่อกันนี่ครับ?”
ฉินเฟิ่งชิงหัวเราะเสียงดัง “ไม่มี หาคู่ต่อสู้ให้นายเพราะหวังดีต่างหาก หากเป็นฉัน หลอมกระดูกสามครั้งเหมือนกัน คงต้องสู้กับเขาสักรอบแล้ว ตอนนี้ฝีมือห่างกันนิดหน่อยไม่เป็นไร เขาไม่ถึงขั้นสี่ง่ายๆ หรอก ถึงเวลานั้นนายอยู่ขั้นสาม เขาก็ขั้นสามเหมือนกัน ไม่ห่างชั้นกันแล้ว”
เซี่ยเหล่ยกลับไม่พูดอะไรต่อ สาวเท้าเดินจากไปทันที
เอาชนะฉินเฟิ่งชิงไม่ได้ ทำได้แค่ยอมรับ ยังไงก็ไม่ได้บาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ลูกผู้ชายล้างแค้นสิบปีก็ไม่สาย สู้ไหวแล้วค่อยมาคิดบัญชียังจะดีกว่า
ส่วนฟางผิง…รอเขาไล่ตามตัวเองทันแล้วค่อยว่ากันอีกที
—
พวกเซี่ยเหล่ยจากไป คนที่มาดูเรื่องสนุกต่างรีบแยกย้ายกันออกไปเช่นกัน
เวลานี้ฉินเฟิ่งชิงค่อยเดินเข้ามาตบไหล่ฟางผิงด้วยรอยยิ้ม “เมื่อกี้แค่หยอกเล่น แต่ฉันคิดว่าไม่ช้าก็เร็วนายจะต้องสู้กับเซี่ยเหล่ย เชื่อฉัน ลางสังหรณ์ฉันค่อนข้างแม่น แทบไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ คนที่หลอมกระดูกสามครั้ง ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีแค่นายสองคน หากนายก้าวหน้าช้า อยู่ระดับต่ำกว่าเขาคงไม่เป็นไร แต่ตอนนี้นายทะลวงขั้นสองสูงสุดแล้ว ขั้นสามคงอีกไม่นานนี้ ไล่ตามเขาทันอยู่แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามที่หลอมกระดูกสามครั้งเหมือนกัน จะไม่ลองใช้อีกฝ่ายเป็นคู่มือซ้อมได้งั้นเหรอ?”
ฟางผิงหัวเราะเบาๆ “ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันอีกทีเถอะ”
อันที่จริงเขาคิดว่าฉินเฟิ่งชิงพูดถูกเหมือนกัน ในเซี่ยงไฮ้มีแค่เขาและเซี่ยเหล่ยที่หลอมกระดูกสามครั้ง หากอยู่ระดับเดียวกันจริงๆ มีโอกาสที่จะประมือกันสูงเช่นกัน
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อันที่จริงหมอนี่ไม่ได้อ่อนแอ ฉันแค่อยู่ขั้นสามสูงสุดมาระยะหนึ่งแล้วถึงกำราบเขาได้ หากอยู่ระดับเดียวกัน ฉันอาจไม่ชนะเสมอไป เมื่อครู่แค่เล่นกันขำๆ ไม่ได้จริงจัง ไม่งั้นใครแพ้หรือชนะยังพูดยาก ฉันเห็นนายตั้งนานแล้ว แค่ตั้งใจให้นายเห็นฝีมือของเซี่ยเหล่ยเฉยๆ…”
ฟางผิงมองเขาอย่างสงสัย ฉันไม่คิดจะเป็นแพ้รับบาปหรอกนะ!
“อะไร นายไม่เชื่อ?”
ฉินเฟิ่งชิงทำหน้าไม่พอใจ มองเขาว่า “เพราะเห็นนายจริงๆ ฉันถึงได้ลงมือหยั่งเชิงเขา ไม่งั้นคงไม่สู้กันหรอก”
“ก่อนผมมาพี่ก็อัดคนอยู่แล้ว…”
“นั่นไม่ใช่เซี่ยเหล่ยซะหน่อย นายจะเข้าใจอะไร” ฉินเฟิ่งชิงเบะปาก ก่อนจะเอ่ยด้วยยิ้ม
“สรุปแล้ว น้ำใจครั้งนี้นายต้องรับไว้ อยากคืนก็ง่ายๆ นายแค่ยอมรับว่าการต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะนายก็พอแล้ว…”
ฟางผิงทำหน้าระแวดระวัง ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ฟางผิง ท่าทีแบบนี้คืออะไร ฉันต่อสู้เอาเป็นเอาตายเพื่อนาย…”
สิ้นเสียงของเขา จู่ๆ ข้างกายก็มีเสียงเบาๆ ดังขึ้น
ก่อนร่างของฉินเฟิ่งชิงจะลอยหวือไปร่วงอยู่บนบันไดที่หน้าประตูใหญ่ด้านนอก
หลู่เฟิ่งโหรวทำราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น สาวเท้าไปข้างหน้าพลางเอ่ยว่า “ไปห้องแหล่งพลังงาน”
“อาจารย์ครับ เขา…”
“อยากจัดการเขาตั้งนานแล้ว! ไม่ต้องสนใจ ตายไม่ได้หรอก ยังคิดจะหลอกลูกศิษย์ฉันให้ชดใช้เงินแทนเขา คิดว่าโง่เหมือนกันหมดหรือไง”
คำพูดของหลู่เฟิงโหรวทำให้ฟางผิงนึกอะไรบางอย่างได้ ไม่นานฟางผิงก็ได้ยินเสียงคนพูดขึ้นด้านหลัง
“ฉินเฟิ่งชิง คนเขาไม่ได้รับผิดชอบแทนนาย ชดใช้เงินซะเถอะ! พื้นหินอ่อนแตกสิบสองแผ่น โต๊ะพังหนึ่งตัว กำแพงมีรอยหกจุด…ทั้งหมดสามแสน”
“แพงขนาดนี้เลย? นายไปปล้นเอาเถอะ!”
“ใช่ กำลังจะปล้นนี่แหละ นายจะชดใช้ไม่ชดใช้?”
“ฉันไม่มีเงิน!”
ฉินเฟิ่งชิงตะโกนเสียงดังอย่างเคอะเขิน “ใช้หมดแล้ว ไม่เหลือแม้แต่สตางค์เดียว ฟางผิงช่วยฉันออกก่อน ฉันกลับไปจะคืนให้!”
เพื่อทะลวงขั้นสามสูงสุด นอกจากอาวุธที่พกติดตัว กระทั่งรถเขายังขายทิ้ง!
จะเอาเงินที่ไหนมาชดใช้ ไม่งั้นใครจะมีเวลามาตะล่อมคุยกับฟางผิงเจ้าเด็กนั่น
—
ฟางผิงที่อยู่ไม่ไกลทำหน้าหมดคำพูด ไอ้เวรนี่ทำไมไม่ถูกคนซัดตายไปซะ!
————–