ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 194-2 ไม่มีเงินฝึกวิชายากชะมัด (2)
ตอนที่ 194 ไม่มีเงินฝึกวิชายากชะมัด (2)
ฟางผิงไม่ได้พูดเช่นกันว่าจะเตรียมยาบำรุงไว้ให้เขา รับค่าตอบแทนโดยที่ไร้ผลงาน อย่างน้อยหลี่เฉิงเจ๋อจะแสดงศักยภาพให้ตัวเองมีมูลค่าที่ต้องจ่ายออกมา
ตอนนี้คุณค่าของเขาถูกใช้ไปหมดแล้ว
เวลาไม่ถึงหนึ่งปี ฟางผิงให้ยาบำรุงเขาไปแล้วหกเม็ด ไม่ว่าของสิ่งใดจ่ายออกไปแล้วต้องมีการตอบแทน
“พยายามขยับขยายให้เร็วที่สุด เน้นเรื่องนี้เป็นอันดับแรก! อีกอย่างถ้ามีคนมาเสนอเงินทุนให้โทรหาผม ผมจะพิจารณาเอง”
มูลค่าของหยวนฟาง ตอนนี้ไม่อาจประเมินออกมาได้ อย่างน้อยต้องดูสินทรัพย์สุทธิ อยู่ในสภาวะที่ขาดทุนมาโดยตลอด จะสามารถเพิ่มค่าทรัพย์สินได้หรือไม่ เกรงว่ายังต้องให้คนนอกรับรู้มูลค่าก่อน
“ได้ครับ มีข่าวคราวผมจะติดต่อคุณทันที”
“…”
ฟางผิงไม่พูดมากอีก ตอนที่เดินออกมาจากบริษัท ยังคงครุ่นคิดพึมพำว่า “ต้องหาใครสักคนมาถ่วงดุลอำนาจ เป็นใครดีล่ะ?”
นับวันบริษัทยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เงินลงทุนก็มากขึ้นตาม
หากพูดระคายหูหน่อย วันไหนที่เขาตายในถ้ำใต้ดิน แม้ว่าคนที่บ้านจะรู้เรื่องบริษัท ก็ไม่แน่ว่าจะคว้าอำนาจมาอยู่ในมือได้ ถึงเวลานั้นจะถูกคนอื่นชิงผลประโยชน์เอาได้
“อีกอย่างหวังว่าการใช้ชีวิตสงบสุขแบบนี้จะสามารถอยู่ได้นานอีกหลายปีหน่อย”
ฟางผิงภาวนาในใจ หากเกิดเรื่องวุ่นวาย บริษัทเล็กคงไม่เป็นไร แต่บริษัทขนาดใหญ่ เกรงว่าระบบธุรกิจคงจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก
ถึงเวลานั้น นอกจากธุรกิจเกี่ยวกับสิ่งของที่จำเป็นในการดำรงชีวิตหรือธุรกิจเกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธ์ เกรงว่าธุรกิจอื่นคงต้องปิดกิจการล้มไม่เป็นท่า
“ระยะหลังต้องลงทุนสักสามสิบห้าล้าน ก็ไม่รู้ว่าจะมีคนเสนอเงินทุนให้สูงหรือเปล่า…”
ฟางผิงถอนหายใจอีกครั้ง หากมีลูกค้ารายใหญ่มาสักคน ประเมินราคาให้เขาสักพันล้าน ไม่แน่ว่าหลังจากได้เงินทุน เขาอาจจะมีค่าทรัพย์สินกว่าพันล้านขึ้นมา
ระบบมีข้อดีอยู่บ้าง ประเมินแค่มูลค่าปัจจุบัน หลังจากนั้นแม้จะล้มไม่เป็นท่า ค่าทรัพย์สินก็ไม่อาจถูกริบคืน
สิ่งที่ฟางผิงต้องทำคือให้มูลค่าในปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด ส่วนตอนจบจะเป็นยังไง นั่นไม่อยู่ในความคิดของเขา
หากสังคมวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ เงินก็คงไม่มีประโยชน์เท่าไหร่แล้ว งั้นองค์กรให้เงินทุนพวกนั้นคงเหมือนกัน
เพิ่งจะนึกเรื่องพวกนี้ จู่ๆ มือของฟางผิงกลับสั่นขึ้นมา
ไม่ใช่ข้อความ ฟางผิงรู้เช่นกันว่าเงินของเฉินอวิ๋นซีถูกโอนเข้ามาในบัญชีแล้ว
ค่าทรัพย์สินมีการเพิ่มขึ้นสองล้าน แตะถึงยี่สิบสี่ล้านหกหมื่น
และเงินสดที่ติดตัวก็พุ่งสูงถึงสามสิบสี่ล้านหกแสน
“โอนเงินให้บริษัทยี่สิบล้าน ค่าทรัพย์สินจะเหลือยี่สิบสี่ล้านหกหมื่น เงินสดสิบสี่ล้านหกแสนรวมกับยาบำรุงเลือดและปราณธรรมดาอีกห้าเม็ด…”
ยาบำรุงนี้เป็นของพานเสี่ยวหยาง ฟางผิงไม่ได้ขายออกไป
จากค่าใช้จ่ายในการหลอมกระดูกก่อนหน้านี้ของระบบ หลอมกระดูกหนึ่งชิ้นต้องใช้ค่าทรัพย์สินหกแสน กระดูกแกนกลางมีแค่ห้าสิบเอ็ดชิ้น ค่าทรัพย์สินประมาณสามสิบล้านน่าจะเพียงพอแล้ว…”
ฟางผิงคำนวณในใจอีกครั้ง แต่เขามีลางสังหรณ์ว่าเรื่องนี้คงไม่เป็นไปตามที่เขาคาดไว้
ซี่โครงและกระดูกอกเขาไม่รู้ แต่กระดูกสันหลังเป็นหนึ่งในกระดูกที่สำคัญที่สุดของร่างกายรองจากกระดูกศีรษะ
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามหลายคนต่างจมอยู่ในช่วงคอขวด เมื่อหลอมกระดูกสันหลัง ต้องสิ้นเปลืองเวลาและทรัพยากรมากมาย
ระบบเจ้าเล่ห์นั่นจะให้เขาใช้ค่าทรัพย์สินหกแสนแลกต่อกระดูกหนึ่งชิ้น ใช้ความเร็วเหมือนกันในการหลอมกระดูกสันหลังอย่างนั้นเหรอ?
“กลับไปลองดูก็รู้แล้ว”
ไม่คิดเรื่องพวกนี้อีก ฟางผิงกลับเข้าไปในมหาวิทยาลัยอีกครั้ง
—
คืนนั้นฟางผิงได้รับประกาศที่มหาวิทยาลัยส่งมา
วันที่ 1 เมษายน มหาวิทยาลัยจัดคลาสฝึกพิเศษขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้คลาสฝึกพิเศษไม่ได้มีแค่นักศึกษาใหม่อย่างเดียว แต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองในมหาวิทยาลัยทั้งหมด
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีไม่น้อย เกือบหนึ่งพันคน
พูดได้ว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองขั้นสามของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ในประเทศจีน เซี่ยงไฮ้และปักกิ่งสองมหาวิทยาลัยชื่อดัง อย่างน้อยมหาวิทยาลัยหนึ่งแห่งก็เยอะกว่ามหาวิทยาลัยทั่วไปถึงสิบแห่ง
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองเกือบหนึ่งพันคน ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับข้อความนี้ทั้งหมด
หลักๆ แล้วกี่คน ฟางผิงไม่แน่ใจ
แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองหลายคนที่อยู่ปีหนึ่งต่างได้รับทั้งสิ้น
ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวกะทิในหมู่นักศึกษาใหม่ เห็นได้ชัดว่าไม่อาจเทียบได้กับพวกปีสามปีสี่ที่ต้องพยายามอย่างหนักถึงเพิ่งสามารถทะลวงขั้นสองได้
“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง…”
ฟางผิงพึมพำ ฉันต้องไปหรือเปล่า?
ฉันควรไปใช่ไหม?
ฉันขั้นสามแล้วนี่นา!
แต่คิดไปก็เท่านั้น เขาเข้าขั้นสามแล้ว กระทั่งขั้นสองยังถูกบังคับให้เข้าร่วม ขั้นสามอย่างเขาคงไม่ต้องพูดถึง
แทนที่จะให้เขาไปอยู่กับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ยังไม่สู้ให้เขาปะปนกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง
อย่างน้อยก็ปลอดภัยมากกว่า
ฟางผิงไม่เชื่อหรอกว่ามหาวิทยาลัยจะส่งนักศึกษาแนวหน้าขั้นสองมากมายขนาดนี้ให้ไปตาย แต่ขั้นสาม มหาวิทยาลัยคงไม่ได้สนใจเท่าไหร่แล้ว
“อีกอย่างต้องมีผลประโยชน์แน่ๆ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามอาจจะไม่มีเสมอไป พวกเขาต้องรับภารกิจด้วยตัวเอง…”
คิดเรื่องนี้อย่างทะลุปรุโปร่ง ฟางผิงจึงไม่คิดต่อต้านการเข้าร่วมคลาสฝึกพิเศษอีก เขาอยู่ขั้นสาม เจอกับอันตรายต้องต้านทานได้มากกว่าขั้นสองพวกนั้นอยู่แล้ว
ไม่สนใจเรื่องข้อความอีก ฟางผิงรวบรวมสมาธิ ก่อนจะเริ่มเข้าสู่สภาวะจวงกง ถือโอกาสลองใช้ระบบในการหลอมกระดูกไปด้วย
ปรากฏว่าแค่กระดูกชิ้นเดียว ใบหน้าฟางผิงกลับเขียวคล้ำแล้ว!
ไม่รู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะกระดูกอกใหญ่เกินไป หรือระบบเริ่มสร้างความลำบากอีกแล้ว เพิ่งจะอัปเกรดการหลอมกระดูกได้หนึ่งเปอร์เซ็นต์ ฟางผิงถึงกับต้องรีบหยุดไว้
“ค่าทรัพย์สินสามหมื่น!”
ฟางผิงใบหน้ามืดครึ้ม ก่อนหน้านี้แค่หนึ่งหมื่น ตอนนี้เพิ่มขึ้นมาหลายเท่าตัวแล้ว!
“แบบนี้กระดูกหนึ่งชิ้นก็จะใช้หนึ่งล้านแปดแสนน่ะสิ? งั้นห้าสิบเอ็ดชิ้น ค่าทรัพย์สินปาไปกว่าร้อยล้านแล้ว!”
“ใครฝึกวิชาถึงขั้นสามตอนปลายด้วยเงินนับร้อยล้านบ้างกัน!”
ฟางผิงพูดแขวะออกมา เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสาม ฝึกถึงขั้นสามตอนปลายต้องใช้เงินมากอยู่แล้ว แต่คงไม่ถึงขั้นร้อยล้านหรอก
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขายังไม่ได้คำนวณเรื่องอื่น ปราณจำเป็นต้องตามทันกับการหลอมกระดูกด้วย
จากคนธรรมดาสู่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งใช้เงินหนึ่งล้านก็เพียงพอแล้ว
ขั้นหนึ่งถึงขั้นสองสิบล้านถือว่าเหลือเฟือ
ขั้นสองถึงขั้นสาม ไม่ได้สิ้นเปลืองเยอะไปกว่าขั้นหนึ่งรวมกับขั้นสองเท่าไหร่
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสอง สามารถมองเป็นระดับเดียวกันได้ การหลอมกระดูกต่างเป็นกระดูกรยางค์
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เงินสามสิบล้านเพียงพอจะให้คนธรรมดากลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามแล้ว แน่นอนว่ายังคงต้องรอเวลา ใช้เวลาหลายสิบปีเป็นเรื่องปกติ
แต่ขั้นสามถึงขั้นสามสูงสุด สิ้นเปลืองอย่างมาก อย่างน้อยต้องใช้เงินกว่าสี่สิบห้าสิบล้าน
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดคนหนึ่ง เปลี่ยนการใช้ทรัพยากรเป็นเงิน มูลค่านั้นนับร้อยล้าน นี่ถึงเป็นสาเหตุที่ประเทศจีนมีการจัดสรรเงินทุนจำนวนมากให้กับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทุกปี
เงินทุนภายในนั้นส่วนมากใช้กับผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้ ขั้นหนึ่งขั้นสองกลับไม่ได้จุนเจือมากมาย
อันที่จริงเพื่อทำเวลาให้ได้รวดเร็ว ฟางผิงสิ้นเปลืองไปเป็นจำนวนมากแล้ว สิ้นเปลืองกว่าคนธรรมดาที่ทะลวงถึงขั้นสามทั่วไปเสียอีก
ผลลัพธ์กลับพบว่าหลังจากนี้ยังจะต้องเสียเงินเยอะกว่าเดิม
“นี่ไม่ได้หมายความว่ารอฉันถึงขั้นสามสูงสุดแล้ว อย่างน้อยต้องเสียเงินมากกว่าคนทั่วไปถึงหนึ่งเท่า สองร้อยล้านอาจไม่พอ?”
ฟางผิงจนใจอยู่บ้าง ถ้าเขามีเงินคงไม่สนใจเรื่องพวกนี้
มีได้ย่อมมีเสีย พัฒนาอย่างรวดเร็ว ใช้เงินเพิ่มหน่อย เขาไม่เป็นไรอยู่แล้ว
คนอื่นยังไม่อาจวาดฝันด้วยซ้ำ คนรวยมีเยอะแยะ แต่ผลาญเงินอย่างเดียวไม่ได้หมายความว่าจะสามารถเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งได้
ต่ำกว่าขั้นสามยังพอมีหวัง แต่หลังจากเข้าสู่ระดับกลาง นั่นไม่ใช่เรื่องของเงินแล้ว
ในความเป็นจริง แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม การหลอมกระดูกสันหลังก็ไม่ใช่แค่เรื่องเงินอย่างเดียว ยังต้องใช้พรสวรรค์ด้วย
แน่นอนว่ามีทรัพยากร นั่นคงไม่เหมือนกัน อีกฝ่ายสามารถเข้าไปในห้องแหล่งพลังงาน ยิ่งจะสามารถหลอมกระดูกได้ง่ายกว่า ฟื้นฟูปราณได้เยอะกว่า นี่ถือเป็นข้อได้เปรียบ แต่คนปกติไม่อาจรับค่าใช้จ่ายนี้ไหวอยู่แล้ว
“ค่าทรัพย์สินยี่สิบกว่าล้าน เพียงพอให้หลอมกระดูกสิบกว่าชิ้นเท่านั้น กระทั่งขั้นสามตอนกลางยังไม่ถึงด้วยซ้ำ”
ฟางผิงไร้เรี่ยวแรงอยู่บ้าง จากนี้ควรทำยังไงดี?
เงินสดและค่าทรัพย์สินใช้หมดแล้ว เขาน่าจะมีโอกาสเข้าสู่ขั้นสามตอนกลาง แต่ตอนปลายอย่าหวังเลย
“ดูไปทีละก้าวเถอะ ไม่รู้ว่าครั้งนี้คลาสพิเศษมีผลประโยชน์ให้เยอะหรือเปล่า ถ้ามีบางทีฉันอาจมีโอกาสเข้าสู่ขั้นสามตอนปลาย”
ฟางผิงไม่ใช้ระบบในการหลอมกระดูกอีก ใช้ค่าทรัพย์สินมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ตอนนี้ค่าทรัพย์สินมีไม่เยอะ ทั้งไม่อาจออกทำภารกิจได้
ช่วงเวลานี้พึ่งปราณตัวเองในการบ่มเพาะกระดูก ก็ถือเป็นการเตรียมพร้อมในอนาคตเหมือนกัน
ทั้งฟางผิงยังตระหนักได้ถึงบางอย่าง เวลานี้ถ้าไม่ถึงขั้นสามตอนปลาย ใช้ค่าทรัพย์สินมาฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างมาก
ความแตกต่างระหว่างขั้นสามตอนต้นและตอนกลางไม่ได้ชัดเจนเท่าไหร่ แต่เรื่องทักษะการต่อสู้ในสถานการณ์จริงกลับจะสำคัญมากกว่า
———————