ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 198 รอฉันมีอำนาจก่อนเถอะ...เหอะ(1)
ตอนที่ 198 รอฉันมีอำนาจก่อนเถอะ…เหอะ(1)
ฟางผิงเผยความเกรงขาม กวาดสายตามองทุกคน คลี่ยิ้มว่า “ถ้าคิดว่าฉันไม่มีคุณสมบัติพอจะได้คะแนนนี้ ก็ขึ้นประลองต่อได้!”
ระหว่างที่ฟางผิงพูด สายตาก็มองไปยังพวกคนที่ซุบซิบนินทาก่อนหน้านี้
พวกเขาต่างหน้าเปลี่ยนสี ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
เฉินเผิงเฟยมองพวกอวี๋ซั่งหวา ก่อนจะมองฟางผิงอีกที เอ่ยว่า “ถ้านายไม่ถือสา บอกได้หรือเปล่าว่าปราณสูงเท่าไหร่?”
“ประมาณหกร้อยแคล”
เฉินเผิงเฟยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พยักหน้าไม่ถามอะไรอีก
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดหลอมกระดูกสองครั้ง ต่อให้ปราณสูงยังไงก็คงสูงไม่เกินห้าร้อยแคล
ในความเป็นจริงปกติปราณจะจำกัดที่สี่ร้อยแปดสิบแคล นี่พูดถึงกรณีของผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกสองครั้ง
ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปมีปราณที่ประมาณสี่ร้อยแคลเช่นกัน
ปราณของฟางผิงแตะถึงหกร้อยแคล ภายใต้การปะทุจึงมีอานุภาพรุนแรงและยาวนานยิ่งกว่า
รวมทั้งเข้าสู่ขั้นสามแล้ว ขีดจำกัดปราณและประสิทธิภาพจึงเพิ่มสูงขึ้น
แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทั้งสองคนถูกเอาชนะได้
ประเด็นหลักยังอยู่ที่ปราณฟางผิงสูงถึงหกร้อยแคล นึกไม่ถึงว่ายังสามารถฟื้นฟูปราณได้ต่อเนื่อง ทำให้ไม่อาจต้านไหว
สุดท้ายอวี๋ซั่งหวาจึงถูกกำราบ ไม่มีแรงตอบโต้ได้แม้แต่น้อย
แม้จะอยากใช้กระบวนท่าเต็มรูปแบบ แต่ฟางผิงก็ไม่เปิดโอกาสให้เขา ฟันดาบออกมาต่อเนื่องแทบไม่หยุดพัก อวี๋ซั่งหวาไม่มีกระทั่งโอกาสรวบรวมแรงด้วยซ้ำ
หากต้องถอยหลบวิ่งหนี…นั่นยังจะเรียกว่าการแลกเปลี่ยนความรู้ได้ยังไงอีก
เดิมทีก็สู้สองต่อหนึ่งแล้ว ยังวิ่งหนีอีก คงขายหน้ายิ่งกว่า
ยิ่งไปกว่านั้นฟางผิงยังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แม้จะไม่ได้ระเบิดปราณเต็มพลัง ประเด็นหลักกลับอยู่ที่ฟันออกมาอย่างไม่หยุดพัก
แต่เคล็ดฝีเท้า ฟางผิงยังคงลงแรงไปไม่น้อย หลายวันนี้มีเวลาว่างก็เอาแต่ฝึกฝนเคล็ดฝีเท้า
ในความคิดของฟางผิง หากสู้ไม่ไหวก็ควรหนีให้รอด รวมทั้งปราณที่ปล่อยออกมาได้อย่างต่อเนื่อง ผู้ฝึกยุทธ์ที่ความเร็วพอๆ กับเขา เทียบกันแล้วเขาสามารถหนีตายได้เร็วกว่าเป็นไหนๆ
เคลื่อนไหวอย่างว่องไว ปล่อยพลังได้ต่อเนื่อง ผู้ฝึกยุทธ์เช่นนี้สกัดยากอย่างยิ่ง
นอกจากจะออกกระบวนท่าโจมตีฟางผิงให้เจ็บหนัก ไม่งั้นคงแทบไม่มีหวังเอาชนะได้
ฟางผิงเห็นทุกคนต่างเงียบกริบ จึงแค่นหัวเราะไม่พูดอะไรอีก
ตัวเองเอาชนะกู้สยงมาอย่างยากลำบาก พูดว่ายากลำบากนั้นถูกแล้ว นั่นเพราะฟางผิงไม่ได้เสียค่าทรัพย์สินเพื่อเติมปราณเลย
ครั้งนั้นฟางผิงอาศัยกำลังตัวเองในการต่อสู้อย่างแท้จริง
แต่ตอนนี้สู้หนึ่งต่อสอง หากเขายังยืนหยัดความคิดเช่นนั้นคงเป็นคนโง่แล้ว
หากไม่ใช่ว่าอยากจะทำให้เป็นขั้นเป็นตอนหน่อย เดิมทีเขาคงไม่ยอมบาดเจ็บเพื่อล่อจางจื่อเวยให้ติดเบ็ดหรอก รุมโจมตีตรงๆ ก็สามารถสังหารสองคนนี้ได้เช่นกัน
ใช้ความเร็วจัดการกับจางจื่อเวย ได้รับบาดเจ็บนิดหน่อย นี่ยังอยู่ในขอบเขตที่ฟางผิงทนได้ ทั้งเป็นเหตุผลหลักที่ใช้ความเร็วคลี่คลายการต่อสู้ครั้งนี้
—
“หลังจากนี้พวกของฉันจะโหวตให้นาย”
อวี๋ซั่งหวาเก็บกระบองสั้นขึ้นมา ไม่คิดมากความอีก เดินจากไปด้วยฝีเท้าซวนเซอยู่บ้าง
กระดูกแขนซ้ายเขาร้าวเล็กน้อย หน้าอกได้รับบาดเจ็บหนักยิ่งกว่า ช่วงนี้อย่าคิดจะได้ลงมือกับใครเลย
ส่วนจางจื่อเวยบาดเจ็บหนักกว่าหน่อย ก่อนหน้านี้เพื่อจะกำจัดคู่ต่อสู้คนหนึ่งออกไป ฟางผิงจึงไม่เมตตาแม้แต่น้อย กระดูกแขนของจางจื่อเวยไม่ได้ร้าว แต่ถูกโจมตีจนหักจริงๆ
เวลานี้หากไม่มียาเสริมสร้างกระดูกขั้นสองและยาฟื้นฟูดีๆ หนึ่งเดือนก็คงไม่อาจรักษาให้เป็นปกติได้
ส่วนหมัดคู่ที่โจมตีตอนสุดท้าย…
ตอนนี้พวกหยางเสี่ยวม่านเผยแววตาแตกต่างกันไปอยู่บ้าง นี่คือสู้กันจบแล้ว?
จางจื่อเวยแค่พูดยังลำบากอยู่บ้าง มองฟางผิงไปแวบหนึ่ง ก่อนจะสาวเท้าจากไปภายใต้การประคองของนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง
ทั้งสองคนจากไปแล้ว เฉินเผิงเฟยก็หัวเราะว่า “อย่ามองฉัน ฉันน่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาย โหวตให้เป็นเรื่องเล็ก กลับเป็นนายที่ครั้งนี้ถูกกำหนดให้ต้องต่อสู้กับเซี่ยเหล่ยในไม่เร็วก็ช้า”
“หืม?”
“จางจื่อเวยเป็นแฟนของเขา จุๆ นายอัดคนจนมีสภาพแบบนี้ ถ้าฉันเป็นเซี่ยเหล่ย คืนนี้คงจะตามหาตัวนายแล้ว”
เฉินเผิงเฟยหัวเราะเสียงดัง ฟางผิงไม่ได้ลงมือเบาเลย!
อัดหน้าอกแฟนของคนอื่นเขาจนทรุดลงไปแบบนั้น นี่ถ้าเป็นเขา เกรงว่าคงจะมาแก้แค้นในทันที
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “หากเขามาจริงๆ แล้วจะยังไง!”
หากเซี่ยเหล่ยมาหาเขาจริงๆ สู้กันขึ้นมา ฟางผิงคงไม่ใช่คู่ต่อสู้
ถึงเวลานั้นอย่าโทษว่าฟางผิงเลือดเย็นแล้วกัน!
ขึ้นสนามประลอง ฟางผิงไม่รับปากอยู่แล้ว ต่อสู้วิ่งไล่ล่ากัน อย่างมากวิ่งไม่กี่ชั่วโมง หากฟางผิงอัดเซี่ยเหล่ยตายไม่ได้ก็ผลาญปราณให้เขาตายได้เหมือนกัน
เฉินเผิงเฟยหัวเราะลั่น ไม่พูดอะไรอีก ก้าวเท้าเดินออกไป
ฟู่ชางติ่งเผยสีหน้าบูดบึ้ง จู่ๆ เฉินเผิงเฟยก็หมุนตัวกลับมา “ฟู่ชางติ่ง ก้นหายดีหรือยัง?”
“ไอ้เวร!”
ฟู่ชางติ่งเดือดสุดขีด ทำท่าเหมือนเตรียมจะสู้กับเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย
เฉินเผิงเฟยหัวเราะ ก่อนจะจากไปอย่างรวดเร็ว ไม่คิดวอแวกับเขาต่อ
คนอื่นๆ เห็นแบบนั้นต่างแยกย้ายกันไปตามทางของตัวเองเช่นกัน จู่ๆ ฟางผิงก็เอ่ยขึ้นว่า “ก่อนเปิดเทอมหน้า ฉันจะท้าประลองกับประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์แน่นอน ทางที่ดีทุกคนอธิษฐานว่าหลังจากนี้อย่าได้อยู่ใต้กำมือฉันดีกว่า!”
ฟางผิงแค่นเสียงในลำคอ ก่อนจะเก็บดาบยาวขึ้นมา สาวเท้าจากไป
พวกปีสูงย่อมเข้าใจสิ่งใดที่เรียกว่าอย่าได้รังแกเด็กที่ยากจน!
พวกเขาเพิ่งจะปีหนึ่งเท่านั้น!
ปีหนึ่งเป็นประธานไม่ได้ แล้วปีสองล่ะ?
คนพวกนี้ถึงเวลานั้นยังไม่จบการศึกษา
ตอนนี้มาวิพากษ์วิจารณ์ตัวเอง รอดูเขาเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ก่อนเถอะ หึๆ!
ทุกคนสบสายตากัน ผ่านไปพักใหญ่ มีคนเอ่ยอย่างจนใจว่า “ปีสองทะลวงขั้นสี่มีหวังหรือเปล่า?”
เข้าสู่ขั้นสี่ตำแหน่งประธานคงมั่นคงแล้ว
มีคนไอแห้งๆ ว่า “ให้ประธานครองตำแหน่งนานหน่อยเถอะ จบแล้วค่อยหลีกทาง ตอนนี้พวกเราอยู่ปีสาม รอเขาเป็นประธานก็ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว”
ทุกคนประสานสายตากัน นักศึกษาปีสามบางส่วนทำท่าราวกับเห็นด้วย
จางอวี่ไม่หลีกทางก่อนจบการศึกษา ฟางผิงคงครองตำแหน่งไม่ได้ พวกเขาย่อมไม่ต้องกลัวฟางผิงจะใช้อำนาจมาข่มเหง
ส่วนพวกที่ยังอยู่ปีสองนั้น…
ต้องหาทางเอาเอง ไม่แน่ว่าปีสองอาจจะมีคนที่มีฝีมืออยู่ เทียบกับฟางผิงแล้ว เซี่ยเหล่ยมีโอกาสจะได้เป็นประธานสูงกว่า
“ยังดีที่เขาโจมตีจางจื่อเวย…”
มีคนหัวเราะขึ้นมา โจมตีจางจื่อเวย ฟางผิงนับว่าได้สร้างคู่ต่อสู้อย่างแท้จริงให้ตัวเองแล้ว
ตอนนี้เซี่ยเหล่ยคงไม่เอาเรื่องกับเขา รอเขาทะลวงขั้นสามตอนปลายแล้ว เซี่ยเหล่ยต้องจัดการเขาอย่างแน่นอน
อัดแฟนสาวของตัวเองจนสภาพเป็นแบบนั้น ยังไม่รู้ว่าหน้าอกบุบลงไปหรือเปล่า เป็นเรื่องที่ผู้ชายทนไม่ได้จริงๆ
—
“ฟางผิง นายไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า?”
อีกด้านหนึ่ง เฉินอวิ๋นซีเห็นมือซ้ายเขามีเลือดออกประปราย หน้าอกก็มีคราบเลือดจึงอดถามไม่ได้
ฟางผิงส่ายหัว เอ่ยอย่างไม่สนใจว่า “กระดูกหักบางส่วนเท่านั้น ปราณใช้จนเกลี้ยง ยังไงก็ซื้อยาเสริมสร้างกระดูกขั้นสองไม่ไหวอยู่แล้ว รอกระดูกรักษาตัวเองไปละกัน”
“กระดูกหัก?”
“อืม หักแค่ไม่กี่ชิ้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่”
“งั้น…”
“อวิ๋นซี!”
หยางเสี่ยวม่านตะโกน ถลึงตามองฟางผิงอย่างโมโห “อย่ารังแกคนใสซื่อได้หรือเปล่า!”
ฟางผิงทำหน้าแปลกใจ “ฉันทำอะไร?”
“นาย…”
หยางเสี่ยวม่านเผยสีหน้าจนใจ นายทำอะไรงั้นเหรอ?
นายขายความน่าสงสารน่ะสิ!
คิดว่าพวกเรามองไม่ออกเหรอไง!
ฟางผิงทำหน้างุนงง เอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “ฉันไปรังแกใคร? ฉันกระดูกหักก็ทำหักเอง ไม่มีเงินเท่านั้น คนจนต้องพยายามยืนด้วยตัวเอง ทนต่อความลำบากได้ ฉันชินตั้งนานแล้ว…”
ฟู่ชางติ่งรู้สึกว่าตัวเองอยากตายเหลือเกิน ตัดบทว่า “พอได้แล้ว อย่าหลอกอวิ๋นซีอีกเลย! ถ้านายกระดูกหักจริงๆ ตอนนี้คงกินยาเสริมสร้างกระดูกไปสิบเม็ดแล้ว”
เขารู้ทันฟางผิงหรอก หากเจ็บหนักจริงๆ หมอนี้คงไม่ใจกว้างให้ตัวเองตายอยู่แล้ว
เฉินอวิ๋นซีดึงสติกลับมาได้เช่นกัน เผยสีหน้าแดงก่ำ โมโหอย่างเห็นได้ชัด
ฟางผิงจนใจอยู่บ้าง ฉันแค่พูดไปอย่างนั้น หลอกคนได้คนหนึ่งก็แล้วไป จะอะไรกันนักหนา ทั้งไม่ได้หลอกใครสำเร็จสักหน่อย!
—————–