ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 207-2 รวมตัวที่หนานเจียง (2)
ตอนที่ 207 รวมตัวที่หนานเจียง (2)
หลังจากนั้นไม่กี่นาทีจึงเหลือเพียงกลุ่มนักศึกษายืนมองตากันปริบๆ
เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างคาดไม่ถึง ครั้งนี้พวกเขาต้องตัดสินใจกันเอง
ผ่านไปสักพัก มีคนเอ่ยขึ้นมา “ทุกคนปรึกษากันเถอะว่าควรจะสู้ยังไง ล้อมโจมตียังไง…”
“อีกฝ่ายไม่ได้เยอะไปกว่าเราเท่าไหร่ ก็เข้าไปพร้อมๆ กันเลย…”
“โง่เง่า!”
“ในความคิดฉัน สู้ใครสู้มัน ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ใช่ทหาร พวกเราไม่เคยออกรบเป็นทีมใหญ่ขนาดนี้มาก่อน ฝืนสู้กันเป็นทีมกลับจะเป็นปัญหา”
“ไม่เคลื่อนไหวพร้อมกัน นั่นจะวุ่นวายมากกว่า…”
“…”
ทุกคนถกเถียงกันไปมา ไม่นานก็มีคนตะโกนว่า “ทุกคน อันดับแรกอย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่น มาทำความรู้จักกันก่อน พวกเดียวกันยังแทบไม่รู้จักกัน สุดท้ายโจมตีผิดตัว จะทำให้คนอื่นฉกฉวยเอาผลประโยชน์ได้ง่าย! เป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกันทั้งนั้น พวกเรามีไม่ถึงสามร้อยคน ทุกคนแนะนำตัวกันง่ายๆ เผื่อเวลาที่ขอช่วยเหลือ จะได้ไม่ต้องเรียกอีกฝ่ายแค่ว่า ‘เฮ้’”
ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างพากันขำ พูดถูกทีเดียว
ไม่นาน คนผู้นี้ก็แนะนำตัวก่อน “ฉันชื่ออวี๋เฉิน มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุด”
“โจวเจี้ยน ปักกิ่ง ขั้นสองสูงสุด”
“หวังตัน ปักกิ่ง ขั้นสองสูงสุด”
“…”
“หานซวี่ ปักกิ่ง ขั้นสองสูงสุด”
“…”
ทางปักกิ่งมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดไม่น้อย ขั้นสามมีห้าคน แต่ส่วนมากเพิ่งจะเข้าขั้นสามไม่นาน อยู่ขั้นสามตอนต้นกันทั้งนั้น
หานซวี่ก็อยู่ขั้นสองสูงสุด ความก้าวหน้านี้เร็วจนน่าตกใจเช่นกัน
หมายความว่าเวลาไม่ถึงสี่เดือน หมอนี่หลอมกระดูกได้กว่าหกสิบชิ้น พูดให้ละเอียดหน่อยก็ไม่ถึงหนึ่งร้อยสิบวันเท่านั้น
เฉลี่ยใช้เวลาไม่ถึงสองวันหลอมกระดูกได้หนึ่งชิ้น
ปักกิ่งมีคนมาแปดสิบคน ขั้นสามมีห้าคน ขั้นสองสูงสุดสิบสองคน ที่เหลือเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองตอนกลางขึ้นไป
ทางเซี่ยงไฮ้เก้าสิบเจ็ดคน ขั้นสามสี่คน ขั้นสองสูงสุดสิบสี่คน คนที่เหลือ ปีหนึ่งยังมีบางคนที่ยังไม่ถึงขั้นสองตอนกลาง
ขั้นสามสี่คน นอกจากฟางผิง ยังมีอวี๋ซั่งหวา เฉินเผิงเฟย รวมถึงนักศึกษาปีสามคนหนึ่งที่ทะลวงเข้าสู่ขั้นสามแล้ว
จางจื่อเวยยังรั้งอยู่ที่ขั้นสองสูงสุด ไม่ได้ทะลวงขั้นสาม
ทางหนานเจียงมีขั้นสามเพียงหนึ่งคน เป็นคนที่ฟางผิงคุ้นเคยดี กู้สยง
มหาวิทยาลัยอื่นๆ มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามทั้งหมดห้าคน ที่เหลือส่วนมากจะเป็นขั้นสอง
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามมีสิบห้าคน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสองร้อยเจ็ดสิบสี่คน รวมทั้งหมดสองร้อยแปดสิบเก้าคน
ทั้งนี่ยังเป็นนักศึกษาแนวหน้าขั้นสองจากมหาวิทยาลัยสามมณฑลทางใต้ ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ส่วนขั้นสาม ส่วนมากเพิ่งจะทะลวงได้ไม่นาน
นอกจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนกลางหนึ่งคนจากปักกิ่ง ก็มีแค่ฟางผิงอีกคน แต่ฟางผิงไม่ได้พูดอะไร
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนกลางคนนั้นชื่อจ้าวหยาง รอทุกคนแนะนำตัวเสร็จแล้ว
จ้าวหยางก็มองไปทางฝั่งของเซี่ยงไฮ้ เอ่ยปากว่า “ต่อจากนี้ทุกคนมีความเห็นอย่างไร? ครั้งนี้เป็นการทดสอบครั้งหนึ่งของพวกเรา ไม่ได้ดูแค่พลังในการต่อสู้ ทั้งไม่ได้มองว่าฆ่าคนไปมากน้อยเท่าไหร่ สิ่งที่มหาวิทยาลัยอยากเห็นไม่ใช่แค่เรื่องพวกนี้ ตั้งแต่ตอนนี้ การกระทำทุกอย่างของพวกเรา น่าจะอยู่ในสายตาของมหาวิทยาลัยทั้งหมด อยากจะแสดงผลงาน งั้นก็ต้องเผยคุณค่าของพวกเราออกมา”
อวี๋ซั่งหวาเอ่ยต่อ “ลองพูดความเห็นของนายมาสิ”
“ความคิดของฉันง่ายๆ ตอนนี้พวกเรามีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสิบห้าคน ขั้นสองสูงสุดประมาณห้าสิบคน พวกเราหกสิบกว่าคนนี้ตั้งเป็นทีมจู่โจม! ปะทะกับหมู่บ้านผานสือซึ่งๆ หน้า ส่วนคนอื่นให้ล้อมอยู่ด้านนอก ป้องกันไม่ให้พวกนอกรีตหนีรอดออกไป…”
อวี๋ซั่งหวาขมวดคิ้ว “งั้นถ้าอีกฝ่ายเข้าไปในเขาด้านหลังจะทำยังไง? ฉันคิดว่าพวกเราควรล่อให้อีกฝ่ายต่อสู้ประชิดตัว จากนั้นก็จัดการอีกฝ่ายในครั้งเดียว ไม่ควรแสดงพลังทั้งหมดออกไปตั้งแต่ต้น…”
ฟางผิงหาวหวอด เอ่ยอย่างจนใจอยู่บ้าง “พวกนายทุกคนคิดว่าพวกเราจะเอาชนะได้ง่ายๆ เลยหรือไง? น่าขำ! มหาวิทยาลัยรวมทีมนักศึกษามากมายขนาดนี้มาฝึกประสบการณ์ เพื่อให้พวกเรากวาดล้างให้เกลี้ยงในครั้งเดียว? หากฉันเดาไม่ผิด เป็นไปได้ว่าในหมู่บ้านผานสืออาจจะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขั้นสี่ ทั้งอาจจะอยู่ในขั้นตอนปลายหรือสูงสุด พวกนายกลับไปกันใหญ่ คิดว่ายังไง? ผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งคนหนึ่งนั้นต้านคนอ่อนแอได้เป็นร้อย! ทำไมไม่คิดก่อนว่าจะจัดการกับผู้แข็งแกร่งของหมู่บ้านผานสือยังไง คิดแต่จะชนะ ไม่กลัวบ้างหรือว่าสุดท้ายจะจบเห่กันหมด?”
ทุกคนขมวดคิ้วเล็กน้อย จ้าวหยางเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “งั้นความหมายของนายคือ…”
“ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามไม่จำเป็นต้องผูกมัด เจออีกฝ่ายอยู่ขั้นสามให้จับคู่ต่อสู้ไปเลย หากเจอผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่…ฉัน อวี๋ซั่งหวา เฉินเผิงเฟย ขั้นสามจากเซี่ยงไฮ้สามคนจะลงสนาม พวกนายก็มาร่วมสมทบด้วย พูดตามตรง ต่อกรกับขั้นสี่ สามคนไม่พอหรอก ต้องสักเจ็ดแปดคนล้อมโจมตี สัญชาตญาณฉันค่อนข้างแม่น ฉันกล้ามั่นใจว่ามีโอกาสสูงที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่จะปรากฏตัว แน่นอนว่าหากไม่ใช่ งั้นหมายความว่าอาจเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนกลางหรือตอนปลาย อย่างน้อยต้องสามคนขึ้นไป! ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เซี่ยงไฮ้รับผิดชอบหนึ่งคน ปักกิ่งรับผิดชอบอีกหนึ่งคน มหาวิทยาลัยอื่นๆ ร่วมมือกันจัดการอีกหนึ่งคน ถึงเวลานั้นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามคนอื่นๆ ต้องต่อกรกับผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตขั้นสามตอนต้นตอนกลาง ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองสูงสุดที่ถูกจัดในอันดับ ถ้าอีกฝ่ายยังมีขั้นสามอีก พวกนายก็จัดการ ฉันคิดว่าพวกนายจัดการกับคนพวกนี้คงไม่เป็นปัญหาอะไร”
“อีกอย่างผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองตอนต้นและตอนกลาง ฉันแนะนำให้รั้งตัวอยู่ด้านนอก รับหน้าที่เป็นทีมสนับสนุน นอกจากนี้แม้ว่าจะเป็นพวกเราก็ต้องการเพิ่มปราณเช่นกัน ทางที่ดีแบ่งเป็นสองทีม ห้ามเข้าไปพร้อมกัน ถ้าปราณใช้หมดเกลี้ยง จู่ๆ อีกฝ่ายส่งกำลังคนออกมา นั่นก็เท่ากับรอความตาย! อย่างน้อยต้องเหลือผู้ฝึกยุทธ์ที่พร้อมสู้รบไว้หนึ่งในสาม ป้องกันเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน สุดท้ายฉันอยากถามสักหน่อยว่า อีกฝ่ายมีอาวุธร้อนหรือเปล่า?”
ทุกคนตกสู่ความเงียบ ผ่านไปพักหนึ่งค่อยมีคนเอ่ยขึ้น “น่าจะไม่มี! แน่นอนว่าจะตัดความเป็นไปได้นี้ออกไปไม่ได้เช่นกัน แต่แม้จะมี ก็คงน้อยมากๆ ไม่ได้สร้างความกดดันให้พวกเราเท่าไหร่…”
“ตอนนี้อาจไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าปราณพวกเราพร่องไปกว่าครึ่ง อ่อนเพลียเมื่อยล้า ความเร็วลดต่ำลง ปืนกระบอกหนึ่งก็เป่าหัวพวกเราได้แล้ว ระวังไว้หน่อยดีกว่า สรุปแล้วทางที่ดีทุกคนต้องออมแรงไว้สักหน่อย อย่าตายโดยที่ไม่รู้ว่าตายยังไง นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนความรู้ ไม่ใช่การประลองแข่งขันที่แค่พวกนายยอมแพ้ก็จบ ต่อสู้กับผู้ฝึกยุทธ์นอกรีต แม้จะต้องทุ่มเทสุดกำลัง แต่คนมากขนาดนี้ คงไม่อาจใช้แรงที่มีอยู่จนหมดได้”
กู้สยงจากหนานเจียงเอ่ยว่า “แบ่งเป็นสามทีมเถอะ ทีมหนึ่งคุ้มกันอยู่รอบนอก อีกสองทีมคอยผลัดกันต่อสู้ ขั้นสามถือเป็นตัวขับเคลื่อน”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ตรงกับใจฉันเลย รอบนอกฉันว่าให้ผู้หญิงเป็นหลัก จางจื่อเวยรับผิดชอบทีมนี้ละกัน”
จางจื่อเวยถลึงตามองเขา ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “หวังดีต่อพวกเธอต่างหาก เป็นผู้หญิงอยู่รอบนอกนั้นดีแล้ว ฝีมือเธอก็แข็งแกร่งถือเป็นไพ่ตายหนึ่ง ใครจะรู้ว่าอาจจะมีผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตจากข้างนอกบุกเข้ามาทางด้านหลังหรือเปล่า”
จางจื่อเวยขมวดคิ้ว กลับไม่พูดอะไรอีก
“สองทีมจู่โจม ใครจะเป็นคนสั่งการ พวกนายตัดสินใจกันเอง พวกเราเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม รับหน้าที่ช่วยเหลือและต่อสู้ประกบผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามของอีกฝ่าย สุดท้ายนี้…ฉันแนะนำว่าควรจัดทีมสำรวจขึ้นมาเพื่อเข้าไปสังเกตการณ์ในหมู่บ้านสักหน่อย ผู้ฝึกยุทธ์ที่จวงกงอยู่สภาวะว่างเปล่า วิ่งได้เร็ว ทุกคนคิดว่ายังไง?”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา มีคนพยักหน้าว่า “สำรวจหน่อยก็ดี แต่เข้าไปในหมู่บ้านค่อนข้างอันตราย…”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันเป็นคนเสนอ งั้นนับฉันเป็นหนึ่งละกัน”
พวกฟู่ชางติ่งสบสายตากัน เจ้าหมอนี่นิสัยเปลี่ยนแล้ว?
ฟางผิงไม่สนใจเช่นกัน เอ่ยต่อว่า “แน่นอน ตอนนี้ผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตรู้ว่าพวกเราคิดจะจับเต่าในไห ไม่ปล่อยให้ใครรอดออกไป หากอีกฝ่ายไม่โง่เกินเยียวยา ก็ต้องป้องกันอย่างเข้มงวด ความคิดของฉันคือ คนที่เข้าไปสังเกตการณ์ จะได้การแบ่งสินสงครามหลังจากนี้มากกว่าคนอื่นหน่อย”
สำหรับเรื่องนี้ทุกคนไม่เห็นต่างอะไร
ผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตไม่ใช่คนปัญญาอ่อน ตอนนี้เป็นเหมือนนกที่ตื่นธนู ขอแค่มีลมพัดผ่านหญ้าเล็กน้อย ก็อาจจะเคลื่อนไหวใหญ่โตแล้ว
เข้าไปในหมู่บ้านต้องอันตรายอยู่แล้ว
หลังจากนี้ก็มีหลายคนเป็นฝ่ายเสนอตัวเข้าไปสังเกตการณ์ในหมู่บ้าน นับว่าตกลงทำตามแผนการ ส่วนเวลา ทุกคนตัดสินใจจะเคลื่อนไหวในคืนของพรุ่งนี้
—
ตอนที่ทุกคนแยกย้ายกันไป ฟู่ชางติ่งก็กระซิบว่า “นึกไม่ถึงว่านายจะเป็นฝ่ายเสนอตัวไปสำรวจหมู่บ้าน ไม่เหมือนนายเอาซะเลย”
“เรื่องที่มีประโยชน์จะปฏิเสธไปทำไม”
“ยังไม่กล้าจะเชื่ออยู่ดี…”
ฟางผิงเอ่ยอย่างขำๆ “มีอะไรไม่กล้าเชื่อกัน อันที่จริงฉันคิดว่าเข้าไปในหมู่บ้านอาจจะไม่ได้อันตรายขนาดนั้น แต่ถ้าไม่เข้าใจสถานการณ์ของศัตรู นั่นถึงจะอันตรายอย่างแท้จริง ปั่นป่วนสักเล็กน้อย ผู้แข็งแกร่งของอีกฝ่ายมีมากน้อยเท่าไหร่คงจะส่งออกมาหมด ไม่ใช่สงครามที่ต้องรบจนตัวตายสักหน่อย เห็นท่าไม่ดีก็หนีแค่นั้น อย่างน้อยจะได้พอเข้าใจสถานการณ์ ฉันไม่อยากตายแบบไม่รู้อะไร อย่างเช่นว่าจู่ๆ ก็มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามขั้นสี่โผล่ออกมา”
ฟู่ชางติ่งพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ทำไมพวกเราถึงไม่ได้เข้าทีมจู่โจม?”
“รอนายเข้าสู่ขั้นสองตอนกลางค่อยว่ากัน ขายหน้าหรือเปล่าล่ะ นึกไม่ถึงว่าหานซวี่จะขั้นสองสูงสุดแล้ว”
“ฉันใกล้แล้วเหมือนกัน ไม่กี่วันจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองตอนกลาง!”
“ฉันก็ใกล้แล้ว ไม่กี่วันจะทะลวงขั้นสามตอนกลาง!”
ฟางผิงเอ่ยเกทับเขา ฟู่ชางติ่งทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิดว่าฉันเชื่อนายหรือไง!
—————–