ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 214 ผ่านไปอีกปีแล้ว (1)
ตอนที่ 214 ผ่านไปอีกปีแล้ว (1)
หวังจินหยางสัพยอกแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป โลกใบนี้มีเรื่องลึกลับอีกมากมาย ถ้ำใต้ดินยังไม่ได้สืบค้นให้กระจ่างแจ้ง จะเอาเวลาว่างที่ไหนมาวิจัยนายกัน แน่นอนว่านายอยู่ใกล้หูใกล้ตา ถ้ามีโอกาสได้วิจัยถือเป็นเรื่องคุ้มค่าอยู่แล้ว ว่ายังไง อยากบอกฉันสักหน่อยหรือเปล่า ทำไมปราณนายถึงฟื้นฟูเร็วขนาดนี้?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรง “มีพรสวรรค์กระดูกเป็นหยกโดยกำเนิด ไขกระดูกเหมือนปรอท พลังจิตใจเทียบได้กับปรมาจารย์”
“ฮ่าๆ!”
“จริงๆ นะ!”
ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย จู่ๆ ก็รวบรวมสมาธิจ้องไปที่หวังจินหยาง ก่อนใบหน้าฟางผิงจะแดงก่ำขึ้นมา เส้นผมของเหล่าหวังเหมือนจะขยับเล็กน้อย
การเคลื่อนไหวแผ่วเบาที่แทบสังเกตไม่เห็นเช่นนี้กลับทำให้หวังจินหยางใบหน้าเปลี่ยนสี
“พลังจิตใจ!”
หวังจินหยางนั่งหลังตรงขึ้นมาทันที สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย “นายไม่ได้ล้อฉันเล่น?”
เขาคิดว่าฟางผิงหยอกเขาเลยไม่คิดจะซักไซ้ไล่เลียง
แต่คาดไม่ถึงว่าฟางผิงจะใช้พลังจิตใจได้จริงๆ…
ไม่สิ เดิมทีฟางผิงก็แทบไม่ได้ใช้ เขาแค่เคลื่อนไหวพลังจิตใจของตัวเองในตอนที่รวบรวมสมาธิเท่านั้น
ฟางผิงหอบหายใจว่า “ตอนนี้เชื่อแล้วสินะ?”
“นี่…เป็นไปได้ยังไง…ก็ถูกที่มีความเป็นไปได้ คนมีหลากหลายประเภทอยู่แล้ว…แต่ว่า…”
เหล่าหวังพูดไม่ออกอย่างเห็นได้ชัด ผ่านไปพักใหญ่ค่อยถอนหายใจว่า “ตอนนี้น่าสนใจขึ้นมาแล้วจริงๆ คำพูดของนายฉันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่สถานการณ์นี้ของนาย กลับสามารถเชื่อมโยงกันได้”
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามคนหนึ่งนึกไม่ถึงว่าจะสัมผัสพลังจิตใจตัวเองได้ ถึงกระทั่งสามารถเคลื่อนไหวเบาๆ นี่ทำให้คนตกใจจริงๆ
หากไขกระดูกของฟางผิงเหมือนกับปรอท งั้นถ้าบอกว่าหวังจินหยางเป็นปรมาจารย์ฝึกหัด ฟางผิงนั้นมีโอกาสสูงกว่าเขาอีก!
ฟางผิงหอบหายใจว่า “อันที่จริงตอนที่อยู่ในห้องแหล่งพลังงาน ผมก็สามารถรับรู้ถึงอนุภาคพลังงานที่แผ่วเบา ดังนั้นผมเลยคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากมีปรมาจารย์สนใจจริงๆ มาหาผมได้ไม่เป็นไร ผมแค่กลัวว่าพวกเขาจะไม่เชื่อที่ผมพูด หากเค้นให้ผมบอกพวกเขาว่าทำไมพลังจิตใจถึงกล้าแกร่ง? ผมคงอับจนหนทาง ผมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปรมาจารย์…”
หวังจินหยางแค่นเสียงในจมูก “ มีเหตุผลสักอย่างให้พวกเขาก็พอแล้ว ยังจะคิดมากอะไรอีก? พวกปรมาจารย์ทำยังไงถึงเป็นปรมาจารย์ได้ เจอกับเรื่องลึกลับแบบไหน หรือยังต้องแบ่งปันกับคนอื่นอีก? อย่าคิดว่าโลกดำมืดจนเกินไป นายก็ไม่ใช่จอกแหนไร้รากที่ไม่มีคนหนุนหลัง อยู่ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ถูกปรมาจารย์เค้นเผยความลับ อย่าพูดว่าไม่มีความลับเลย ถ้ามีจริงๆ แล้วจะทำไม! หรือยังมีใครกล้าเค้นถามฉันว่าทำไมไขกระดูกถึงแปรสภาพเป็นหยก? ฉันจะไปรู้ได้ยังไง หากมีคนมาเค้นนายแบบนั้นเหมือนกัน งั้นยุบมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไปดีกว่า มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทั้งเก้าสิบเก้าแห่งไม่ปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้หรอก! ปรมาจารย์นับสิบคน ตอนนี้ยืนอยู่หน้านักศึกษาแค่ก้าวเดียวเท่านั้น! ใครจะกล้าเมินเฉยคนรอบข้างทำเรื่องแบบนี้ออกมา! แน่นอนว่าฉันหมายถึงบนโลก แต่ในถ้ำใต้ดินหากนายถูกจับตามอง โดนแอบจับตัวไปเค้นถาม จากนั้นฆ่าคนปิดปาก นี่คงจับมือใครดมไม่ได้ ดังนั้นต้องพูดว่า ทั้งหมดอยู่ที่ความสามารถ หากนายเป็นปรมาจารย์…”
หวังจินหยางเอ่ยด้วยรอยยิ้มบาง “งั้นนายก็ฟันออกไปหนึ่งหมื่นแคลในครั้งเดียว บั่นคอพวกใต้ดินคงไม่มีใครว่าอะไรได้อีก อย่างอื่นฉันคงไม่ถามแล้ว นายคิดวิธีคลี่คลายปัญหาเรื่องนี้ ให้เหตุผลกับทุกคนก็เพียงพอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นไม่จำเป็นต้องกังวล”
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย แต่จะโกหกเรื่องนี้ยังไงให้มิดล่ะ!
อย่างน้อยต้องหลอมให้ถึงไขกระดูกถึงจะพอพูดกันได้
ไม่ถามปัญหาเรื่องนี้ต่อ ฟางผิงเอ่ยอย่างสงสัย “พี่หวัง ทุกคนบอกว่าพี่เป็นปรมาจารย์ฝึกหัด งั้นหมายความว่าอีกไม่นานพี่ก็จะทะลวงเป็นปรมาจารย์แล้ว?”
“ปรมาจารย์?”
หวังจินหยางมองเขาอย่างแปลกประหลาด ก่อนจะยิ้มตาหยี “ถ้าตอนนี้นายสนับสนุนให้ฉันสักสี่ห้าร้อยล้าน ฉันคิดว่ายังมีโอกาสอยู่…”
“แค่กๆ…พี่หวัง ดื่มกาแฟก่อน”
ฟางผิงยกแก้วขึ้นมา ล้อเล่นเฉยๆ เถอะ ฉันอยากให้นายสนับสนุนฉันหลายพันล้านบ้างเหมือนกัน
นายกลับแล้วใหญ่มาแบมือขอจากฉัน ไม่อายหรือไง?
หวังจินหยางหัวเราะขึ้นมา ยกแก้วขึ้นดื่มไปหนึ่งอึก ครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า “ความสามารถของนายตอนนี้ยังขาดแคลนบางเรื่องอีกนิดหน่อย เคล็ดวิชาต่อสู้ต้องฝึกฝนให้ชำนาญ รอนายถึงขั้นสามตอนปลาย เคล็ดวิชาต่อสู้ฝึกถึงขั้นกระบวนท่าชั้นยอดแล้ว แม้จะเป็นกระบวนท่าชั้นยอดที่ระดับต่ำสุด ครั้งหนึ่งระเบิดปราณสามร้อยแคล งั้นก็เท่ากับระเบิดออกไปเจ็ดแปดร้อยแคล แทบจะเป็นระดับที่ต่ำกว่าขั้นสามตอนปลายไม่อาจแตะถึงได้ เวลานั้นฝีมือของนายก็จะคุ้มค่าให้ความสำคัญแล้ว แม้จะอยู่ในการจัดอันดับของขั้นสาม คงอยู่ในลำดับต้นๆ เหมือนกัน ถึงเวลานั้นนายก็มีฝีมือพอจะเข้าร่วมกิจกรรมที่ได้รับผลตอบแทนสูงแล้ว ถ้ามีเวลาว่างฉันสามารถพานายไปด้วยได้”
หวังจินหยางยิ้มอย่างมีความนัยอยู่บ้าง “นายรับผิดชอบระเบิดปราณ ฟันกระบวนท่าชั้นยอดร้อยดาบ ฉันรับหน้าที่ระวังหลัง หรือบางทีอาจหาฉินเฟิ่งชิงมานำทาง เขาพอมีฝีมือเรื่องนี้อยู่ หากนายทำถึงขั้นนั้นได้จริงๆ พวกเราสามคนลงมือ สังหารขั้นห้าไม่ใช่เรื่องยาก ถึงเวลานั้นคงกำไรเห็นๆ”
ฟางผิงมองเขาแวบหนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถึงเวลานั้นค่อยว่ากัน ตอนนี้ผมยังห่างจากขั้นสามตอนปลายอีกไกล เคล็ดวิชาต่อสู้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะฝึกสำเร็จในวันสองวัน”
“ถูกของนาย”
หวังจินหยางพูดแล้วก็ถอนหายใจว่า “หนึ่งปีก่อนตอนที่ฉันเจอนายนึกไม่ถึงจริงๆ ว่านายจะก้าวมาถึงจุดนี้เร็วถึงขนาดนี้”
เวลาแค่หนึ่งปี เดือนเมษายนปีที่แล้วจนถึงตอนนี้เพิ่งจะวนครบหนึ่งปีมาไม่กี่วัน
ตอนแรกเขาอยู่ขั้นสองสูงสุด
ส่วนฟางผิงพอจะเรียกได้ว่ามีปราณสูงกว่าคนทั่วไปนิดหน่อย ตอนนี้กลับสามารถสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดได้แล้ว
“ผมเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้วถึงได้รู้ว่าพี่หวังที่ทะลวงขั้นสี่ในตอนนั้นแข็งแกร่งขนาดไหน ก่อนหน้านั้นผมนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าพี่หวังจะก้าวหน้าเร็วขนาดนี้”
“เกี่ยวข้องกับความผิดปกติของไขกระดูกเล็กน้อย จะพูดยังไงดีล่ะ คนอย่างพวกเราต่างมีโชคชะตาของตัวเอง”
ตอนนี้ท่าทีที่หวังจินหยางมีต่อฟางผิงค่อยๆ เปลี่ยนไปอยู่บ้าง
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ปกติอย่างมาก
มังกรกับงูคงอยู่ร่วมกันไม่ได้!
ตอนนี้หากฟางผิงอยู่ในขั้นหนึ่ง ในสายตาคนทั่วไปอาจถือว่าเป็นอัจฉริยะ เป็นความภาคภูมิใจแล้ว
แต่ในสายตาหวังจินหยาง นั่นธรรมดาอย่างมาก เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งในมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ที่เห็นจนชินตา
แต่ตอนนี้ฟางผิงฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดได้ นี่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง
รวมทั้งพลังจิตใจของฟางผิงแข็งแกร่ง ตัวเองยังสามารถรับรู้ได้ หากหมอนี่มีไขกระดูกเป็นหยกจริงๆ งั้นหลังจากนี้จะก้าวหน้าเร็วอย่างมากเช่นกัน
คนแบบนี้มีคุณค่าพอให้เขาเห็นความสำคัญ
ระหว่างที่ทั้งสองคนคุยกัน มือถือที่ฟางผิงเพิ่งซื้อมาก็ดังขึ้น
มองหมายเลขแวบหนึ่ง ฟางผิงไม่คุ้นอยู่บ้าง แต่ยังคงรับสาย
ปลายสายนั้นมีเสียงดังของฉินเฟิ่งชิงเล็ดลอดออกมา “ฟางผิง?”
“ฉันเอง รุ่นพี่ฉิน?”
“อืม อยู่หนานเจียง?”
“ใช่”
“พอดีเลย เมื่อวานผลตรวจปราณของการสอบศิลปะการต่อสู้ออกมาแล้ว นึกไม่ถึงว่าหนานเจียงจะมีนักเรียนผู้ฝึกยุทธ์ตั้งสามคน กลับไปนายถือโอกาสไปหยั่งเชิงสถานการณ์รับคนไว้สักหน่อย อย่าปล่อยให้หนานเจียงได้ไป”
ฟางผิงมองหวังจินหยางด้วยแววตาแปลกออกไปอยู่บ้าง ฉินเฟิ่งชิงจะโดนซ้อมตายหรือเปล่า?
อีกอย่าง หมอนี้คิดยังไงถึงให้เขาไปดึงคนเข้ามา?
“รุ่นพี่หวัง ผมไปไม่เหมาะเท่าไหร่…”
“มีอะไรไม่เหมาะ นายมีชื่อเสียงในการแข่งขันแลกเปลี่ยน ทั้งยังเป็นคนหนานเจียง เหมาะสมกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว อีกอย่างนายสนิทกับคนแซ่หวังไม่ใช่หรือไง? ฉันใช้คนอื่น คนแซ่หวังลงมือหนักจะทำยังไง? ฟางผิง อย่าบ่นมาก ฉันกำลังหาคนเข้าทีมพวกเรา เข้าใจหรือเปล่า ฉันกำลังจะขั้นสี่แล้ว พอถึงขั้นสี่ฉันก็จะเป็นประธาน ถึงเวลานั้นนายเป็นรองประธาน เซี่ยงไฮ้จะตกเป็นของเราสองคน! ตอนนี้ดึงนักศึกษาใหม่เข้ามา อันที่จริงก็เป็นทีมของนายนั่นแหละ ฉันจะขึ้นปีสี่แล้ว พอเรียนจบตำแหน่งประธานก็เป็นของนาย…”
ฟางผิงหัวเราะ นึกไม่ถึงว่าฉินเฟิ่งชิงจะคิดไกลขนาดนี้ ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก
ฟางผิงกำลังจะอ้าปาก หวังจินหยางกลับพูดขึ้นก่อน “ช่วงนี้กำลังเตรียมตัวไปท้าประลองกับประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของแต่ละมหาวิทยาลัยอยู่พอดี หวังว่านายจะกลายเป็นประธานเร็วๆ นี้”
“ใคร?”
ฉินเฟิ่งชิงนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนปลายสายจะมีเสียงขยับเกิดขึ้น ไม่นานฉินเฟิ่งชิงก็แค่นเสียงว่า “คนแซ่หวัง ลำดับขั้นสูงกว่าคนอื่นหน่อย มาแอบฟังคนอื่นพูดเหมาะสมหรือไง?”
“เสียงนายดังขนาดนี้ไม่จำเป็นต้องแอบฟัง”
“นายคิดว่าฉันเข้าสู่ขั้นสี่แล้วจะกลัวนายงั้นเหรอ? รอนายอยู่หรอก!”
ฉินเฟิ่งชิงไม่เผยความอ่อนแอเช่นกัน แค่นเสียงก่อนจะเอ่ยว่า “ฟางผิง อย่าลืมล่ะ ผู้ฝึกยุทธ์สามคนนั้นของหนานเจียงดึงมาเซี่ยงไฮ้ให้ได้ แค่หนานเจียงคนหนึ่งจะมาแย่งชิงกับพวกเรา ล้อกันเล่นแล้ว คู่ต่อสู้ของนายคือปักกิ่ง ไม่ต้องเห็นหนานเจียงอยู่ในสายตา วางล่ะ!”
ฉินเฟิ่งชิงตรงไปตรงมาอย่างยิ่ง วางสายไปอย่างรวดเร็ว
——————–