ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 221 เพื่อมวลมนุษยชาติ (1)
ตอนที่ 221 เพื่อมวลมนุษยชาติ (1)
วันที่ 26 พฤษภาคม
ฟางผิงขับรถคันเล็กๆ ของตัวเองไปรออยู่ที่ประตูด้านหลังของฝ่ายบริการ
ไม่นานตาเฒ่าหลี่ก็เดินเอามือไขว่หลังออกมา
ฟางผิงลงรถมาเปิดประตูให้อย่างเอาใจใส่ เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “อาจารย์ครับ พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”
“ไปเขตหนานเฟิ่ง ที่นั่นมีสถาบันวิจัยของหนานเฟิ่งอยู่แห่งหนึ่ง รู้จักหรือเปล่า?”
“สถาบันวิจัย…”
ฟางผิงครุ่นคิดพลางเอ่ยว่า “พวกเราไปถึงค่อยถามก็ได้ อาจารย์รู้จักใช่ไหมครับ?”
“รู้จัก อยู่ไม่ไกล เธอลองหาดู”
“ครับ”
“…”
พูดเรื่องสถานที่กันแล้ว ฟางผิงก็ขับรถมุ่งหน้าไปทันที
—
บนรถตาเฒ่าหลี่หลับตาทำสมาธิ เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เซี่ยเหล่ยทะลวงขั้นสามสูงสุดแล้ว ฉินเฟิ่งชิงใกล้จะเข้าสู่ขั้นสี่ เมื่อวานเธอล่วงเกินคนพวกนั้นแล้ว ตอนนี้เพิ่งจะอยู่ขั้นสามตอนกลาง ไม่กังวลใจบ้างเลยเหรอไง?”
“อาจารย์ เรื่องนี้โทษผมไม่ได้…”
“อธิบายกับฉันไม่มีประโยชน์ เรื่องที่เธอฟื้นฟูปราณ ตอนนี้ยังหาคำอธิบายเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ ช่วงนี้อย่าใช้จะดีที่สุด เข้าใจความหมายฉันใช่ไหม? ตอนนี้ทางหน่วยทหารมีคนเอ่ยถึงเรื่องนี้แล้ว คิดว่าถ้าเกี่ยวพันไปถึงหน่วยทหาร…”
ฟางผิงใจเต้นตุบตับ ร้องขอความเป็นธรรมว่า “อาจารย์ นี่เป็นพรสวรรค์ติดตัวของผม เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ หวังจินหยางจากหนานเจียงก็อยู่ในสถานการณ์เดียวกันไม่ใช่หรือไง?”
“เขาแค่หลอมกระดูกได้เร็ว ปราณเข้มข้นกว่าคนอื่นอยู่บ้างเท่านั้น การฟื้นฟูปราณยังเหมือนคนทั่วไป แตกต่างกับเธอ อาการของเขานั้นปกติแล้ว…แต่เธอไม่เหมือนกัน นึกไม่ถึงว่าจะสามารถระเบิดปราณออกมาได้ถึงหนึ่งหมื่นแคล…”
“อาจารย์ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพลังจิตใจของผม…”
ตาเฒ่าหลี่หาวหวอด “พูดกับฉันไม่มีประโยชน์ ไม่เร็วก็ช้ายังต้องตรวจสอบสักหน่อย ไม่ใช่ว่าอยากจะทำอะไรกับเธอ แต่อย่างน้อยต้องมีคำอธิบายให้กับหน่วยทหาร เธอคงเข้าใจความหมายสินะ? เปิดเผยบางเรื่องต่อสาธารณะเป็นเรื่องดีต่อเธอเช่นกัน สามารถลดปัญหาให้เธอได้ เก็บงำเอาไว้กลับจะยุ่งยากมากกว่า ยิ่งเป็นแบบนี้จะยิ่งดึงดูดความสนใจคนอื่น สุดท้ายแล้วพวกปรมาจารย์อาจสงสัยขึ้นมา หลู่เฟิ่งโหรวบอกว่าช่วงนี้เธอฝึกการต่อสู้เพื่อเตรียมลงถ้ำ ตอนนี้คงไม่อาจรบกวนเธอได้ แต่เมื่อเธอออกจากถ้ำแล้ว เรื่องนี้ยังจำเป็นต้องคลี่คลาย”
ระหว่างที่พูดตาเฒ่าหลี่เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน เธอจะหลบอยู่ในถ้ำไม่ออกมาก็ได้ ฉันเชื่อว่าเธอดวงแข็งอยู่แล้ว คงใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่น จะลองดูไหมล่ะ?”
ฟางผิงเอ่ยอึกๆ อักๆ “ทำได้ที่ไหนกันล่ะครับ ผมไม่มีความลับอะไรอยู่แล้ว จะตรวจสอบก็ตรวจสอบได้”
“ไขกระดูกเหมือนปรอท เธอทำถึงขั้นนั้นได้แล้วจริงๆ?”
“ครับ!”
“ใช้พลังจิตใจจับอนุภาคพลังงานได้แล้ว?”
“ใช่!”
ฟางผิงเอ่ยอย่างไม่ลังเล ยังไม่ต้องสนใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง แต่ตอนนี้ต้องจริงไปก่อน
ตาเฒ่าหลี่ไม่ใส่ใจเช่นกัน เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เหมือนที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้ บอกกับฉันไม่มีประโยชน์ ต้องอธิบายกับคนอื่น ทำการตรวจสอบออกมา อันที่จริงสถาบันวิจัยของหนานเฟิ่งเป็นองค์กรที่ทำการตรวจสอบแห่งหนึ่งเหมือนกัน แน่นอนว่าเป้าหมายที่พาเธอมาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อการตรวจสอบ วางใจได้ รอเธอออกจากถ้ำแล้วค่อยว่ากัน”
ฟางผิงสั่นสะท้านในใจ เอ่ยอย่างระแวดระวัง “พวกเราไปที่นั่นทำไมเหรอครับ?”
“งานหลักของที่นั่นคือวิจัยอย่างอื่น อย่างเช่นของจากถ้ำใต้ดิน พวกพืชและสัตว์บางส่วน เธอไม่เคยเห็นมาก่อน เข้าไปทำความคุ้นเคยสักหน่อยจะเป็นประโยชน์ต่อเธอ ของจริงกับรูปภาพยังมีความแตกต่างอยู่บ้าง เธอคิดว่าไงล่ะ?”
ฟางผิงพยักหน้าว่า “ถูกของคุณ ที่นั่นมีหินพลังงานหรือเปล่าครับ?”
“มีอยู่แล้ว มีความบริสุทธิ์แทบทุกระดับ ฉันจะพาเธอไปดู ให้เธอสามารถแยกแยะกับของจริงได้สักหน่อย ไม่ใช่เข้าถ้ำไปแล้วพลาดโอกาสดีๆ ไป”
“เข้าใจแล้วครับ!”
ฟางผิงซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง บนพื้นโลกโอกาสที่จะสัมผัสสิ่งของที่มาจากใต้ดินมีน้อยถึงน้อยมาก
ของพวกนี้มนุษยชาติให้ความสำคัญอย่างยิ่ง
รวมถึงมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ด้วย พวกฟางผิงเข้าเรียนยังไม่เคยสัมผัสของจริงเลยสักครั้ง มหาวิทยาลัยเอาให้ดูเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ศาสตราจารย์เฒ่าเคยเอาหินพลังงานก้อนหนึ่งมาให้ทุกคนดู!
ปรากฏว่าไม่อนุญาตให้ใครจับ ทุกคนทำได้แค่มองดู ไม่พอใจกันทั้งนั้น สิ่งมีชีวิตอย่างอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึง แทบไม่มีของจริงให้ดู
—
หนึ่งชั่วโมงต่อมา ฟางผิงเดินทางมาถึงสถาบันวิจัยหนานเฟิ่ง
ขับรถจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มาถึงที่นี่ใช้เวลาแค่ไม่กี่สิบนาทีเท่านั้น
ส่วนทำไมถึงเสียเวลาเยอะขนาดนี้ ฟางผิงคิดมาตลอดว่าเป็นความผิดของตาเฒ่าหลี่ คนแก่อายุมากแล้ว ความจำไม่ดี เอาแต่ชี้ทางผิด
ตาเฒ่าหลี่มองฟางผิงอย่างแปลกๆ เดินไปก็เอ่ยไปพลาง “ร่างกายเธอมีข้อบกพร่อง”
ฟางผิงเอ่ยอย่างแปลกใจ “ข้อบกพร่อง?”
“นี่เป็นโรคที่ต้องรักษา หรืออาจต้องฝึกฝนให้มากกว่านี้ ความจำเธอไม่ได้แย่ แต่ขาดความสามารถในการจัดการมุมมองเป็นรูปแบบสามมิติ แน่นอนหรือที่เรียกกันอีกอย่างว่าขี้หลงทาง สถานการณ์ของเธอนี้ต้องระวังให้ดี หรือวันหลังออกไปที่อื่นยังต้องหาคนมานำทางให้เธอ?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “อาจารย์ นี่ไม่ถึงกับเป็นโรคหรอกมั้งครับ แค่เส้นทางในเซี่ยงไฮ้มีเยอะเกินไป ในหยางเฉิงผมไม่ได้หลงแบบนี้”
“ฮ่าๆ เธอหมายถึงถนนสายเดียวที่ทอดยาวจนไปถึงที่หมาย? มีแค่คนปัญญาอ่อนเท่านั้น ถึงจะหลงทางแบบนี้ได้”
หยางเฉิงใหญ่แค่ไหนกันเชียว ถนนสายใหญ่แยกเป็นสี่ทิศทาง หากยังหลงกับเส้นทางแบบนั้น ไม่ใช่คนขี้หลงแล้ว แต่เป็นคนตาบอดซะมากกว่า
ฟางผิงยิ้มเจื่อน เวลานี้ทั้งสองคนมาถึงหน้าประตูสถาบันวิจัยแล้ว
ยังไม่ทันเข้าไป ฟางผิงกลับรับรู้ถึงพลังปราณที่เข้มข้นแล้ว
“หยุดก่อน! นี่เป็นพื้นที่ควบคุมของหน่วยทหาร!”
คนที่เฝ้าหน้าประตูไม่ได้สวมชุดทหารและพกพาอาวุธอะไร
ทว่ากลับปะทุปราณออกมาอย่างเข้มข้น ฟางผิงจับสัมผัสดูแล้ว น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุด
จัดผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งสูงสุดสองคนมาไว้หน้าประตู เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา
ตาเฒ่าหลี่ไม่พูดมาก ยื่นบัตรผู้ฝึกยุทธ์ให้ เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ขออนุญาตแล้ว”
ผู้เฝ้าประตูตรวจสอบบัตรอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะแสกนเข้าที่อุปกรณ์ด้านข้าง ชั่วขณะนั้นก็เผยสีหน้านอบน้อมออกมา “หลี่ต้าซือเชิญครับ”
ตาเฒ่าหลี่สาวเท้าเข้าไป ฟางผิงเพิ่งจะยกขา อีกฝ่ายกลับเอ่ยว่า “คุณผู้ชายคนนี้ รบกวนแสดงบัตรด้วย”
ฟางผิงควักบัตรผู้ฝึกยุทธ์ของตัวเองออกมา อีกฝ่ายสแกนบนอุปกรณ์ก่อนจะมองฟางผิงด้วยสีหน้าตกใจเล็กน้อย
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม!
มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้เป็นแหล่งรวมตัวของอัจฉริยะจริงๆ อายุน้อยขนาดนี้ ดูจากอายุบนบัตรของผู้ฝึกยุทธ์ที่ลงทะเบียน ฟางผิงเพิ่งจะครบสิบเก้าเท่านั้น จะเด็กเกินไปแล้ว
ตาเฒ่าหลี่ยื่นคำขอสำหรับสองคน ฟางผิงใช้ฐานะของนักศึกษามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ไม่นานก็ถูกอนุญาตให้เข้ามาด้านใน
ก้าวผ่านประตูใหญ่ของสถาบันวิจัยแล้ว ด้านในราวกับเป็นโลกคนละใบ ประตูใหญ่เป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่า ไม่มีสิ่งก่อสร้างอย่างอื่น มีแค่ผู้ฝึกยุทธ์ลาดตระเวนอยู่เท่านั้น
ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนพากันจับจ้องพวกเขา ฟางผิงและตาเฒ่าหลี่เดินผ่านพื้นที่ว่างเปล่าแล้ว เวลานี้เพิ่งจะนับว่าเข้าสู่ภายในสิ่งก่อสร้างแห่งนี้อย่างแท้จริง
หลังจากเข้าประตูมา มีเพียงทางเดินที่ทอดยาวอยู่เส้นหนึ่ง
ตอนนี้มีคนยืนรออยู่ที่หน้าทางเดิน
เห็นฟางผิงและตาเฒ่าหลี่ ชายวัยกลางคนที่สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้เฒ่าหลี่ ไม่เห็นคุณตั้งนาน”
“ยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลา”
ตาเฒ่าหลี่ตอบส่งๆ ฟางผิงกลับดูแคลนในใจ คำพูดนี้มีคนเชื่อด้วยหรือไง?
ครั้งก่อนตาเฒ่าหลี่ยังบอกว่าอยากหาอะไรทำสักหน่อย ปรากฏว่าตอนนี้กลับเอาแต่นอนสัปหงกอยู่ที่ฝ่ายบริการ เอาอะไรมายุ่งกัน
ชายในชุดคลุมสีขาวไม่ใส่ใจเช่นกัน มองฟางผิงด้วยรอยยิ้ม “นี่คือลูกศิษย์ของผู้เฒ่าหลี่?”
“อืม ไปเถอะ ค่อยไปพูดกันข้างใน”
ตาเฒ่าหลี่ไม่พูดมาก ชายชุดขาวฟังจบก็กดรหัสผ่านทาง
ใช้ตาจ้องจอภาพ ก่อนจะแสกนบัตร เวลานี้ค่อยพาทั้งสองคนเข้าไปข้างในได้
เห็นเขาจัดการค่อนข้างยุ่งยาก ฟางผิงตกใจอยู่บ้าง ตาเฒ่าหลี่จึงอธิบายว่า “ที่นี่เป็นสถาบันวิจัยที่รัฐบาลและมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ลงทุนร่วมกัน ทั้งยังเป็นหนึ่งในสถาบันวิจัยระดับสูงของประเทศจีนถึงกระทั่งระดับโลกเช่นกัน แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมด ช่างเถอะ พูดกับเธอไปไม่มีประโยชน์ ทางเดินนี้ยาวสองร้อยเมตร รอบทิศทางทำมาจากโลหะผสม ใต้ดินก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน อยากเข้าไปในสถาบันวิจัย ต้องเข้าจากตรงนี้เท่านั้น มีทางเข้าเพียงแห่งเดียว ไม่มีแม้แต่ประตูฉุกเฉิน หากบุกเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาต…ต่ำกว่าระดับปรมาจารย์แทบจะตายทั้งหมด”
ฟางผิงลอบชมในใจ “เข้มงวดขนาดนี้เลย?”
“แน่อยู่แล้ว”
ระหว่างที่ตาเฒ่าหลี่พูด ชายชุดขาวด้านข้างก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ของที่วิจัยในสถาบันแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นจึงมีการเก็บเป็นความลับขั้นสูง”
“อ่อ”
ฟางผิงไม่ถามต่ออีก ตามทั้งสองคนเข้าไปด้านใน
เดินผ่านสามประตูติดกันแล้ว พวกฟางผิงค่อยเข้ามาสู่ห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่ง
ตาเฒ่าหลี่เข้าห้องโถงมาก็เอ่ยทันที “พาพวกเราไปที่ห้องวิจัยร่างกายมนุษย์”
“ได้”
ชายชุดขาวไม่มากความ พาทั้งสองเข้าไปด้านใน
ฟางผิงมองซ้ายแลขวา ไม่เห็นใครอื่นอีก ห้องโถงไม่ได้ใช้เพื่อวิจัย เป็นเหมือนสถานที่ที่ให้พวกนักวิจัยผ่อนคลายมากกว่า
แต่ห้องโถงกลับเชื่อมไปถึงหลายเส้นทาง นำไปสู่ห้องวิจัยแต่ละแห่ง
ตอนนี้ชายชุดขาวพาทั้งสองคนเดินตรงไปยังเส้นทางหนึ่ง
—
หนึ่งนาทีต่อมา หลังจากผ่านการตรวจสอบหลายครั้ง ทั้งสามคนจึงมาถึงห้องโถงใหม่ที่มีแสงสว่างจ้า
ตาเฒ่าหลี่หันมาว่า “ตอนนี้มีการวิจัยมนุษย์อยู่ไหม?”
“มี ศาสตราจารย์หวังกำลังดำเนินการ ผมจะพาคุณไปดู”
“อืม”
ชายชุดขาวนำทางต่อ ไม่นานก็หยุดฝีเท้าลงที่หน้าห้องทดลองซึ่งอยู่ติดกับห้องโถงใหญ่ “ผู้เฒ่าหลี่ ที่นี่แหละ พวกเราจะเข้าไปข้างในหรือเปล่า?”
“ไม่จำเป็น ดูที่หน้าประตูก็พอแล้ว”
ระหว่างที่พูด ตาเฒ่าหลี่ก็มองไปทางฟางผิง “มาดูสิ”
———————–