ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 223-2 เตรียมทะลวงด่าน (2)
ตอนที่ 223 เตรียมทะลวงด่าน (2)
“อาจารย์ ผมคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องสิ้นเปลืองขนาดนั้น…”
ฟางผิงคิดว่าสิ้นเปลืองจริงๆ หากใช้เวลาสามวันก็เป็นเจ็ดร้อยยี่สิบคะแนนแล้ว เกือบยี่สิบสองล้าน
ไม่มีห้องแหล่งพลังงาน ผลลัพธ์ยังคงเหมือนกัน
“เธอไม่เข้าใจ” หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหน้า
“ประโยชน์ของห้องแหล่งพลังงาน ในตอนที่ปราณเต็มเปี่ยมอาจไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่รอเธอเข้าสู่ช่วงที่เหนื่อยล้าแล้ว ประสิทธิภาพจะแสดงออกมาอย่างชัดเจน!”
“อาจารย์…”
“ไปยืมมาหนึ่งพันคะแนน ยืมได้ทำไมไม่ยืม? ตายในถ้ำก็ไม่ต้องคืนแล้ว ดังนั้นก่อนลงถ้ำ ยืมได้มากเท่าไหร่ก็ยืมเท่านั้น”
จู่ๆ ฟางผิงก็ไร้คำจะโต้แย้ง พูดมีเหตุผลจริงๆ!
ไม่น่าล่ะ!
สองวันก่อนเปิดระบบกู้ยืมให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามที่ต้องลงถ้ำยืมจนแทบเต็มโควต้า
แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ช่วงนี้ไม่คิดจะลงถ้ำกลับยืมเท่าที่จำเป็นเท่านั้น
ทุกคนน่าจะมีความคิดแบบนี้เหมือนกัน
ตายในถ้ำใต้ดิน คงไม่จำเป็นต้องคืนแล้ว ใครจะสนใจว่ายืมเท่าไหร่
ไม่ตาย กลับมาจากถ้ำได้ ดอกเบี้ยเล็กน้อยแค่นั้นจะนับเป็นเรื่องอะไรกัน
ก่อนหน้านี้ฟางผิงคิดว่าสิ้นเปลือง เวลานี้จู่ๆ ก็เอ่ยอย่างคิดได้ “ควรจะยืมสักหน่อยจริงๆ ยิ่งไปกว่านั้นผมยังได้สิทธิพิเศษไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยอีก”
ตอนแรกที่ไม่ยืมเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ค่าทรัพย์สินไม่เพิ่มคะแนนจากการกู้ยืมด้วยเช่นกัน
แต่รอเขาชำระหนี้แล้ว ค่าทรัพย์สินต้องเพิ่มขึ้นมาอย่างแน่นอน
“งั้นผมจะไปยืมคะแนนสักหน่อย จากนั้นค่อยเตรียมหลอมกระดูก”
“ถึงเวลานั้นบอกฉันด้วย” หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอีกประโยค
ฟางผิงพยักหน้า
หลู่เฟิ่งโหรวครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยต่อ “หากทะลวงขั้นสามตอนปลายก็ควรจะเตรียมฝึกวิชาต่อสู้ได้แล้ว เคล็ดวิชาต่อสู้ของเธอ จนถึงตอนนี้ยังมีพื้นฐานของขั้นหนึ่งเท่านั้น อีกอย่างสิ่งที่เธอรู้ยังน้อยนิด วิชาเคลื่อนเมฆ วิชาดาบคลั่งโลหิต นอกจากนั้นก็ไม่มีแล้ว หากเธอเข้าสู่ขั้นสามตอนปลาย จะมีปราณเกือบหนึ่งหมื่นแคล แค่พลังควบคุมตัวเองยังเป็นเรื่องยาก ตอนนี้เธอสามารถระเบิดปราณกว่าร้อยแคลได้ ถึงขั้นสามตอนปลายแล้ว อาจไม่สามารถทำได้เสมอไป ถึงเวลานั้นร่างกายเธอจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้น หลอมกระดูกเยอะขึ้น ปราณทะลวงผ่านทั้งร่างกาย เป็นวงจรระบบที่สมบูรณ์ เวลานี้การระเบิดของปราณจะลดน้อยลง”
หลู่เฟิ่งโหรวเห็นฟางผิงไม่เข้าใจจึงเอ่ยต่อ “หมายความว่าในเวลานั้นพลังต่อสู้ของเธอจะยังเหมือนเดิม ในขั้นสามตอนกลาง เธอต้องระเบิดปราณหนึ่งร้อยแคล พอถึงขั้นสามตอนปลายเธอใช้ปราณแค่สามสิบแคลหรือสี่สิบแคลก็ให้ผลลัพธ์เดียวกันได้แล้ว ตอนนี้ในขั้นสามตอนกลางเธอสามารถระเบิดปราณได้หนึ่งร้อยแคล แต่ขั้นสามตอนปลายบางทีอาจระเบิดแค่ห้าสิบแคลเท่านั้น เข้าใจหรือยัง?”
ฟางผิงพยักหน้า เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “งั้นถึงขั้นสามตอนปลายแล้ว ผมอาจไม่สามารถแสดงพลังเบื้องต้นได้ด้วยซ้ำสินะครับ?”
“ใช่”
สิ่งที่เรียกว่าพลังควบคุมของผู้ฝึกยุทธ์ เมื่อออกกระบวนท่าใหญ่ อย่างน้อยจะระเบิดพลังได้แค่สิบเปอร์เซ็นต์ของปราณในปัจจุบัน
ยิ่งลำดับขั้นและปราณสูง ก็ยิ่งควบคุมยากขึ้นเท่านั้น
หากฟางผิงเข้าสู่ขั้นสามตอนปลาย กระบวนท่าก่อนหน้านี้ที่เกือบแตะขั้นไม้ตาย อาจจะลดระดับลงมา กลายเป็นกระบวนท่าอ่อนหัดในขั้นสามตอนปลายเท่านั้น
“เข้าใจแล้ว” ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อยพลางเอ่ยว่า “อาจารย์ งั้นพรุ่งนี้ผมจะเริ่มนั่งสมาธิหลอมกระดูก ถ้าราบรื่น อีกสามสี่วันผมอาจจะทะลวงขั้นสามตอนปลายได้ ใช้เวลาอีกกว่าสิบวันหรือครึ่งเดือนฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ ไม่รู้ว่าจะทันก่อนลงถ้ำหรือเปล่าเหมือนกัน”
“ไม่เป็นไร หากยืดเวลาออกไปได้สองวัน ฉันก็จะไปพูดกับมหาวิทยาลัยให้ยืดออกไปอีกสองวัน”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่สนใจเท่าไหร่ เข้าถ้ำเพื่อขัดเกลานักศึกษา ไม่ใช่ส่งคนไปตาย
ฟางผิงยังควบคุมพลังได้ไม่ดี อย่างมากครั้งนี้ก็อย่าเพิ่งไป
ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนลงถ้ำโดยที่ยังไม่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้
แต่จะว่าไปแล้ว คนอย่างฟางผิงที่แทบจะทะลวงขั้นสามตอนปลายแล้วกลับยังไม่ได้ลงถ้ำ มีน้อยจริงๆ
เด็กนี่ก้าวหน้าเร็วเกินไป รวมทั้งก่อนหน้านี้คลุกตัวอยู่กับกลุ่มผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสอง มหาวิทยาลัยจึงกำหนดเวลาออกมาตามนั้น
ไม่งั้นหลังจากเขาทะลวงขั้นสามตอนกลางแล้ว คงจะมีคนลากเขาไปในถ้ำด้วยกันทันที
—
หลู่เฟิ่งโหรวล่วงรู้ความคิดของฟางผิงแล้วก็ไม่ยุ่งเขาต่อ
สำหรับเฉินอวิ๋นซี หลู่เฟิ่งโหรววางตัวดีกว่าก่อนหน้านี้อยู่บ้าง ตอนนี้กลับจงใจกลบเกลื่อน ตอนที่จะไปยังทิ้งข้อความว่า “ก่อนเข้าถ้ำทะลวงขั้นสองสูงสุดให้ได้ ไม่งั้นก็ให้ปู่เธอตามไปปกป้องในถ้ำ!”
เฉินอวิ๋นซีทำหน้าน้อยใจ ตอนแรกบอกว่าปลายเดือนมิถุนายนไม่ใช่หรือไง?
ทำไมตอนนี้เปลี่ยนเป็นทะลวงขั้นสองสูงสุดก่อนลงถ้ำแล้วล่ะ?
ฟางผิงได้ยินแบบนั้นก็ดีใจ รอหลู่เฟิ่งโหรวไปแล้วค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อวิ๋นซี ปู่ของเธอเป็นปรมาจารย์ ให้ปู่เธอเข้าไปในถ้ำกับพวกเราไหม? จะได้มีหลักประกันความปลอดภัย”
เฉินอวิ๋นซีกลอกตาใส่เขา เอ่ยอย่างหงุดหงิดอยู่บ้าง “ฉันไม่ใช่เด็กน้อยสักหน่อย ต้องให้ปู่ปกป้องทุกเรื่องเลยหรือไง?”
“มีทรัพยากรไม่ใช้ก็สิ้นเปลือง”
ฟางผิงเบะปาก ถ้าฉันมีปู่เป็นปรมาจารย์ คงอยากจะให้เขามาเดินตามหลังตัวเองทุกวัน ฟินจะตาย
รังแกคนก็จะรังแกได้ถึงใจกว่า จะยอมไม่ยอม ถ้าไม่ยอมจะให้ปู่ฉันจัดการนาย!
เฉินอวิ๋นซีไม่เห็นด้วย ฟางผิงจึงไร้ทางเลือก
แม้จะพูดอย่างนั้น แต่ปรมาจารย์ต่างยุ่งกันทุกคน จะมีเวลามาตามลูกหลานทุกวันได้ยังไง
ถึงเขาจะชอบหลานสาวคนนี้เป็นพิเศษ แต่ปรมาจารย์มีภารกิจมากมาย กวาดล้างลัทธินอกรีต ลงถ้ำใต้ดิน นั่งรักษาการณ์ที่ไหนสักแห่ง รวมถึงป้องกันการรุกรานจากปรมาจารย์ของประเทศอื่น ล้วนเป็นปรมาจารย์ออกหน้าทั้งนั้น
ปัจจุบันแม้ว่ามนุษย์จะเผชิญหน้ากับภัยคุกคามของถ้ำใต้ดิน แต่ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์ทั้งโลกจะอยู่ปรองดองร่วมกันอย่างแท้จริง คิดแย่งทรัพยากรของประเทศอื่นเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่ง เรื่องแบบนี้พบเห็นได้ถมเถไป รวมถึงยอดฝีมือระดับสูงบางคน ที่ว่างเอ้อละเหยลอยชาย ถึงคนพวกนี้จะเข้าถ้ำ แต่ยังต้องมีหลักประกันความปลอดภัย พวกเขาอาจไม่สนใจการรุกรานของถ้ำใต้ดินเสมอไป
ฉวยโอกาสที่แต่ละประเทศดึงกำลังคนมาไม่ได้ กอบโกยผลประโยชน์ให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น เป็นเรื่องที่เห็นบ่อยจนชินตาเช่นกัน
และทั้งหมดนี้จำเป็นต้องมีผู้แข็งแกร่งคอยปราบปราม
ประเทศจีนมีปรมาจารย์สามร้อยคน ฟังดูเหมือนเยอะ แต่ครึ่งหนึ่งอยู่ในถ้ำใต้ดิน ปรมาจารย์คนอื่นๆ กระจัดกระจายทั่วประเทศจีน น้อยจนน่าอดสู เดิมทีก็แทบไม่พอใช้แล้ว
—
ในเวลาเดียวกับที่ฟางผิงไปยืมคะแนนเพื่อเตรียมทะลวงด่านนั้น
ห้องทำงานคณบดี
หวงจิ่งเอ่ยอย่างครุ่นคิด “เขาจะหลอมกระดูกในครั้งเดียว?”
หลู่เฟิ่งโหรวพยักหน้า “ฉันคิดว่ายังเสี่ยงอยู่บ้าง ดังนั้นพอเวลานั้นมาถึง คุณต้องไปกับฉันสักหน่อย ถือโอกาสสำรวจร่างกายของเขาด้วย เด็กนี่ไม่ได้พูดเรื่องเตรียมยาบำรุงเลย”
“อย่างนั้นเหรอ?”
หวงจิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พยักหน้าว่า “ถึงเวลานั้นเรียกเหล่าอู๋ไปด้วยกัน”
หลู่เฟิ่งโหรวแค่นเสียงในลำคอ กลับไม่พูดอะไร
“ยังไม่ทันจบปีหนึ่งเตรียมจะเข้าสู่ขั้นสามตอนปลาย…ความเร็วนี้…ช่างน่าตกใจจริงๆ”
หวงจิ่งพึมพำ เทียบกับหวังจินหยางแล้วยังคงเร็วกว่าอยู่บ้าง
หรือเปิดเรียนปีสองเทอมหน้าจะมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ปรากฏตัวอีกคนแล้ว?
เข้าสู่ระดับกลาง นั่นแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางเข้าสู่แวดวงการเมือง คว้าตำแหน่งผู้บัญชาการมาได้ด้วยซ้ำ
รั้งตัวอยู่เซี่ยงไฮ้ก็เพียงพอให้รับหน้าที่เป็นอาจารย์สอนศิลปะการต่อสู้แล้ว หากอยู่ในมหาวิทยาลัยอย่างหนานเจียง ถึงขั้นเป็นยอดฝีมือในหมู่อาจารย์ได้
“กลายพันธุ์แบบพิเศษอย่างนั้นเหรอ?”
หวงจิ่งพึมพำ สำหรับการทะลวงด่านของฟางผิง เขาสนใจขึ้นมาไม่น้อย
——————-