ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 229 วิชาเกาทัณฑ์เลือด (1)
ตอนที่ 229 วิชาเกาทัณฑ์เลือด (1)
วันที่ 5 มิถุนายน
ฟางผิงเริ่มต้นฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้
จางติ้งหนานมอบวิชาดาบคลั่งโลหิตฉบับปรับปรุงให้เขา ฟางผิงจึงเริ่มจัดระเบียบการฝึกใหม่ วิชาดาบคลั่งโลหิตฉบับดั้งเดิม ฟังดูเจ๋ง แต่ความเป็นจริงในเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลางกลับถือว่าธรรมดาอยู่บ้าง ระเบิดกระบวนท่าใหญ่ก็ฟันติดต่อกันเจ็ดครั้งเท่านั้น นี่นับเป็นหนึ่งรอบ ทั้งฟันติดต่อกันเจ็ดครั้ง ทุกดาบจะระเบิดพลังเฉลี่ยออกไป
พูดง่ายๆ คือวิชาดาบคลั่งโลหิตจะเป็นการระเบิดพลังโดยเฉลี่ย
ฟันติดต่อกันเจ็ดดาบ อนุภาพเท่ากันทั้งหมด รวมเจ็ดดาบแล้วถึงจะนับว่ากระบวนท่าใหญ่
แต่หลังจากปรับปรุงแล้ว วิชาดาบคลั่งโลหิตจึงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แรงระเบิดเพิ่มทวีคูณขึ้นไปอีก!
หลังจากจางติ้งหนานเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ ก็มีความคิดความอ่านมากขึ้น ความรู้เกี่ยวกับศิลปะต่อสู้ลึกล้ำยิ่งขึ้น
ยังคงฟันติดต่อกันเจ็ดดาบเหมือนเดิม แต่ทุกดาบระเบิดปราณทวีคูณขึ้นไปอีก
ดาบแรกฟันออกไปสามสิบแคล ดาบที่สองเป็นสี่สิบแคล จวบจนถึงดาบที่เจ็ดก็จะระเบิดพลังแข็งแกร่งมากขึ้นไปอีก
เจ็ดดาบ แต่ละดาบปะทุพลังขึ้นเรื่อยๆ ฟันเจ็ดดาบติดต่อกันจะค่อยๆ ก้าวหน้าตามลำดับ ระเบิดพลังเกินขีดจำกัดของตัวเอง
กระบวนท่าเดียว บางทีฟางผิงอาจจะระเบิดปราณได้แค่หนึ่งร้อยแคล
แต่ถ้าฝึกตามวิชาดาบคลั่งโลหิตแล้ว พอถึงดาบที่เจ็ด อาจจะระเบิดปราณออกมาถึงหนึ่งร้อยห้าสิบแคล
—
ฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้สิ้นเปลืองไม่น้อยเหมือนกัน
เคล็ดวิชาต่อสู้ไม่ใช่การเรียนทฤษฎี แต่ต้องลงมือทำด้วย
ต่อให้ทฤษฎีเก่งแค่ไหน ไม่เคยฟันออกไปสักดาบ จะเรียกว่าวิชาต่อสู้ได้ยังไง?
ฝึกวิชาทุกวัน ปราณของฟางผิงลดหลั่นเป็นอย่างมาก
เขาอยู่ในระดับนี้ อันที่จริงร่างกายก็ฟื้นฟูได้ไวเช่นกัน ไม่เหมือนกับขั้นหนึ่งขั้นสองที่ปราณลดไปแล้ว ร่างกายกลับฟื้นฟูอย่างช้าๆ
ในขั้นสามตอนปลาย ฟางผิงเสียปราณไปหนึ่งร้อยแคล เสี้ยวนาทีต่อมาเหมือนว่าร่างกายจะผลิตปราณสิบแคลขึ้นมาทดแทนแล้ว
แต่แม้จะเป็นแบบนี้ ฟางผิงยังคงเสียค่าทรัพย์สินไม่น้อยอยู่ดี
หลู่เฟิ่งโหรวเพิ่มค่าทรัพย์สินให้เขาสี่ล้านห้าแสน ฟางผิงใช้เฉลี่ยวันละห้าแสน!
พูดดูเหมือนเยอะ ในความเป็นจริงกลับเพียงพอให้เพิ่มปราณแค่ห้าร้อยแคลเท่านั้น
แต่เพิ่มปราณห้าร้อยแคล รวมถึงร่างกายช่วยฟื้นฟูด้วย ทุกวันฟางผิงจึงฝึกวิชาได้ยาวนานขึ้น
ตอนที่ฝึกวิชาไม่จำเป็นต้องระเบิดปราณทุกกระบวนท่า แต่เจออะไรที่ไม่ค่อยเข้าใจ ฟางผิงจึงค่อยใช้ปราณเพื่อลองศึกษาดู
นอกจากวิชาดาบคลั่งโลหิตแล้ว ฟางผิงยังเริ่มจริงจังกับวิชาเคลื่อนเมฆ
สู้ไม่ไหวไม่กลัว แต่ต้องหนีให้ทัน!
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลายแทบจะอยู่ในระดับสภาวะว่างเปล่าทั้งหมด เวลานี้ความเร็วของฟางผิงไม่ใช่เรื่องที่ได้เปรียบอีกแล้ว
แม้ว่าจะแตะเท้ากลางอากาศ คนอื่นก็ทำได้เหมือนกัน
ดังนั้นมีเพียงต้องฝึกเคล็ดฝีเท้าให้ลึกล้ำมากยิ่งขึ้นถึงจะวิ่งเร็วกว่าคนอื่นได้
นอกจากสองเคล็ดวิชานี้ หลู่เฟิ่งโหรวยังแนะนำให้ฟางผิงเรียนเคล็ดวิชาระดับกลางอีกอันหนึ่ง…วิชาเกาทัณฑ์เลือด
—
ริมอ่างเก็บน้ำ
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยเสียงเบา “นี่เป็นเคล็ดวิชาที่ฉันสร้างขึ้นเอง ไม่ได้สอนคนอื่นด้วยเช่นกัน”
ฟางผิงอ่านคำอธิบายเคล็ดวิชาอยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็นเคล็ดวิชาต่อสู้ที่ทุ่มสุดตัวอย่างแท้จริง!
“รวบรวมปราณ ปากพ่นเกาทัณฑ์เลือด อาจารย์ รู้สึกคุ้นๆ ยังไงไม่รู้…”
ฟางผิงพึมพำ วิชานี้คุ้นๆ ชะมัด!
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ใช้ได้ก็เพียงพอแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์หลายคนตอนที่กำลังบาดเจ็บ ปากจะเต็มไปด้วยเลือด พ่นใส่ศัตรู ก่อกวนการมองเห็นพวกเขาได้ ก่อนหน้านี้เสวี่ยเหมยเคยทำตอนการแข่งขันแลกเปลี่ยนมาก่อน แต่ว่าเกาทัณฑ์เลือดแบบนั้น ขาดการรวบรวมสมาธิไปหน่อย ไม่มีผลอะไรมาก แต่วิชาเกาทัณฑ์เลือดไม่เหมือนกัน นี่เป็นการใช้ปราณแบบพิเศษอย่างหนึ่ง ทั้งผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลายขึ้นไปเท่านั้นถึงจะฝึกวิชาได้ เพราะประเด็นหลักขึ้นอยู่กับปราณที่ออกจากร่าง ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสามตอนปลายทำถึงจุดนี้ไม่ได้ ปราณกักเก็บอยู่ภายในเท่านั้น แต่ขั้นสามตอนปลายขึ้นไป พอจะฝืนใช้ปราณที่ออกจากร่างกายได้ ใช้เคล็ดวิชารวบรวมปราณทำให้ปราณออกจากร่าง สามารถทำถึงขั้นใช้ปราณเป็นอาวุธทำร้ายคนได้…”
ฟางผิงถอนหายใจ “เคล็ดวิชานี้เหลี่ยมไม่ใช่เล่น…”
เหลี่ยมจัดเกินไปแล้ว!
พ่นเลือดออกมาเป็นเกาทัณฑ์เลือด เกาทัณฑ์เลือดที่เปี่ยมไปด้วยพลังสังหาร นี่หากใช้กับการกระอักเลือดทั่วไป ไม่ใช่จะกระอักเลือดออกมาจนตายจริงๆ เหรอ?
อาจารย์ของเขาทำไมถึงคิดค้นวิชาเช่นนี้ขึ้นมาได้?
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “จะเรียนไม่เรียน?”
“เรียนครับ!”
ฟางผิงตอบกลับอย่างรวดเร็ว ล้อกันเล่นแล้ว เคล็ดวิชาสุดยอดขนาดนี้จะไม่เรียนได้ไง!
ตอนที่เขาสู้กับคนอื่น ฟันดาบใหญ่ออกไป บางครั้งอาจเจอกับสถานการณ์ที่ยื้อหยุดวัดพลังกัน แขนขาของเขาแทบหาจังหวะดึงออกมาไม่ได้
เวลานี้หากพ่นเลือดออกไปกะทันหัน ทะลุหัวของอีกฝ่าย นั่นคงเป็นเรื่องดีไม่น้อย!
โดยปกติทุกคนจะให้ความสำคัญกับการป้องกันหัวอยู่แล้ว เพราะถือเป็นจุดอ่อนของผู้ฝึกยุทธ์ที่อยู่ต่ำกว่าระดับสูง จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุด
แต่ป้องกันก็ป้องกันแค่มือและเท้าของคุณเท่านั้น ใครจะมาระแวดระวังปากของคุณกัน?
ดังนั้นตอนที่ต่อสู้กัน ถือเป็นเรื่องยากที่จะโจมตีถึงหัวของอีกฝ่ายได้ ทุกคนต่างป้องกันอย่างเข้มงวด
แต่หากจู่โจมโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันคาดคิด นั่นก็ง่ายแล้ว ใช้เกาทัณฑ์เลือดทะลวงไปตรงๆ
เคล็ดวิชาเช่นนี้ฟางผิงคิดว่าเป็นความโชคดีของมนุษยชาติ
หลู่เฟิ่งโหรวสร้างเคล็ดวิชาต่อสู้เช่นนี้ออกมา เขาคิดว่าเธอปรับแต่งให้เข้ากับตัวเอง
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “อันที่จริงคนที่คิดค้นเคล็ดวิชาแบบนี้มีไม่เยอะ แต่ที่ไม่สร้างออกมา อยากรู้ว่าเพราะอะไรหรือเปล่า?”
กระบวนท่าลอบทำร้ายคนเช่นนี้ หลายปีที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่มีคนเคยคิดค้นขึ้นมาก่อน
ประเด็นอยู่ที่ไม่อาจสร้างออกมาได้ สร้างออกมาก็มีอนุภาพที่จำกัด
ฟางผิงส่ายหัว
“เพราะพลังปราณที่พ่นออกมาต้องอาศัยอวัยวะภายในและพลังที่กักเก็บในลำคอ อวัยวะภายในนั้นทุกคนสามารถฝึกฝนได้ แต่ลำคอ…ไม่ใช่จุดที่ทุกคนใช้ฝึกวิชา”
ฟางผิงแววตาสว่างวาบขึ้นมาทันที!
“อันที่จริงลำคอเป็นจุดอ่อนของผู้ฝึกยุทธ์หลายคน นอกจากกระดูกสันหลังที่เชื่อมมาถึงต้นคอแล้ว ลำคอก็แทบไม่มีกระดูกตายตัวอะไรให้ทุกคนใช้หลอม แม้จะอาศัยการชุบร่างกายมาเพิ่มความแข็งแกร่งให้เหมือนร่างทอง แค่ลำคอยังคงไม่อาจหลอมให้ลึกล้ำเท่าส่วนอื่น วิชาเกาทัณฑ์เลือดของฉัน ประเด็นหลักไม่ได้อยู่ที่เกาทัณฑ์เลือด แต่เป็นการหลอมกระดูกกล่องเสียง! กระดูกกล่องเสียงมีทั้งหมดเก้าชิ้น รวมถึงกระดูกอ่อนไทรอยด์ กระดูกอ่อนไครคอยด์ ฝาปิดกล่องเสียง…คนอื่นๆ นั้นเคยตระหนักถึงการใช้ปราณหลอมเช่นกัน แต่เมื่อปราณไหลผ่านบริเวณลำคอ ปราณจะอ่อนแรงลง เพราะยังไม่ได้หลอมถึงกะโหลก ปรมาจารย์ขั้นแปด ทำไมถึงพูดว่าร่างกายไม่บุบสลาย? เพราะพวกเขาหลอมทุกส่วนของร่างกายหมดแล้ว รวมถึงกระดูกอ่อนพวกนี้ล้วนถูกหลอมทั้งสิ้น จึงกลายเป็นร่างทองที่ไม่บุบสลายอย่างแท้จริง วิชาเกาทัณฑ์เลือดในสายตาของปรมาจารย์ จะมีหรือไม่มีก็ได้ ไม่มีความจำเป็นต้องศึกษา แต่สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง การหลอมกระดูกอ่อนคอเพื่อใช้วิชาเกาทัณฑ์เลือด ถือเป็นเคล็ดวิชาที่มีเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของโลกผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน…”
นี่เป็นวิชาลับเฉพาะของหลู่เฟิ่งโหรว
พวกยอดฝีมือต่างมีวิชาลับเฉพาะของตัวเอง อย่างวิชาดาบคลั่งโลหิตพวกนี้ ไม่ได้มีประโยชน์กับทุกคนมากมายจึงได้เปิดเผยออกไปอย่างสาธารณะให้คนภายนอกรู้
แต่เคล็ดวิชาอย่างเกาทัณฑ์เลือดนั้นกลับไม่ค่อยมีการเปิดเผยต่อภายนอก จะถ่ายทอดกันอย่างลับๆ เท่านั้น
เว้นเสียแต่ว่าหลู่เฟิ่งโหรวจะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ บางทีอาจจะหยิบออกมาแบ่งปันกับคนอื่น
ไม่งั้นนี่คงจะเป็นท่าไม้ตายของเธอแล้ว
ฟางผิงเอ่ยอย่างแปลกใจอยู่บ้าง “อาจารย์…คือว่า…รุ่นพี่คนอื่นๆ เคยเรียนเหมือนกันใช่ไหมครับ?”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “ปราณของพวกเขาไม่แข็งแกร่งพอ เรียนไปก็เปล่าประโยชน์ ปราณเธอไม่อ่อนด้อย สามารถทำสองอย่างพร้อมกันได้ ด้านหนึ่งคือโจมตีศัตรูตรงๆ อีกด้านสามารถเคลื่อนไหวปราณใช้วิชาเกาทัณฑ์เลือดได้ นี่จึงเป็นเป้าหมายที่ฉันสอนให้เธอ จำไว้ว่าไม่อนุญาตให้เผยแพร่ไปข้างนอก!”
“เข้าใจแล้วครับ!”
“งั้นตอนนี้ฉันจะสอนเธอว่าหลอมกระดูกอ่อนคอยังไง การหลอมกระดูกอ่อนคอไม่ยาก ทำได้เร็ว หลอมสำเร็จ วิชาเกาทัณฑ์เลือดก็คืบหน้าไปกว่าครึ่งแล้ว…”
—
หลายวันต่อมา ฟางผิงเอาแต่ฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้สามอย่างนี้
วิชาดาบคลั่งโลหิต วิชาดาบที่ต่อสู้ซึ่งๆ หน้า
วิชาเกาทัณฑ์เลือด วิชาลับที่ลอบโจมตีคน
วิชาเคลื่อนเมฆ จำเป็นต้องใช้หนี…ไม่สิ วิชาจำเป็นต้องใช้ไล่ตามศัตรู
ฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลางทั้งสามอย่างทำให้ฟางผิงละทิ้งความคิดที่จะศึกษาการแทงเท้าลงลึกต่อ
การแทงเท้าเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้ระดับล่าง ล้าหลังไปแล้ว ทั้งยังสร้างความเสียหายแค่ภายนอกอย่างเดียวเท่านั้น
แต่เคล็ดวิชาต่อสู้ระดับกลาง เกี่ยวพันไปถึงการใช้ประโยชน์จากปราณที่มากมาย
ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ ฟางผิงที่ฝึกทั้งสามเคล็ดวิชาใหญ่ ค่าทรัพย์สินจึงเริ่มเข้าสู่ภาวะวิกฤตอีกครั้ง
ฟางผิงใจร้อนอยู่บ้าง ไม่มีค่าทรัพย์สิน ฟื้นฟูปราณไม่ได้ เขาไม่ชอบใช้ยาบำรุงเท่าไหร่
นอกจากจะช้าแล้ว ยังไม่รู้ว่ายาบำรุงนั้นทำมาจากส่วนประกอบร่างกายของสิ่งมีชีวิตใต้ดินหรือเปล่า กินให้น้อยจะดีที่สุด
—
ในตอนที่ค่าทรัพย์สินของฟางผิงกำลังจะหมดลง ข่าวจากหลี่เฉิงเจ๋อก็มาถึง
“คุณฟาง อีกฝ่ายตอบรับแล้ว!”
หลี่เฉิงเจ๋อดีใจอย่างเห็นได้ชัด สามสิบล้านซื้อหุ้นสามสิบเปอร์เซ็นต์ของแพลตฟอร์มอาหารหยวนฟาง จุดนี้เขาแทบไม่เคยคิดมาก่อน
นี่หมายความว่าแพลตฟอร์มอาหารหยวนฟาง ในสายตาอีกฝ่ายมีมูลค่าสูงถึงหนึ่งร้อยล้าน!
แต่ความเป็นจริงลงทุนไปเท่าไหร่เอง?
ช่วงนี้หลี่เฉิงเจ๋อเอาสามโครงการที่ฟางผิงพูดมาชำแหละอย่างละเอียด จัดการสภาพการเงินอีกเล็กน้อย
ผลปรากฏว่าการลงทุนของแพลตฟอร์ม รวมถึงค่าโฆษณาล้วนอยู่ในแพลตฟอร์มหมดแล้ว ใช้ไปแค่สิบเจ็ดล้านเท่านั้น
เวลาไม่ถึงหนึ่งปีกลับมีมูลค่าถึงหนึ่งพันล้าน นี่เป็นเรื่องที่เขานึกไม่ถึงอย่างสิ้นเชิง
——————-