ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 24 หยั่งเชิง
ตอนที่ 24 หยั่งเชิง
กันย่อมดีกว่าแก้
ฟางผิงไม่รู้สึกว่าการคิดมากของตัวเองจะเป็นเรื่องผิดแต่อย่างใด ยังไงก็ชีวิตเขาทั้งชีวิต
คิดมาก สร้างความหวาดกลัวให้ตัวเองก็ยังดีกว่าปล่อยให้ชีวิตน้อยๆ หลุดลอยไป
ตีหน้าซื่อทำเป็นไม่รู้เรื่อง นั่นจะสิ้นคิดมากกว่า ยังไม่รู้จะตายยังไงเลยด้วยซ้ำ
อีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย ย่อมดีที่สุด
หากเขามีเจตนาร้าย ตัวเองเตรียมการณ์ก่อน ก็ยังดีกว่าไม่เตรียมอะไรเลย
ในความคิดของฟางผิง จะมั่นใจว่าอีกฝ่ายมีเจตนาร้ายหรือไม่ เป็นเรื่องที่ง่ายยิ่ง
หากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์จริงๆ นั่นก็เป็นไปได้ว่าเขามีจุดประสงค์ร้าย!
ยุคสมัยนี้ไม่ใช่สมัยโบราณ ผู้ฝึกยุทธ์เป็นชนชั้นพิเศษในสังคม
ปลีกวิเวกมาอยู่คนเดียวคงไม่มีคนทำ
ยิ่งไปกว่านั้น คนโง่ที่ไหนจะมาเช่าบ้านในย่านเก่าเช่นนี้?
ดังนั้นขอเพียงแค่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์หรือไม่ เขาก็สามารถคาดคะเนเรื่องราวได้คร่าวๆ แล้ว
แม้ว่าเดาผิด นั่นจะเป็นไรไป?
—
ฟางผิงพยายามทำให้ใจตัวเองสงบลง โยนความคิดฟุ้งซ่านก่อนหน้านี้ทิ้งไป ยามนี้เขากลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อันตรายขนาดนั้นแล้ว
แม้อีกฝ่ายคิดจะจัดการตัวเองจริงๆ ก็ทำได้เพียงลอบสังเกตการณ์เท่านั้น
ไม่อย่างนั้นคงไม่มีความจำเป็นต้องเช่าบ้าน
เขาเป็นนักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง มีโอกาสน้อยยิ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์คิดจะสังหารเขา
ในเมื่อช่วงนี้ยังมีความปลอดภัย ก็ต้องลองหยั่งเชิงฐานะของอีกฝ่ายสักหน่อย
อาศัยเพียงถุงข้าวเมื่อเช้าย่อมไม่เพียงพอ คนทั่วไปกินข้าวเยอะก็ใช่ว่าจะไม่มี
ตลอดทั้ง วันฟางผิงเอาแต่ก้มขีดๆ เขียนๆ อยู่กับตัวเอง บางครั้งก็ไปหลอกถามข้อมูลจากพวกอู๋จื้อหาว
รอจนเลิกเรียนตอนบ่าย ในใจของฟางผิงจึงค่อยมีแผนคร่าวๆ
แม้เขาจะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่ก็ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นมัธยมปลายจริงๆ อายุจวนจะสามสิบแล้ว อย่างน้อยจิตใจก็แกร่งกล้ากว่านักเรียนมอปลายพวกนี้อยู่มากโข
—
ย่านจิ่งหูหยวน
พอเลิกเรียน ฟางผิงก็ตะบึงกลับบ้านทันที
วันนี้ไม่ได้เลิกเรียนก่อนเวลา ฟางหยวนจึงกลับบ้านมาเร็วกว่าเขา มารดายังยุ่งอยู่ในครัวเหมือนเดิม
เมื่อเข้าบ้าน ฟางผิงก็เข้าไปในห้องน้ำ ก่อนจะเดินรอบๆ ลานหลังบ้านไปครั้งหนึ่ง
ฟางหยวนที่กำลังดูทีวี รู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง พี่ชายเปลี่ยนไปแล้ว?
ไม่กี่วันนี้ หากฟางผิงเห็นเธอ ก็จะหยิกแก้มทันที
เธอเพิ่งจะเตรียมตัวพร้อม ปรากฏว่าฟางผิงมาถึงบ้าน กลับเดินไปเดินมา มองข้ามเธอเสียอย่างนั้น
รอจนฟางผิงเดินกลับมาห้องนั่งเล่น ฟางหยวนก็เอ่ยอย่างแปลกใจ “ฟางผิงหาอะไร? ทำเงินหาย?”
ฟางผิงหัวเราะ “พี่ชายเธอจนขนาดนั้น จะเอาเงินที่ไหนมาหายกัน”
ขณะที่พูด ฟางผิงก็ทำเป็นกล่าวเสียงดังเล็กน้อย “แม่ครับ คุณลุงด้านบนอยู่บ้านหรือเปล่า?”
“ทำไมเหรอลูก?”
หลี่อวี้อิงถามอย่างสงสัย ลูกชายอยากจะรู้เรื่องผู้เช่าใหม่ไปทำไมกัน?
“ผมเพิ่งเห็นว่า บนหลังคาห้องน้ำมีน้ำซึมอยู่บ้าง ไม่รู้ว่ามาจากชั้นบนหรือเปล่า?”
“น้ำซึมงั้นเหรอ?”
หลี่อวี้อิงยังคงไม่ใส่ใจเรื่องนี้เท่าไร “หากไม่ร้ายแรงก็ปล่อยไปเถอะ บ้านเก่าก็เป็นอย่างนี้…”
“ยังไงก็ต้องเตือนเขาสักหน่อย ถ้าคุณลุงด้านบนอยู่บ้าน ผมจะไปทักทาย คนเพิ่งมาอยู่ คงไม่ค่อยเข้าใจอะไร”
ได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ หลี่อวี้อิงก็ไม่ขัดขวาง เอ่ยว่า “น่าจะอยู่ที่บ้านนั่นแหละ ตอนบ่ายกลับมายังเห็นเขาซื้อของมา แล้วก็ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูอีกเลย”
ตึกหลังนี้ไม่ค่อยเก็บเสียง หากเปิดปิดประตูดังหน่อยก็ได้ยินทั่วกันแล้ว
ฟางผิงก็ไม่ถามต่อ สาวเท้าออกจากห้องเตรียมจะไปหาคนด้านบน
ฟางหยวนเห็นเขาจะไปทักทายจริงๆ ก็ยิ่งไร้คำพูด เมื่อก่อนฟางผิงไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย ช่วงนี้นับวันก็แปลกขึ้นเรื่อยๆ
—
ชั้นสอง
ฟางผิงสูดลมหายใจเล็กน้อย พยายามสงบจิตใจของตัวเอง
ยื่นมือไปเคาะประตู
ภายในห้องเงียบงัน ราวกับไม่มีคนอาศัยอยู่
ฟางผิงไม่คิดยอมแพ้ เคาะประตูอีกครั้ง เอ่ยปากว่า “สวัสดีครับ มีคนอยู่หรือเปล่า?”
“ผมอยู่บ้านข้างล่าง ที่นี่มีคนอยู่ไหมครับ?”
“…”
เสียงเคาะประตูดังติดต่อกันหลายครั้ง ก่อนประตูที่อยู่ด้านในประตูนิรภัยจะถูกเปิดออกพร้อมกับหวงปินที่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
แต่ไม่นานก็เผยรอยยิ้มใสซื่อออกมา “เมื่อกี้ไม่ได้ยิน นายคือ…”
“สวัสดีครับคุณลุง ผมพักอยู่ชั้นล่าง เมื่อวานได้ยินแม่บอกว่า ห้องของป้าเฉินปล่อยเช่าแล้ว…”
ฟางผิงคุยเรียบง่ายไม่กี่ประโยค ก่อนเอ่ยอย่างเกรงใจอยู่บ้าง “คุณลุง คือว่าพวกเราอยู่ในย่านเล็กนี้ บ้านเก่าอยู่บ้าง ท่อส่งน้ำคงไม่ต้องพูดถึง รวมทั้งตอนที่ป้าเฉินแต่งเติมบ้านใหม่ ก็ปรับปรุงห้องน้ำได้ไม่ค่อยดี เมื่อกี้ผมเห็นว่าห้องน้ำบ้านผมมีน้ำรั่วซึมนิดหน่อย กลัวว่าคุณลุงจะไม่รู้ ผมเลยขึ้นมาดู…”
คิ้วของหวงปินกระตุกเล็กน้อย เมื่อวานเจ้าของบ้านก็พูดเรื่องนี้แล้ว เขาอาบน้ำเมื่อคืนก็ไม่ได้สนใจเท่าไร นี่คงมาเคาะประตูซักไซ้เอาความสินะ?
แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก หวงปินไม่คิดจะสร้างเรื่องดึงดูดความสนใจจากผู้คน
ได้ยินเช่นนั้นก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ขอโทษด้วย ฉันเพิ่งย้ายเข้ามา ไม่ค่อยเข้าใจอะไรเท่าไร ครั้งหน้าจะระวังละกัน”
“ไม่เป็นไรครับ ปัญหานี้เกิดบ่อยจนชินแล้ว”
ระหว่างที่ฟางผิงพูด ก็พบว่าชายคนนี้แทบไม่ห่างจากประตู จึงเอ่ยว่า “คุณลุง สะดวกให้ผมเข้าไปดูในห้องน้ำหรือเปล่า? ไม่แน่ว่าปัญหาอาจจะอยู่ที่ท่อส่งน้ำหลักของคุณลุง เลยทำให้น้ำรั่วซึม หากท่อส่งหลักรั่วจริงๆ ยังต้องหาคนมาซ่อมแซม ไม่อย่างนั้นอีกสองสามวันสภาพบ้านคงดูไม่ได้แน่”
หวงปินขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ไม่นานก็พยักหน้าเอ่ย “ได้ นายลองเข้าไปดู หากปัญหาเกิดที่ฉัน ฉันหาช่างซ่อมมาเองก็เพียงพอแล้ว”
“งั้นคงต้องรบกวนคุณลุงแล้ว”
ฟางผิงเอ่ยเป็นมารยาท ก่อนหวงปินจะเปิดประตูนิรภัย ให้ฟางผิงเข้ามาในห้อง
ฟางผิงกวาดสายตามองในห้อง ที่จริงเขาเคยขึ้นมาชั้นบน เมื่อก่อนยามที่ป้าเฉินอยู่ บางครั้งเขาก็ขึ้นมาเล่นที่นี่
ไม่แตกต่างจากความทรงจำนัก เมื่อวานหวงปินเพิ่งย้ายเข้ามา เกรงว่าคงจะไม่ทันได้เปลี่ยนแปลงอะไร
มองไปรอบๆ ทีหนึ่ง เมื่อเห็นผ้าม่านระเบียงถูกดึงปิดครึ่งหนึ่ง ฟางผิงก็ไม่พูดอะไรต่อ
ชายวัยกลางคนอยู่ในบ้าน กลางวันแสกๆ กลับดึงม่านปิดครึ่งหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าผิดปกติ
ฟางผิงไม่ได้ให้ความสนใจนัก เขาเดินไปยังห้องน้ำด้วยรอยยิ้ม เอ่ยไปพลาง “คุณลุงเลิกงานเร็วเหมือนกันนะครับ เมื่อกี้ผมคิดว่าคุณลุงยังไม่กลับมาเสียอีก”
หวงปินตอบอย่างส่งเดช “ไม่ใช่เลิกงานเร็ว ฉันเพิ่งมาหยางเฉิง กำลังหางานทำ ยังไม่ทันได้งานอย่างเป็นทางการเลย”
หลายวันมานี้เขาขลุกตัวอยู่ที่นี่ ออกไปข้างนอกแทบนับครั้งได้ ย่อมไม่อาจพูดว่ากลับมาจากที่ทำงาน
“อ่อ คุณลุงอยากทำอะไรเหรอครับ? พ่อผมทำงานที่โรงงานเครื่องเคลือบแถวชานเมือง ทำมาหลายปีแล้วเหมือนกัน ช่วงนี้โรงงานรับคนอยู่ ให้ผมคุยกับพ่อ…”
“ไม่ต้องๆ ฉันพอจะหาดูคร่าวๆ แล้ว ไม่รบกวนหรอก”
หวงปินรำคาญอยู่บ้าง เป็นแค่เด็กแต่เรื่องเยอะจริงๆ
ฟางผิงเห็นเช่นนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก แต่ยังคงจำไว้ในใจว่า เขาไม่ใช่คนหยางเฉิง
เมื่อเข้ามาในห้องน้ำ กวาดสายตาไปรอบๆ แล้ว ก็ตรวจดูท่อน้ำอย่างเอาจริงเอาจัง
ผ่านไปสักพัก ฟางผิงก็เอ่ยทั้งถอนหายใจ “เหมือนปัญหาจะไม่ได้อยู่ที่ท่อส่งหลัก ทีหลังคุณลุงอาบน้ำ ใช้ถังตวงน้ำไว้จะดีที่สุด รบกวนคุณลุงแล้ว”
“ไม่เป็นไรๆ คราวหลังจะระวัง…”
หวงปินทำทีเป็นคนว่าง่าย ทว่ากลับหงุดหงิดใจอยู่บ้าง เขายังมีธุระอื่นต้องทำ เจ้าเด็กนี้ยังไม่ไปอีก
ฟางผิงก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ที่นี่นาน ใช้หางตามองมือของหวงปิน ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณลุง ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน คุณลุงเพิ่งย้ายมา มีอะไรให้ช่วยเหลือก็ไปหาผมหรือพ่อผมได้”
“ได้ หากมีปัญหาอะไรจะบอกกล่าวแล้วกัน”
“…”
ทั้งสองคนพูดคุยกันอีกเล็กน้อย ก่อนฟางผิงจะออกจากห้องเดินลงตึกไปโดยมีสายตาของหวงปินคอยจ้องมอง
รอจนฟางผิงเดินลงไปแล้ว หวงปินจึงค่อยปิดประตู สั่นศีรษะ ไม่ได้สนใจนัก
—
ชั้นล่าง
ฟางผิงขมวดคิ้วมุ่น แม้จะพูดคุยง่ายๆ ไม่กี่คำ เขากลับพบเจออะไรไม่น้อย
อีกฝ่ายต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ไม่ผิดแน่
แม้ว่าผู้ฝึกยุทธ์จะไม่ได้แตกต่างกับคนทั่วไป แต่หากสังเกตให้ละเอียด ก็ยังมีลักษณะเฉพาะอยู่บ้าง
หากไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธ์มาก่อน ฟางผิงก็คงละเลยจุดสำคัญไปหลายอย่าง
แต่เขาเพิ่งเจอหวังจินหยางมาไม่นานนี้
หวังจินหยางดูไม่แตกต่างจากคนทั่วไป แต่แววตาของอีกฝ่ายนั้นกระจ่างใสอย่างยิ่ง นี่นับว่าเป็นลักษณะเฉพาะเล็กๆ
นอกจากนี้ฝ่ามือของหวังจินหยางยังหยาบกร้าน และมีหนังหนาด้านอยู่บ้าง
การฝึกศิลปะการต่อสู้ไม่เหมือนการฝึกเป็นเซียน ไม่จำเป็นจะนั่งสมาธิเพื่อทะลวงด่าน แต่กลับต้องใช้ร่างกายฝึกฝนอย่างยากลำบาก มือเท้าหนาด้านย่อมเป็นเรื่องปกติ
ทั้งเมื่อฝึกนานไป หนังก็จะหนาด้านขึ้นเรื่อยๆ
อยากจะฟื้นฟูสภาพผิวให้อ่อนนุ่มเรียบเนียน ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างนั้นอย่าหวังเลย แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง ฟางผิงก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
ยามที่พูดคุยกับหวงปินเมื่อครู่ เหมือนจะกวาดสายตาไปส่งๆ แต่ความจริงแล้วเขากลับมองไปที่ฝ่ามือของอีกฝ่าย
หวงปินก็ไม่คิดมาก่อนว่า นักเรียนคนหนึ่งจะมาหยั่งเชิงเขา จึงไม่ได้ปิดบังอะไร
ฝ่ามือของอีกฝ่ายมีแต่หนังหนาด้าน
ทั้งยังไม่ใช่หนังหนาด้านที่มาจากการทำงานนัก ที่จริงทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกัน
หนังหนาที่มาจากการทำงานหนักย่อมไม่เหมือนผู้ฝึกยุทธ์ จุดนี้นักเรียนทั่วไปคงไม่ใส่ใจ แต่ไม่ใช่กับฟางผิง
รวมกับเรื่องที่อีกฝ่ายกินข้าวจำนวนมาก ฟางผิงก็คิดว่าตัวเองพอจะสรุปได้แล้ว
อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกยุทธ์!
แม้จะไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ก็คงฝึกฝนในศิลปะการต่อสู้มาหลายปีแล้ว
ไม่มีงานทำ ทั้งไม่คิดจะหางาน เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านเช่า…
รวมเบาะแสต่างๆ เข้าด้วยกัน ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าชายผู้นี้ผิดปกติ
เมื่อมั่นใจในการคาดเดาของตัวเองแล้ว ฟางผิงก็คิดว่าตัวเองควรสนใจเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ชายที่หน้าตาไม่เหมือนคนดีพักอยู่บนตึกของตัวเอง ลำพังแค่ฟางผิงก็มีปัญหามากพอแล้ว เขาจำเป็นต้องนึกเผื่อสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
“ควรจะทำยังไง?”
ฟางผิงจมดิ่งในความคิด รอคอยอยู่อย่างนี้เหรอ?
รอไปรอมา ชีวิตน้อยๆ นี้คงหลุดลอยไป นี่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แจ้งตำรวจ?
อีกฝ่ายยังไม่ได้ลงมือกับตัวเอง จะให้ไปแจ้งคดีอะไรกัน
หายอดฝีมือมาช่วยเหลือ ตลกเกินไปแล้ว ตัวเองจะไปหาจากที่ไหน
คิดไปคิดมา เรื่องนี้ต้องพึ่งตัวเองเสียแล้ว
“ชิงลงมือก่อนย่อมดีที่สุด?”
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ ฟางผิงก็ตกใจอยู่บ้าง เขามีความกล้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?
อีกฝ่ายเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์เชียว!
ยังไม่พูดถึงว่าจะสามารถจัดการอีกฝ่ายยังไง หากตัวเองเดาผิด นั่นไม่ใช่ว่าจะทำเรื่องผิดกฎหมายหรอกหรือ?
ในใจเกิดความลังเล แต่ไม่นานฟางผิงก็กัดฟัน ลองดูสักตั้งเถอะ!
ไม่ได้จะทำให้เขาตายเสียหน่อย ความจริงยามนี้ฟางผิงยังไม่มีความกล้าที่จะฆ่าคนต่างหาก
ไม่ว่าจะเป็นคนเลวหรือคนดี ขอเพียงไม่ทำอันตรายถึงชีวิต จบเรื่องแล้วก็แค่ไปแจ้งความเท่านั้น
หากเป็นคนดี เช่นนั้นอธิบายเสียหน่อย ก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
เขาเป็นนักเรียนเลือดร้อนคนหนึ่ง คิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนเลว จึงช่วยตำรวจจับคน หากจับผิดคนอย่างมากก็แค่โดนอบรมชุดใหญ่เท่านั้น
แต่ถ้าเป็นคนเลวจริงๆ นั่นก็ง่ายแล้ว เป็นฝ่ายแก้ไขเรื่องร้าย ย่อมดีกว่ารอให้ภัยมาถึงตัว
ส่วนจะจับอีกฝ่ายอย่างไร ผู้ฝึกยุทธ์นั้นไม่ใช่เทพเซียน ยุคสมัยนี้พอมีวิธีจัดการอยู่บ้าง
หากฟางผิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ อีกฝ่ายก็คงระวังตัวล่วงหน้า
แต่หากฟางผิงเป็นนักเรียนธรรมดาคนหนึ่ง ใครจะตระหนักถึงเรื่องนี้กัน
เกรงว่าหวงปินคงจะไม่คิดมาก่อนว่า เขาไม่ได้สร้างปัญหาให้ฟางผิง ฟางผิงกลับวางแผนจะสร้างปัญหาให้เขาก่อน
———————–