ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 240-2 จำไว้ อย่าเดินไปเรื่อย (2)
ตอนที่ 240 จำไว้ อย่าเดินไปเรื่อย (2)
ฟางผิงตรวจสอบเสื้อผ้าและรองเท้าของอีกฝ่าย ดูเหมือนว่าชุดจะเป็นวัสดุผ้าทั่วไป ส่วนรองเท้าเป็นรองเท้าหนัง ไม่รู้ว่าเป็นหนังของสิ่งมีชีวิตอะไร ฟางผิงแยกไม่ออก
ใช้แรงเพียงเล็กน้อย รองเท้าก็ถูกฟางผิงดึงจนขาด
“ไม่ใช่หนังของสิ่งมีชีวิตระดับสูง น่าเสียดาย”
ฟางผิงส่ายหัวเล็กน้อย โยนรองเท้าไปไว้อีกด้าน ครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเก็บเสื้อผ้าที่ขาดหลุดลุ่ยขึ้นมาค้นดูอีกครั้ง ไม่นานก็เจอตำแหน่งของหน้าอก ฟางผิงค้นพบป้ายสถานะขนาดประมาณเหรียญ
“ป้ายสถานะขั้นสาม”
ฟางผิงจ้องมองป้ายสีทองข้างหน้าแวบหนึ่ง ด้านหน้าของป้ายนั้นสลักรอยกระบี่ไว้สามรอย อันที่จริงรอยกระบี่หนึ่งในนั้น บอกว่าเป็นกริชสั้นน่าจะเหมาะกว่า นี่หมายความว่าอีกฝ่ายเป็นมือกระบี่ขั้นสามตอนต้น
ส่วนด้านหลังมีที่ห้อยป้าย รวมทั้งสลักบางอย่างที่ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร
แต่ฟางผิงรู้ นี่คือ ‘ต้นเทียนเหมิน’
‘ต้นเทียนเหมิน’ เป็นสัญลักษณ์ของเมืองเทียนเหมิน ศาสตราจารย์เฒ่าเคยพูดว่าในเมื่อเทียนเหมินมีต้นไม้ขนาดใหญ่สูงกว่าหนึ่งร้อยเมตรอยู่ ถูกมนุษย์ขนานนามว่า ‘ต้นเทียนเหมิน’
ป้ายสถานะของผู้ฝึกยุทธ์ก็เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำ ส่วนมากผู้ฝึกยุทธ์จะพกป้ายสถานะพวกนี้ติดตัว
“ผู้ฝึกยุทธ์ของเมืองเทียนเหมิน…ฝีมือขั้นสามตอนต้น น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์อิสระ”
ฟางผิงคาดเดา แยกว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์อิสระหรือผู้ฝึกยุทธ์ทหารของเมืองเทียนเหมินนั้นเป็นเรื่องง่าย
ผู้ฝึกยุทธ์ทหารแทบจะใช้อาวุธแบบเดียวกันหมด ก่อนหน้านี้ฟางผิงเคยเห็นกระบี่ยาวของผู้ฝึกยุทธ์ทหารจากสถาบันวิจัย ไม่เหมือนกับคนของตรงหน้า ทั้งผู้ฝึกยุทธ์ทหาร ยอดฝีมือจะออกล่าคนเดียว ผู้อ่อนแอจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม ขั้นสามตอนต้นพูดได้ว่าฝีมือธรรมดา ผู้ฝึกยุทธ์ทหารน้อยนักที่จะปรากฏตัวแค่คนเดียว
“ผู้ฝึกยุทธ์อิสระขั้นสามตอนต้นคนหนึ่งเกือบฆ่าฉันได้แล้ว…”
ฟางผิงแววตาวูบไหว ฝีมือของอีกฝ่ายยังห่างเขาอยู่ไกลโข
เขาเองก็ระวังพอตัวแล้ว แต่ยังตั้งการป้องกันไม่พอ เกือบจะถูกอีกฝ่ายฆ่าแล้ว
ลูบบริเวณคอของตัวเอง เลือดที่บาดแผลหยุดไหลแล้ว กำลังผสานตัวอย่างรวดเร็ว แต่ฟางผิงยังคงหวาดผวาอยู่บ้าง
“ต้องระวัง ระวังกว่านี้ ระวังให้มากกว่านี้อีก!”
พูดคำว่า ‘ระวัง’ ออกมาติดต่อกันสามครั้ง ทำให้ฟางผิงตื่นตัวขึ้นมา เริ่มรวบรวมพลังจิตใจแผ่กระจายออกไปจากร่างกายทั่วสารทิศ
หยิบกระบี่ยาวของอีกฝ่ายขึ้นมา ฟางผิงเคาะเบาๆ ก่อนจะใช้แรงบิดเล็กน้อย “โลหะผสมระดับ E จนชะมัด!”
อาวุธของผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำ ไม่ใช่โลหะผสมแบบที่มนุษย์ใช้ แต่การประเมินค่าของอาวุธ มนุษยชาติชอบใช้การแบ่งระดับของตัวเองมากกว่า
ทั้งพวกอาวุธที่เก็บมาจากถ้ำ หน่วยทหารและมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ จะแบ่งตามมูลค่าระดับโลหะผสมเก็บไว้สองในสามส่วนเช่นกัน
ในความเป็นจริงอาวุธของผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำ ส่วนมากจะสร้างจากหินแร่ดิบ รัฐบาลซื้อกลับไป ก็จะเพิ่มโลหะผสมอื่นๆ เข้ามา อาวุธของผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำนั้น สุดท้ายแล้วอาจจะสร้างอาวุธโลหะผสมที่แข็งแรงออกมาได้เหมือนกันสามอัน
นี่ก็เป็นแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญอย่างหนึ่งในการสร้างโลหะผสมของบริษัทผลิตอาวุธ
ลองจับกระบี่อยู่พักหนึ่ง ไม่ได้หนักจนเกินไป อย่างมากคงสักห้าหกจิน ขายให้หน่วยทหารหรือหน่วยงานอื่นๆ น่าจะได้ประมาณห้าหกแสน
สังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามหนึ่งคน ได้แค่ของรางวัลพวกนี้ นับว่าน้อยจนไม่อาจน้อยได้อีกแล้ว
ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ในถ้ำใต้ดิน ไม่มีรางวัลอื่นให้เป็นพิเศษ มีแค่สินสงครามเท่านั้น
แน่นอนว่าอาจไม่ได้เป็นแบบนี้เสมอไป บางครั้งหน่วยทหารก็จะส่งภารกิจบางส่วนออกมา อย่างเช่นไล่ล่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างหรือระดับกลาง อาจจะให้รางวัลพิเศษเพิ่มเช่นกัน หลักๆ เพื่อปลุกกำลังใจให้ทุกคนฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ในถ้ำเยอะๆ
ฟางผิงเปิดกระเป๋าใบเล็กดูอีกครั้ง ด้านในมีของโหรงเหรง
มีอาหารแห้งที่เหมือนกับหมันโถวอยู่หนึ่งก้อน หินพลังงานที่ผิวขรุขระหนึ่งก้อน รวมถึงหินฝึกวิชาหนึ่งก้อน…ไม่สิ หินฝึกวิชาหนึ่งเม็ดที่ขนาดใหญ่กว่าเม็ดข้าวนิดหน่อย
“หินฝึกวิชา เพิ่มปราณอย่างนั้นเหรอ?”
ฟางผิงวิเคราะห์อยู่พักหนึ่ง มากสุดคงหนึ่งกรัม
กลับเป็นหินพลังงานพื้นฐานที่น่าจะประมาณสิบกรัม
“หินฝึกวิชาหนึ่งกรัม มูลค่าสามสิบคะแนน เก้าแสนแล้ว ไม่นับว่าถูก รวมกับหินพลังงานพื้นฐานอีกสิบกรัม ไม่รู้ว่าความบริสุทธิ์เท่าไหร่ เกรงว่าอย่างต่ำที่สุดคงได้สิบคะแนน สามแสน”
คำนวณแล้ว ครั้งนี้สังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนต้น ได้รางวัลไม่ถึงสองล้าน
ฟางผิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลาย ดังนั้นจึงฆ่าได้อย่างสบายๆ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามคนอื่น อาจไม่เป็นแบบนี้เสมอไป บางทีดาบเดียวก็อาจถูกฆ่าแล้ว
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามคนหนึ่งเสี่ยงชีวิตฆ่าศัตรู ได้รางวัลไม่ถึงสองล้าน ไม่ถือว่าเยอะเลยจริงๆ
“คนตายแล้ว ของถูกฉันเก็บมาแล้ว ทำไมค่าทรัพย์สินถึงไม่เพิ่มล่ะ?”
ฟางผิงมองค่าทรัพย์สินตรงหน้า ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ก่อนจะเข้าถ้ำใต้ดิน ค่าทรัพย์สินของเขาแตะถึงแปดสิบล้าน เวลานี้สิ้นเปลืองไปเล็กน้อย เหลือประมาณเจ็ดสิบเก้าล้าน
แต่หลังจากเก็บของ ค่าทรัพย์สินกลับไม่เพิ่มขึ้น นี่ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้
เมื่อก่อนทำภารกิจ มีแค่คะแนนเท่านั้นที่จะคำนวณเป็นรางวัลหลังไปรับมาแล้ว ส่วนยาบำรุงและอาวุธอย่างอื่น แบ่งให้ฟางผิงแล้วจะนับเป็นทรัพย์สินของฟางผิงทันที
ตอนนี้อีกฝ่ายตายแล้ว ทำไมยังไม่คำนวณให้เขาล่ะ?
“ไม่นับค่าทรัพย์สินให้ฉัน แสดงว่าของพวกนี้…ยังไม่ตกเป็นของฉัน…”
นึกมาถึงตรงนี้ฟางผิงก็ม่านตาหดเกร็ง ครู่ต่อมา เขากระโดดขึ้นกลางอากาศ ถอยไปข้างหลังอย่างรวดเร็ว!
ชั่วพริบตาที่ฟางผิงกระโดดหนี ก็เกิดเสียงดังขึ้นมาตรงจุดที่ฟางผิงเพิ่งยืนอยู่!
“ข่ากู่…”
ในพงหญ้ามีเสียงคำรามอย่างโมโหดังขึ้น ฟางผิงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเรียกคนที่ตายไปแล้วหรือกำลังด่าเขาอยู่ อาจจะพูดว่า ‘ตาย’ คำนี้เขาไม่ได้เรียนมา ทั้งไม่มีคนสอน แน่นอนว่าตอนนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกแล้ว
ตอนที่คิดเชื่อมโยงการวิเคราะห์ของระบบว่าทรัพย์สินพวกนี้ยังไม่ตกเป็นของเขา ฟางผิงก็รู้แล้วว่ามีอันตราย!
ระบบค่อนข้างเข้มงวด นอกเสียจากจะมั่นใจจริงๆ ว่าเป็นของคุณ ถึงจะคำนวณเป็นทรัพย์สินให้
หากไม่มั่นใจก็จะไม่เพิ่มค่าทรัพย์สิน
เหมือนก่อนหน้านี้ที่เขาจับกุมหวงปิน ของพวกนั้นยังไม่ถือว่าเป็นของเขา ดังนั้นจึงไม่ได้เพิ่มค่าทรัพย์สิน
รอจนหวังจินหยางแบ่งของกับเขาเสร็จสรรพแล้ว ค่าทรัพย์สินของเขาค่อยเพิ่มขึ้นมา
ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นฟางผิงจึงตระหนักได้ว่า บางทีรอบๆ นี้อาจจะมีผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำอีก ทั้งฝีมือไม่อ่อนด้อย ถ้าอ่อนด้อยเกินไป จากความเจ้าเล่ห์ของระบบ อาจจะไม่คำนวณให้เขาเสมอไป
“ระบบใช้เป็นเครื่องเตือนภัยได้ด้วย…”
ตอนที่ฟางผิงหนีตาย ในหัวอดปรากฏความคิดนี้ขึ้นมาไม่ได้
คุณสมบัตินี้ เมื่อก่อนคิดว่าเป็นอุปสรรคให้ตัวเองอย่างยิ่ง ตอนนี้คิดดูแล้วเหมือนจะไม่แย่เช่นกัน
ส่วนลมหายใจที่ไล่ตามมาติดๆ ด้านหลัง ฟางผิงใช้ปราณสัมผัสเล็กน้อย แข็งแกร่งกว่าตัวเองอยู่บ้าง น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่
ปราณของเขาสูงขึ้นเก้าร้อยเก้าสิบเก้าแคล แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุด ก็ยากที่จะทะลวงขีดจำกัดนี้ อีกฝ่ายปราณสูงกว่าฟางผิง มีโอกาสเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่เก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ หรืออาจจะสูงกว่านั้น
แน่นอนว่าขั้นสี่มีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า ขั้นห้าขั้นหกหรือระดับเดียวกับถังเฟิงนั้น ชั่วพริบตาเดียวก็ไล่ตามเขาทันแล้ว
ฟางผิงวิ่งหนี หันหลังมองไปพลาง
ด้านหลังห่างออกไปกว่าสิบเมตร เป็นผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำผู้ชายถือดาบยาว สวมเสื้อเกราะหนัง ใบหน้านั้นเผยความอำมหิต ถลึงตามองฟางผิง
อีกฝ่ายติดตามไม่ลดละ กระทั่งศพของผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นยังไม่สนใจ
“ดวงของฉันนี่มัน…”
ฟางผิงไม่เคยปะทะกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางมาก่อน ทั้งไม่กล้าเสี่ยงต่อสู้กับอีกฝ่ายด้วย ทำได้เพียงวิ่งหนี
ในสนามบดเนื้อ แม้จะมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางห้ำหั่นกันบ่อยๆ แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางไม่ได้หาเจอง่ายๆ เทียบกับสถานที่กว้างใหญ่เช่นนี้ เป็นเรื่องยากที่จะเจอตัว ส่วนมากจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสาม
ฟางผิงนึกไม่ถึงเช่นกัน เพิ่งมาถึงที่นี่จะเจอกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางเลย ดวงซวยจริงๆ
“เจ้าหัวสิงโตนั่นยังอยากให้ฉันออกทำภารกิจคนเดียว กลับมาเจอระดับกลางเอาง่ายๆ แม่งเหอะ จะอันตรายเกินไปแล้ว!”
ฟางผิงลอบด่า ในคาบเรียนอาจารย์เคยบอกเหมือนกัน ปกติไม่ค่อยพบเห็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางรวมกลุ่มจัดการมนุษย์ ป่าข้างนอกส่วนมากจะเป็นพวกที่ต่ำกว่าขั้นสาม
แต่ตอนนี้ล่ะ?
ก่อนหน้านี้ที่ฐานทัพก็มีระดับกลางมาเป็นทีม ตอนนี้เดินอยู่ดีๆ กลับมาเจออีกคน นี่เหรอที่เรียกว่าไม่ค่อยพบเห็น?
นี่เรียกว่าสามารถพบเจอได้ทุกที่ต่างหาก!
“เมื่อก่อนผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนต้นพวกนั้นมีชีวิตรอดกันได้ยังไงนะ?”
ฟางผิงกลัดกลุ้มใจอย่างยิ่ง อันตรายขนาดนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนต้นไม่ได้เข้ามาตายในนี้หรอกเหรอ?
—
ในเวลาเดียวกับที่ฟางผิงถูกไล่ตาม ห่างจากเขาออกไปทางซ้ายประมาณสิบกิโลเมตร
ถังเฟิงขมวดคิ้วว่า “เมืองเทียนเหมินมีการเคลื่อนไหวอย่างนั้นเหรอ? ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางมีเยอะกว่าเมื่อก่อนอีก”
ระหว่างที่พูด เขาเอ่ยต่อว่า “เจอผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง อย่าได้ตื่นตระหนกจนเกินไป พวกเรามีผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางคอยไล่ล่าอยู่เช่นกัน สามารถวิ่งกลับไปขอความช่วยเหลือได้ โอกาสที่จะเจอผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางของพวกเรามีเปอร์เซ็นต์ค่อนข้างสูง อีกฝ่ายไม่กล้าไล่ตามไปตลอดเหมือนกัน อย่าลืมว่าเจอกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลาง ห้ามวิ่งเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำเด็ดขาด เพราะการปรากฏตัวของระดับกลางอีกฝ่ายหมายความว่าโอกาสที่ผู้ฝึกยุทธ์ของพวกเราจะปรากฏอยู่ข้างหน้ามีน้อยมาก ยิ่งเข้าไปลึกเท่าไหร่ ยอดฝีมือของเมืองเทียนเหมินจะมีมากขึ้นเท่านั้น อย่าวิ่งหนีมั่วซั่วไม่ดูทาง”
ทุกคนพากันผงกหัว หลักการนี้พวกเขาเข้าใจดี
นอกจากนี้ยิ่งเดินไปข้างหน้าเท่าไหร่ก็ยิ่งใกล้เมืองเทียนหนานขึ้นเท่านั้น แน่นอนว่าเวลาหนีก็ต้องย้อนกลับไปข้างหลัง เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องเตือน พวกเขาก็รู้ดีอยู่แล้ว
——————–