ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 242 มืดแล้วหลับตาเถอะ (1)
ตอนที่ 242 มืดแล้วหลับตาเถอะ (1)
ในป่าลึก
ฟางผิงคำรามอย่างโมโห ใบหน้านั้นซีดเซียว ระเบิดกระบวนท่าออกมาอีกครั้ง!
“มาสิ ตามมา!”
ฟางผิงแผดเสียงดัง ก่อนจะนึกได้ว่าอีกฝ่ายไม่เข้าใจ จึงรีบเปลี่ยนภาษา “น่าย่ากู่ข่าหลี่!”
ผู้ฝึกยุทธ์ถือดาบที่ต้านกระบวนท่าจากฟางผิงชะงักไปเล็กน้อย อดหันไปมองอีกสองคนที่ไล่ตามมาไม่ได้
ทั้งสามคนสบสายตากัน แววตาเผยความงุนงง
แต่ไม่นานพวกเขาก็ไม่นึกถึงเรื่องนี้อีก ผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือดาบปะทุปราณสีแดงออกมา วาดดาบเข้าหาฟางผิง
ฟางผิงตะโกนเสียงดัง “น่าย่ากู่ข่าหลี่!”
จากที่ตาเฒ่าหลี่พูด นี่เป็นการยั่วยุอย่างรุนแรง เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว ฟางผิงก็ตั้งใจจะกระตุ้นโทสะอีกฝ่ายเช่นกัน โดยเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือดาบคนนั้น
ไอ้เวรนี่ตามฆ่าเขามานานขนาดนี้ เขาฟันครั้งแล้วครั้งเล่า พลังยังคงเหมือนเดิม
หากไม่โดนขั้นสี่รุมสามคน ฟางผิงคงคิดจะผลาญปราณเขาให้เกลี้ยงแล้วจริงๆ
ปรากฏว่าครั้งนี้ยั่วยุอีกฝ่าย บางทีอาจจะรุนแรงเกินไปอยู่บ้าง
ตอนที่เขาตะโกนด่าติดต่อกัน จู่ๆ ผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือดาบก็เผยสีหน้าดูแคลน ครู่ต่อมาดาบยาวกลับประกายแสงเจิดจ้า แทบจะได้กลิ่นของคาวเลือดในนั้น
ฟางผิงสีหน้าเปลี่ยนทันที ประมาทเกินไป!
ตัวเองเล่นใหญ่ได้ อีกฝ่ายก็ทำได้เหมือนกัน
ไม่กล้าปะทะอีก ฟางผิงหันกลับไปวิ่งต่อ
แม้จะวิ่งอย่างรวดเร็ว ฟางผิงยังคงรับรู้ได้ว่าแผ่นหลังนั้นถูกกรีด อวัยวะภายในถูกกระทบอย่างแรง วิ่งทุลักทุเลเข้าไปในป่าลึกอีก
ผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือดาบใบหน้าซีดเผือดเช่นกัน ฟันออกไปหนึ่งดาบ ฟางผิงวิ่งเร็วจึงไม่ได้ถูกฟันจังๆ เพียงแค่หลังถูกประกายดาบโจมตีเท่านั้น
หากเมื่อกี้ฟางผิงถูกดาบจังๆ ก็เพียงพอให้บาดเจ็บหนักหรือตายได้แล้ว
—
‘แค่ก!’
ฟางผิงกระอักเลือดออกมา ในมือกำยาคืนชีวิต กลับทำใจใช้ไม่ได้
เขาแลกมาแค่หนึ่งเม็ด นี่เพิ่งจะเริ่ม ใช้ไปแล้ว ต่อไปจะทำยังไงล่ะ?
“หัวสิงโต ปู่แกสิ ไหนบอกว่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางมีแค่ไม่กี่คน!”
ฟางผิงด่าออกมาอีกครั้ง น่าโมโหชะมัด ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลายต่างพรางตัวอยู่ในรัศมีห้าสิบกิโลเมตร ฉันมาแค่สามสิบกิโมเมตรเถอะ!
“ไม่สิ ตอนนี้ฉันอยู่ภายในสามสิบกิโลเมตรจริงๆ หรือเปล่า?”
ฟางผิงเกิดความสงสัยกับตัวเองขึ้นมาทันที ฉันวิ่งมานานขนาดนี้ หรือว่า…จะเข้ามาลึกแล้ว?
“ป่า…ป่า…”
ฟางผิงเริ่มหวนนึกถึงแผนที่จำลองที่เห็นในมหาวิทยาลัยก่อนหน้านี้
“ที่ไหนมีป่า?”
“ทางเหนือของเมืองความหวัง มีป่าทั้งหมดหกแห่ง ภายในรัศมีสิบกิโลเมตรไม่มี ถูกโค่นไปหมดแล้ว…ภายในสามสิบกิโลเมตรมีสองแห่ง แต่ฉันน่าจะไม่อยู่ในสามสิบกิโลเมตรแล้ว…งั้นยังมีอีกสี่แห่ง…”
“ฉันอยู่ในป่าแห่งไหนกันล่ะเนี่ย?”
ฟางผิงปวดหัวอย่างยิ่ง ก่อนจะใบหน้าซีดเผือด “ไม่สิ ทางเหนือไม่มีป่า!”
“ทางเหนือเป็นเส้นทางเดินทัพของทหารทั้งสองฝ่าย ไม่มีป่า…ฉัน…ฉันมาผิดทาง?”
ระยะห่างจากสองเมืองไม่มีป่า จะมีก็แต่ภูเขาเล็กๆ เท่านั้น แต่ไม่มีต้นไม้เช่นกัน ถูกโค่นไปหมดแล้ว
มีแต่ซ้ายและขวาที่เป็นป่า!
“ตะวันออกเฉียงเหนือมีสองแห่ง ตะวันตกเฉียงเหนือมีอีกสองแห่ง…ฉันอยู่ที่ไหนกัน?”
ฟางผิงสับสนอยู่บ้าง ใช่แล้ว ตรงไหนคือทิศเหนือ?
บนแผนที่ต้องมองออกอยู่แล้วว่าทางไหนคือทิศเหนือ แต่ตอนนี้วิ่งจนหัวหมุนแล้ว ทางไหนคือทิศเหนือล่ะ?
ฉันวิ่งวนอยู่ในป่าเป็นสิบรอบแล้ว แล้วทิศเหนือมันอยู่ตรงไหน?
เมืองความหวังอยู่ทิศใต้ ทิศใต้อยู่ตรงไหน?
“ฉันหลงทางแล้ว! ครั้งนี้จบเห่แน่!”
ฟางผิงแทบไม่อาจสนใจสามคนที่ไล่ตามด้านหลังได้แล้ว หลงทางในถ้ำใต้ดิน นั่นมันจบเห่จริงๆ แล้ว
ในตอนที่ฟางผิงกระอักเลือด ทั้งกำลังร้อนใจเรื่องหลงทาง ท้องฟ้าที่เพิ่งสว่างเมื่อครู่ จู่ๆ ก็มืดลงในชั่วพริบตา
กลางคืนแล้ว!
พอความมืดมาเยือน ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสามคนข้างหลังดีใจขึ้นมาทันที เจ้าหนุ่มที่ลื่นเป็นปลาไหลข้างหน้าถึงคราวตายแล้วสินะ
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางสามารถมองทะลุความมืด ตอนกลางคืนสามารถเห็นอย่างชัดเจน
แต่ผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสาม แม้จะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุด ก็มองเห็นอย่างเลือนรางเท่านั้น
เมื่อตกกลางคืน การมองเห็นของอีกฝ่ายจะสู้พวกเขาไม่ได้ จะตายคงไม่แปลก
—
“มืดแล้ว”
ฟางผิงใช้ปราณอย่างหนักอีกครั้ง วิ่งพรึบหายไปอย่างไว ทิ้งพวกนั้นไว้ข้างหลัง วิ่งออกมาไกลอีกระยะหนึ่งจนเกือบจะชนเข้ากับต้นไม้ เขาหาต้นไม้ต้นใหญ่ ก่อนจะซ่อนตัวอยู่ที่นั่น
“กลางคืนในถ้ำใต้ดินมืดเกินไป ทั้งยังมาเร็วอีกด้วย”
กลางวันและกลางคืนของถ้ำใต้ดิน แบ่งแยกอย่างชัดเจน
ไม่มียามโพล้เพล้ ไม่มีดวงอาทิตย์ขึ้นลง
ดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ที่อยู่บนหัว เหมือนจู่ๆ ก็หมุนเปลี่ยนทิศทาง จากกลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืน นี่คืออาทิตย์ขึ้นและลงของถ้ำใต้ดิน จบลงในเวลาชั่วพริบตาอย่างแท้จริง
ฟื้นฟูปราณเล็กน้อย ฟางผิงลูบแผ่นหลัง ยังดีที่สวมเกราะหนังขั้นสี่ ประกายดาบไม่ได้ทะลวงเข้ามาถึงข้างใน แต่ฟางผิงรู้ว่าหลังถูกประกายดาบจนเหวอะหวะอยู่บ้าง แนบเข้าไปกับชุดด้านในแล้ว
“พวกเขาคงจะคิดว่าการมองเห็นของฉันเป็นอุปสรรค ต้องลงมือตอนกลางคืนแน่”
ฟางผิงครุ่นคิดในใจอีกครั้ง “หลักๆ ฉันไม่ได้พึ่งการมองเห็น แต่เป็นการสัมผัสอนุภาคพลังงาน กลางวันยังไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ มีดวงอาทิตย์อยู่ อนุภาคพลังงานลอยกระจัดกระจายอยู่ทุกหนทุกแห่ง ตอนกลางคืนไม่มีดวงอาทิตย์แล้ว ฉันจะสามารถสัมผัสได้ชัดเจนมากกว่า เหมือนเมื่อวานที่ปรมาจารย์เหินในอากาศ ฉันยังรับรู้ได้เหมือนกัน อยู่ในถ้ำพลังจิตใจโลดแล่นยิ่งกว่า หากพวกเขาคิดว่าฉันมองไม่เห็นจะถือโอกาสจู่โจมฉัน…งั้นรอดูเถอะ!”
ฟางผิงหรี่ตา บางทีนี่อาจเป็นโอกาสของตัวเอง ในความมืดผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่อาจได้รับผลกระทบเช่นกัน มองเห็นคนไม่ได้มีประโยชน์กว่าการมองเห็นความผันผวนของอนุภาคพลังงานเสมอไป
“หากฉันสังหารขั้นสี่สามคนได้ ยังพูดว่าฉันไร้ประโยชน์ ฉันจะฟันพวกเขาตายให้หมดซะ!”
ฟางผิงลอบด่าออกมา ก่อนจะนึกถึงหัวสิงโตที่ทิ้งตัวเองไว้…เขาอาจจะมาผิดทางเอง…แต่ว่าก็เป็นความรับผิดชอบของหัวสิงโตอยู่ดี
“ทิ้งฉันให้วิ่งมาถึงที่นี่ บัญชีนี้จะจดจำไว้”
ฟางผิงพึมพำ ฟื้นฟูปราณและพลังจิตใจให้เต็มอีกครั้ง
“เหลือแค่เจ็ดสิบแปดล้านแล้ว”
ฟางผิงมองค่าทรัพย์สิน ปวดใจอยู่บ้าง แค่ช่วงเวลาสั้นๆ สิ้นเปลืองไปถึงสิบล้าน
ต้องเอาสินสงครามมาเป็นของตัวเองให้ได้ ไม่งั้นระบบคงไม่คำนวณค่าทรัพย์สินให้เขา เป็นแบบนี้ต่อไป หากเขาถูกไล่ฆ่าอยู่ตลอด ไม่ใช่หมายความว่าค่าทรัพย์สินจะไม่อาจเพิ่มขึ้นได้เหรอ?
“นี่เป็นการย้ำเตือนว่าฉันสามารถตายได้ทุกเมื่อ แม้แต่ของอาจเอาไปไม่ได้อย่างนั้นสินะ?”
ไม่นึกถึงเรื่องพวกนี้อีก ฟางผิงกลั้นลมหายใจ รักษาความเงียบสงบ
ป่าทางนี้ตกอยู่ในความเงียบ แต่ไกลออกไปด้านนอกป่า กลับมีเสียงดังกึกก้องไม่ขาดสาย ยอดฝีมือกำลังประมือกัน
ฟางผิงไม่รู้ว่าห่างจากเขาออกไปทางซ้ายสามสิบกิโลเมตร ตอนนี้มียอดฝีมือระดับสูงมารวมตัวกัน กำลังต่อสู้ชุลมุนวุ่นวาย
มีจุดหนึ่งที่ถังเฟิงพูดถูก ในถ้ำใต้ดินวิธีที่ดีที่สุดคือการพึ่งตัวเอง อาศัยการปกป้องจากปรมาจารย์หรือคนอื่นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
คนพวกนี้อาจจะเจอกับยอดฝีมือหรือเจอกับสงครามขนาดใหญ่ อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
—
พักอยู่ครึ่งชั่วโมง ฟางผิงไม่ได้ซ่อนตัวต่อ
“ไม่อาจปล่อยให้ผู้ฝึกยุทธ์ถือดาบคนนั้นฟื้นฟูพลัง อีกอย่างหินฝึกวิชานั้นเป็นสินสงครามของฉัน!”
นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงจึงกระโดดลงจากต้นไม้ ตั้งใจเหยียบบนกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ในความมืดจึงเกิดเสียงกรอบแกรบออกมา
เวลานี้ฟางผิงฉีกผ้าจากเสื้อของตัวเองหลายชิ้น โยนไปสามทิศทางด้านหลังต้นไม้ แต่ตัวเขากลับไล่ตามไปในทิศที่อนุภาคพลังงานเคลื่อนไหว
เมื่ออยู่ห่างจากที่อนุภาคพลังงานเคลื่อนไหวประมาณห้าสิบเมตร ฟางผิงก็กระโดดขึ้นบนยอดต้นไม้เบาๆ ไม่ส่งเสียงเคลื่อนไหวอะไรอีก
ไม่นานผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสามคน ก็วิ่งผ่านเขาไปอย่างรวดเร็ว รอจนไปถึงต้นไม้ที่ฟางผิงอยู่ก่อนหน้านี้ พวกเขามองเห็นเศษผ้าอย่างชัดเจน กลับไม่ได้ร้อนใจไล่ตามไป ผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือดาบกระโดดขึ้นกลางอากาศ ฟันไปยังยอดต้นไม้ที่ฟางผิงอยู่เมื่อสักครู่
รอจนผู้ฝึกยุทธ์ถือดาบคนนั้นกระโดดลงมา ส่ายหัวเล็กน้อย การกระทำนี้ฟางผิง ‘มองเห็น’ เช่นกัน ไม่ได้มองเห็นคน ตอนนี้เขาไม่สามารถเห็นคนที่อยู่ห่างออกไปกว่าสิบเมตร
เขาเห็นแค่อนุภาคพลังงานของหัวหนึ่งคนในนั้นสั่นไหว
“น่าสนใจ…เมื่อก่อนยังไม่รู้ถึงประโยชน์แบบนี้…”
ฟางผิงคิดว่าน่าสนใจไม่น้อย ทั้งการกระจัดกระจายของอนุภาคพลังงานร่างกายมนุษย์มีข้อแตกต่างเช่นกัน
ส่วนหัวจะมีน้อยมาก แขนและขาเยอะที่สุด แกนกลางร่างกายก็เยอะเหมือนกัน…
“รังสีเอกซ์อย่างนั้นเหรอ?”
ฟางผิงใช้พลังจิตใจรับรู้ ทำการเปรียบเทียบออกมา เหมือนกันจริงๆ
หาฟางผิงบนต้นไม้ไม่เจอ ทั้งสามคนจึงปรึกษากันยกใหญ่ ก่อนจะค้นหาต้นไม้รอบๆ พวกนี้อีกครั้ง แต่ยังคงไม่เจอฟางผิง
พวกเขาค้นหาระยะภายในสิบเมตร
พวกเขาคิดว่า หากฟางผิงซ่อนตัวจริงๆ น่าจะซ่อนตัวในระยะที่มองพวกเขาได้ ไม่ใช่ซ่อนสถานที่ลับตาพวกเขา
หาฟางผิงไม่เจอ ทั้งสามคนหารือกันอีกครั้ง สองคนในนั้นแยกตัวออกไป ตามไปยังทิศทางที่เศษผ้าหล่น ส่วนอีกคนกลับเคลื่อนไหวเล็กน้อย กระโดดขึ้นบนอากาศไปอยู่บนต้นไม้ที่ฟางผิงเพิ่งออกมาเมื่อสักครู่ เห็นได้ชัดว่าผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำพวกนี้ก็รู้จักหลักการเฝ้าต้นไม้รอกระต่าย[1]เหมือนกัน
“คนที่รั้งตัวอยู่คือผู้ฝึกยุทธ์ที่ถือดาบ?”
ฟางผิงดีใจอยู่บ้าง สาเหตุที่คิดแบบนี้เพราะอนุภาคพลังงานของอีกฝ่ายเจือจางกว่าสองคนที่เหลือ เห็นได้ชัดว่าสิ้นเปลืองไปกับตอนกลางวันเยอะ อีกฝ่ายไม่ได้เติมเต็มปราณของตัวเอง
รอผ่านไปประมาณสองนาที ฟางผิงไม่ได้รีบจัดการคนๆ นี้ แต่อ้อมไปยังอีกด้าน พอสัมผัสได้ว่าอนุภาคพลังงานของอีกฝ่ายเคลื่อนไปข้างหน้าจริงๆ ฟางผิงก็ไล่ตามไปยังทิศทางของคนที่สอง
——————
[1]เฝ้าต้นไม้รอกระต่าย เปรียบเปรยถึงคนที่นั่งรอผลประโยชน์โดยไม่คิดจะลงแรง