ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 246-2 ระบบอัปเกรด (2)
ตอนที่ 246 ระบบอัปเกรด (2)
“ฆ่าขั้นสามหนึ่งคน ขั้นสี่หกคน ขั้นห้าสองคน…อันที่จริงถือว่าได้รางวัลน้อยไปอยู่บ้าง”
ฟางผิงส่ายหัว ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางมากขนาดนี้ มีแค่อาวุธที่พกติดกาย ไม่คุ้มค่าเลยจริงๆ
ผลการรบแบบนี้ ปกติคนที่ทำได้จะอยู่ในขั้นหกเท่านั้น
แต่เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกปรากฏตัว ส่วนมากก็จะเผชิญหน้ากับขั้นหกด้วยกัน
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกต้องเสี่ยงอันตราย รวมทั้งอาศัยดวง บางทีอาจจะทำถึงขั้นนี้ได้
ผลปรากฏว่ารวบรวมอาวุธออกมา หักค่าที่สิ้นเปลืองกับพวกเขาไป…ส่วนที่เหลืออยู่ได้แค่เล็กน้อยเท่านั้น
“ฉันฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ไปเยอะขนาดนี้…ตัวเองยังแทบไม่กล้าเชื่อด้วยซ้ำ!”
ฟางผิงสั่นไหวในใจ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามฆ่าขั้นสี่ ทุกคนเคยเห็นอยู่แล้ว แต่ขั้นสามฆ่าขั้นห้า?
เคยเห็นอย่างนั้นเหรอ?
ฉินเฟิ่งชิงหนีรอดจากขั้นห้าได้ ทั้งยังถูกบันทึกในสิบอันดับแรกของมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ เขาฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า ทั้งยังตั้งสองคน ขึ้นไปเป็นอันดับหนึ่งคงไม่ใช่เรื่องยากล่ะมั้ง?
“ครั้งนี้ฉันทำได้เยี่ยมยอดจริงๆ น่าจะสร้างความตกใจให้ทั้งเมืองความหวังได้แล้ว!”
“ไม่สิ สร้างความตกตะลึงให้คนทั้งโลกมากกว่า ขั้นสามฆ่าขั้นห้า ฆ่าสองคนในครั้งเดียว!”
ฟางผิงดีใจอยู่ยกใหญ่ เวลานี้ตาเป็นประกายขึ้นมา ระบบอัปเกรดสำเร็จแล้ว
—
ทรัพย์สิน : 102,000,000
ปราณ : 999 แคล (999 แคล+)
จิตใจ : 539 เฮิรตซ์ (539 เฮิรตซ์+)
หลอมกระดูก : 177 ชิ้น (90%+) , 29 ชิ้น (30%+)
มองผ่านๆ เหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
แต่ฟางผิงกลับตาเป็นประกาย!
เครื่องหมายบวกนั่นคืออะไร
“ในที่สุดก็มาแล้ว!”
“ไขกระดูกเหมือนปรอท!”
“ไม่สิ กะโหลกก็เพิ่มการหลอมได้อย่างนั้นเหรอ?”
“ปราณและพลังจิตใจก็เพิ่มได้ แต่ก่อนหน้านี้ทำได้เหมือนกัน ตอนนี้แค่มีเครื่องหมายปรากฏขึ้นมา!”
“หลอมกะโหลก หลอมไขกระดูก พลังจิตใจแตะถึงเป้า!”
ฟางผิงตระหนักถึงคำหนึ่งได้ทันที…ปรมาจารย์!
ตอนที่เขาทำทั้งสามอย่างนี้ได้ ไม่ใช่ว่าจะก้าวเข้าสู่ระดับปรมาจารย์แล้วเหรอ?
“ไม่สิ…”
จู่ๆ ฟางผิงก็ขมวดคิ้ว!
“นึกไม่ถึงว่าระบบจะไม่มีการหลอมอวัยวะภายใน…งั้นระดับกลางฉันจะทำยังไงล่ะ?”
ไม่สามารถเร่งความเร็วในการหลอมอวัยวะภายใน นั่นหมายความว่าในระดับกลางเขาทำได้แค่ทนฝึกวิชา?
ทั้งการอัปเกรดครั้งหน้าบางทีอาจจะต้องให้ค่าทรัพย์สินแตะถึงหนึ่งพันล้าน เขาจะไปหาเงินขนาดนั้นมาจากไหนกัน
“ยุ่งแล้ว”
ฟางผิงตระหนักได้ทันที หากตัวเองก้าวเข้าสู่ขั้นสี่ บางทีอาจต้องเผชิญหน้ากับปัญหา
“อีกอย่างหลอมถึงไขกระดูก ราคาคงไม่ใช่ถูกๆ?”
ฟางผิงลองเพ่งสมาธิในใจ
ครู่ต่อมาตัวเลขก็มีการเปลี่ยนแปลง
ทรัพย์สิน : 101,900,000
ปราณ : 999 แคล (999 แคล+)
จิตใจ : 539 เฮิรตซ์ (539 เฮิรตซ์+)
หลอมกระดูก : 1 ชิ้น (91%+) , 176 ชิ้น (90%+) , 29 ชิ้น (30%+)
“ว่าแล้วคงไม่ใช่ถูกๆ!”
กระดูกหนึ่งชิ้น หลอมเพิ่มเข้าไปหนึ่งเปอร์เซ็นต์ สิ้นเปลืองถึงหนึ่งแสน
นี่หมายความว่ากระดูกหนึ่งชิ้น หากจะหลอมทั้งหมดต้องใช้ค่าทรัพย์สินหนึ่งล้าน กระดูกหนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดชิ้น…หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเจ็ดล้าน!
“ต้องใช้ค่าทรัพย์สินเกือบสองร้อยล้าน กระดูกแขนขาและกระดูกแกนกลางถึงจะสามารถแปรสภาพเป็นหยก…กะโหลกคงไม่ต้องพูดถึง ไม่ใช่ราคาถูกๆ อยู่แล้ว หลอมไม่ไหวหรอก”
ฟางผิงคำนวณเล็กน้อย พึมพำขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ขอแค่ไขกระดูกแปรสภาพเป็นหยกบางส่วนก็ยังดี อย่างกระดูกแขนขามีหนึ่งร้อยยี่สิบหกชิ้น แปรสภาพเป็นหยกทั้งหมดก็เพียงพอให้เหตุผลกับทุกคนได้แล้ว”
“งั้นก็เป็นหนึ่งร้อยยี่สิบหกล้าน ไม่เยอะขนาดนั้นแล้ว”
ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ ยังดีที่ไม่ใช่หลายร้อยล้าน ไม่งั้นชั่วชีวิตนี้ของเขาคงไม่มีหวังแล้ว
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าขั้นสาม รวมถึงระดับกลาง หากต้องให้พวกเขาจ่ายเงินสองร้อยล้านเพื่อให้ไขกระดูกแปรสภาพเป็นหยกก่อน เกรงว่าคงต้องพยายามตาลีตาเหลือกแล้ว
ต่ำกว่าสองร้อยล้านไม่นับว่าแพงมาก
ระบบอัปเกรดสำเร็จแล้ว ฟางผิงห่ออาวุธทั้งหมดเข้าด้วยกัน มองไปทางเจี่ยวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ราชาเจี่ยว ฉันจะไปจับคนมาให้อีก พักผ่อนดีๆ เถอะ”
ทิ้งคำพูดนี้ไว้ ก่อนฟางผิงจะสาวเท้าเดิน
ปรากฏว่าจู่ๆ เจี่ยวก็ลืมตาขึ้น มองไปยังอาวุธในมือฟางผิง
ฟางผิงสั่นสะท้านในใจ หรือจะรู้ว่าเขากำลังหนี?
“ราชาเจี่ยว ฉันต้องไปจัดการอาวุธพวกนี้สักหน่อย ไม่งั้นปราณคงไม่พอใช้…”
ระหว่างที่ฟางผิงพูดก็รวบรวมปราณ ก่อนจะสลายไปอย่างรวดเร็ว ทำท่าชี้ไปที่อาวุธ ในมือปรากฏพลังปราณขึ้นอีกครั้ง ลุกโชนกว่าก่อนหน้านี้
เจี่ยวเหมือนกำลังครุ่นคิด ทั้งคล้ายเข้าใจความหมายของเขาเช่นกัน
ผ่านไปสักพัก เจี่ยวก็หลับตาลง
ฟางผิงแทบไม่กล้าหายใจเสียงดัง รีบสาวเท้าออกไปทันที
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ไม่ได้เดินไปทางก่อนหน้านี้แล้ว ทางนั้นมีกองกำลังเคลื่อนไหวอยู่ เขาไปทางนั้นไม่ได้ หากจำไม่ผิด ฝั่งหนึ่งของป่าราชันเจี่ยวเป็นทางผ่านทะลุเมืองความหวังและเมืองเทียนเหมิน อีกฝั่งกลับอยู่ใกล้เมืองตงขุย
เมืองตงขุยอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองความหวัง เป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่งเช่นกัน
แต่เมืองแห่งนี้ไม่ได้ขัดแย้งกับมนุษยชาติมากมาย ส่วนมากมนุษย์จะเจอผู้ฝึกยุทธ์อิสระบางส่วนมาจากเมืองตงขุย
แต่กองกำลังทหารแทบไม่เคยเจอมาก่อน
ฟางผิงครุ่นคิด ตัวเองต้องระวังหน่อย อ้อมจากทางนี้ไปอาจไม่ถูกเพ่งเล็งเสมอไป ยังไงเมืองเทียนเหมินก็อันตรายกว่า มีแต่กองกำลังทหาร
“แค่ต้องวิ่งอ้อมไม่กี่ร้อยลี้เท่านั้น…”
ฟางผิงขบคิดในใจ สำหรับเขาวิ่งอย่างสุดกำลังก็ใช้เวลาไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
—
ผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วโมง ฟางผิงก็เข้าใกล้เขตรอยต่อ
ประตูเข้าออกของเมืองตงขุยอยู่ทางนี้!
ฟางผิงสำรวจอย่างระมัดระวัง ไม่เห็นว่าข้างนอกมีคน ชั่วขณะนั้นจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก!
เดินออกมาจากป่า ฟางผิงลิงโลดในใจ ครู่ต่อมากลับใบหน้าเปลี่ยนสี
“สนามบดเนื้อมีแต่เลือด!”
ฟางผิงตะลึงไปเล็กน้อย ตกลงฉันอยู่ที่ไหนกันเนี่ย?
เมืองตงขุยก็ทำสงครามกับมนุษย์เหมือนกัน?
แต่ว่า…แต่ว่าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ทั้งไม่ควรเร็วถึงขั้นที่เปลี่ยนสนามบดเนื้อจนกลายเป็นสีเลือดแบบนี้หรือเปล่า?
ครู่ต่อมาฟางผิงก็รีบควักป้ายสถานะของผู้ฝึกยุทธ์พวกนั้นออกมา ก่อนจะพลิกดูด้านหลัง ส่วนมากล้วนเป็นสัญลักษณ์ของเมืองทั้งนั้น
“ดอกทานตะวัน!”
ในมือเขามีป้ายหนึ่งเป็นของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า แต่ด้านหลังกลับสลักพืชที่คล้ายดอกทานตะวัน นี่เป็นที่มาของชื่อเมืองตงขุย
“งั้น…ทางที่ฉันเดินไปก่อนหน้านี้คือเมืองตงขุยสินะ?”
จู่ๆ ฟางผิงก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดขึ้นมา!
ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าเมืองเทียนเหมินนั้นว่างจัด อ้อมทัพมาทางนั้น ตอนนี้เข้าใจแล้ว…นั่นเป็นกองทัพของเมืองตงขุย
อีกฝ่ายก็จะทำสงครามเช่นกัน!
“ทั้งสองเมืองร่วมมือกัน?”
ฟางผิงหน้าเปลี่ยนสีทันที!
มนุษยชาติต้านเมืองเทียนหนานแห่งเดียวก็แทบไม่ไหวแล้ว อย่าพูดถึงสองเมืองร่วมมือกันเลย
“ฉันคิดเป็นตุเป็นตะไปเอง เส้นทางที่เดินไปก่อนหน้านี้คือทิศของเมืองตงขุย…อีกฝ่ายเริ่มเคลื่อนพลตั้งแต่เมื่อวาน กองทัพขนาดใหญ่ ไม่อาจเคลื่อนไหวเร็วเกินไป ประตูเมืองตงขุยไม่ได้ทะลุผ่านป่าราชันเจี่ยวโดยตรง ถึงเมืองความหวังน่าจะเป็นระยะทางกว่าห้าร้อยลี้…แม้จะเป็นทหารมีฝีมือ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสามวัน ยังต้องคำนึงถึงพวกทหารธรรมดาด้วย วันนี้วันที่สองแล้ว…”
นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงยังจะหยุดพักนานอีกได้ยังไง ปัญหาใหญ่แล้ว!
เขาต้องรีบกลับไปรายงานให้เร็วที่สุด!
แต่วิ่งมาไกลระยะหนึ่ง…ฟางผิงก็หยุดฝีเท้าอย่างไม่มั่นใจอยู่บ้าง
“ทิศทางที่ฉันคิดว่าเป็นทิศของเมืองเทียนหนาน ปรากฏว่ากลับเป็นเมืองตงขุย งั้นทิศทางที่ฉันคิดว่าเป็นเมืองความหวัง…จะเป็นเมืองเทียนหนานหรือเปล่า?”
ฟางผิงสีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก เริ่มสัมผัสการกระจัดกระจายของอนุภาคพลังงานอย่างละเอียด
ด้านนอกป่าราชันเจี่ยว ทิศที่อนุภาคพลังงานอ่อนที่สุดคือทิศใต้ นี่หากยังไม่ถูกอีก ฟางผิงจะเอาหัวโขกกับกำแพงเมืองเทียนเหมินให้ตาย!
“ทางนี้เหมือนจะอ่อนอยู่บ้าง…”
ฟางผิงสำรวจตลอดระยะทางเกือบพันเมตรถึงค่อยสรุปออกมาได้ ก่อนจะวิ่งไปยังทิศทางที่มีอนุภาคพลังงานอ่อน ครั้งนี้ไม่ถึงเมืองความหวัง เขาก็อย่าหวังจะได้กลับไปอีกเลย
————————