ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 258 ทำถึงขั้นไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน (1)
ตอนที่ 258 ทำถึงขั้นไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน (1)
ดื่มเหล้าอยู่พักใหญ่ จู่ๆ ตาเฒ่าหลี่ก็เอ่ยว่า “ขั้นสามสูงสุดแล้ว?”
ฟางผิงส่ายหัว ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว “เหลืออีกนิดเดียว ร่างกายและปราณตามทันแล้ว ดาบคลั่งโลหิตก็ฟันได้ห้าดาบติดต่อกันแล้ว ตอนนี้รู้สึกว่าขาดไปอีกนิดเดียว ยังไม่สมบูรณ์เท่าไหร่”
ตาเฒ่าหลี่เงียบไปพักหนึ่ง “ไปฝึกวิชาหมัดจินกังที่ห้องฝึกวิชาสิ รอพลังหมัดกระจายทั่วร่างก็ขั้นสามสูงสุดแล้ว”
ระหว่างที่พูด ตาเฒ่าหลี่ยังเอ่ยต่อ “ขั้นสามสูงสุดอยากทะลวงขั้นสี่ อย่าได้รีบร้อนเกินไป ใช้เวลาขัดเกลาให้มากหน่อย อีกอย่างถือโอกาสช่วงปิดเทอม ไปแลกเปลี่ยนความรู้กับผู้ฝึกยุทธ์ในแต่ละที่สักหน่อย”
ฟางผิงนิ่งไปเล็กน้อย “ทำไมเหรอครับ?”
“ผู้ฝึกยุทธ์ไม่ว่าจะระดับล่างทะลวงระดับกลางหรือระดับกลางทะลวงระดับสูงล้วนต้องการปราณ ร่างกายและจิตใจที่รวมเป็นหนึ่ง เพื่อจะได้ไร้ซึ่งคู่ต่อสู้ ฉันหมายถึงการเป็นยอดฝีมือภายในนั้น! อาจารย์ของเธอเรียกตัวเองว่ายุทธ์ไร้พ่าย เพราะเรื่องนี้เช่นกัน เธออยากแสดงอำนาจ ทะลวงเป็นปรมาจารย์ในครั้งเดียว แต่เธอยังขาดแคลนอีกเล็กน้อย ในขั้นหกสูงสุดไม่สามารถแสดงฝีมือจนถึงขั้นไร้คู่ต่อสู้ได้! ฟางผิงเธออยากกลายเป็นผู้ที่ไร้คู่ต่อสู้ในขั้นสามสูงสุด กลายเป็นยอดฝีมือในขั้นสี่ งั้นก็ไปท้าประลอง ฉันรู้ว่าเธอสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ในถ้ำได้ ส่วนขั้นห้า เคยได้ยินมาเหมือนกัน ฝีมือเธอไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่พวกถ้ำขั้นสี่…”
ตาเฒ่าหลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย “ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำขั้นสี่ อันที่จริงไม่ได้อ่อนแอ แต่ว่าอย่าเอาผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำขั้นสี่ไปเทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ของมนุษย์”
“ทำไมเหรอครับ?”
“เพราะพวกเรามีแรงกดดัน”
เหตุผลง่ายๆ นี่แหละ ตาเฒ่าหลี่ถอนหายใจ “ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางของพวกเราต่างเคยฆ่าพวกถ้ำใต้ดินมาก่อน มีส่วนน้อยหรือพูดได้ว่าแทบไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนไหนสามารถเลื่อนขั้นได้อย่างสบายๆ พวกถ้ำขั้นสี่ไม่เหมือนกัน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่บางคนของพวกเขา ขอแค่มีหินพลังงานเพียงพอก็ทำได้แล้ว ดังนั้นยอดฝีมือระดับกลางอย่างแท้จริง ในมือต่างเปื้อนเลือดของพวกถ้ำระดับเดียวกันไม่รู้ตั้งเท่าไหร่? ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำมีเยอะกว่าพวกเรา พวกเราสามารถตั้งรับได้ ด้านหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้ร่วมมือกัน อีกด้านเพราะผู้ฝึกยุทธ์ของพวกเราแข็งแกร่งกว่าพวกเขา หรือเธอไม่รู้ถึงเรื่องนี้? ผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์แบ่งเป็นหลายประเภท ไม่เคยลงถ้ำ เคยเข้าถ้ำ ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำในระดับเดียวกัน ฆ่าศัตรูข้ามขั้น… หากเธออยากจะทะลวงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้น ก่อนขั้นสามทำไม่ได้ ตอนจะทะลวงขั้นสี่ ต้องสร้างความเชื่อที่ว่าตัวเองไร้คู่ต่อสู้ขึ้นมาสักหน่อย”
ฟางผิงคล้ายกับคิดอะไรอยู่ นึกถึงหวังจินหยาง
“ตอนแรกหวังจินหยางถือดาบไปประลองทางเหนือ เพราะเรื่องนี้เหมือนกัน?”
ตาเฒ่าหลี่ส่ายหัว “ทั้งใช่และไม่ใช่ เขาไปท้าประลองทางเหนือ มีเหตุผลค่อนข้างเยอะ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแข่งขันแลกเปลี่ยนของผู้ฝึกยุทธ์ในเวลานั้นด้วยเช่นกัน ทั้งอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาอยากครองอำนาจในมหาวิทยาลัยหนานเจียง ดังนั้นคู่ต่อสู้ที่เขาท้าประลอง จะว่ายังไงดีล่ะ แม้จะมียอดฝีมือขั้นสาม แต่อ่อนแอกว่าเขาทั้งหมด ความเชื่อที่ว่าไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันของเขาจึงไม่เป็นผลเท่าไหร่ เพราะการท้าประลองของเขามีเป้าหมายไม่แน่ชัด ถ้าเขาท้าประลองโดยที่ไม่หลบจากศัตรูที่แข็งแกร่ง ยอดฝีมือในขั้นสามสูงสุดมีอยู่แล้ว การจัดอันดับในขั้นสามยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ แต่รอพรุ่งนี้น่าจะเปลี่ยนใหม่แล้ว แม้ว่าเธอจะฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ในถ้ำไปไม่น้อย ถึงกระทั่งมีข่าวลือเรื่องขั้นห้า แต่เธออาจไม่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่หนึ่งเสมอไป เธอไปท้าประลองสิบอันดับแรกได้ทั้งหมด อย่าเลือกแต่พวกที่อ่อนแอ อีกอย่าง…จะได้สร้างบารมีให้กับเซี่ยงไฮ้ด้วย!”
0
ตาเฒ่าหลี่ส่ายหัว “ทั้งใช่และไม่ใช่ เขาไปท้าประลองทางเหนือ มีเหตุผลค่อนข้างเยอะ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแข่งขันแลกเปลี่ยนของผู้ฝึกยุทธ์ในเวลานั้นด้วยเช่นกัน ทั้งอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาอยากครองอำนาจในมหาวิทยาลัยหนานเจียง ดังนั้นคู่ต่อสู้ที่เขาท้าประลอง จะว่ายังไงดีล่ะ แม้จะมียอดฝีมือขั้นสาม แต่อ่อนแอกว่าเขาทั้งหมด ความเชื่อที่ว่าไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันของเขาจึงไม่เป็นผลเท่าไหร่ เพราะการท้าประลองของเขามีเป้าหมายไม่แน่ชัด ถ้าเขาท้าประลองโดยที่ไม่หลบจากศัตรูที่แข็งแกร่ง ยอดฝีมือในขั้นสามสูงสุดมีอยู่แล้ว การจัดอันดับในขั้นสามยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ แต่รอพรุ่งนี้น่าจะเปลี่ยนใหม่แล้ว แม้ว่าเธอจะฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ในถ้ำไปไม่น้อย ถึงกระทั่งมีข่าวลือเรื่องขั้นห้า แต่เธออาจไม่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่หนึ่งเสมอไป เธอไปท้าประลองสิบอันดับแรกได้ทั้งหมด อย่าเลือกแต่พวกที่อ่อนแอ อีกอย่าง…จะได้สร้างบารมีให้กับเซี่ยงไฮ้ด้วย!”
จู่ๆ แววตาของตาเฒ่าหลี่ก็คมกริบขึ้นมา “อธิการตายในสนามรบ เซี่ยงไฮ้ตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากแล้ว โดยเฉพาะตอนนี้พวกอธิการอู๋และคณบดีหวงต่างไม่อยู่ในมหาวิทยาลัย ผู้เฒ่าหลิวก็ไปหนานเจียง เซี่ยงไฮ้ไร้ซึ่งปรมาจารย์! แม้ทุกคนจะทำเพื่อต่อต้านพวกถ้ำใต้ดิน แต่ลองถามตัวเองดู จะไม่มีใครคิดเห็นแก่ตัวจริงๆ เหรอ? เธอมีเงินสิบล้าน เธอจะมอบให้ครอบครัวหรือคนนอก? แม้ว่าคนนอกพวกนั้น ต่อไปต้องลงไปทำศึกสุดท้ายกับศัตรูในถ้ำใต้ดินก็ตาม? ไม่อาจพูดได้ว่าใครถูกใครผิด ปรมาจารย์เจ็ดคนตายในสงคราม สิ่งที่พวกเราเสียใจที่สุดคือการตายของอธิการ ครอบครัว และเพื่อนพ้องของพวกเรา ลูกศิษย์ของปรมาจารย์คนอื่นก็คิดว่าเป็นปรมาจารย์ของพวกเขาเช่นกัน แต่ปรมาจารย์เจ็ดคนนี้ ไม่ได้ตายเพื่อมนุษยชาติงั้นเหรอ? ฉันพูดเรื่องพวกนี้ เธอน่าจะเข้าใจความหมายแล้ว?”
ฟางผิงพยักหน้า “ครอบครัวใหญ่และครอบครัวเล็กมีความแตกต่างกัน ผมสามารถสู้เพื่อมนุษยชาติ แต่ผมก็ต้องดูแลครอบครัวเหมือนกัน นี่เป็นสัญชาตญาณ หากเป็นผม คงทำเหมือนกัน ในสถานการณ์ที่ครอบครัวหรือคนนอกต้องตาย ผมต้องเลือกให้คนในครอบครัวมีชีวิตรอดอยู่แล้ว”
“ยังไม่นับว่าโง่!” ตาเฒ่าหลี่หัวเราะ “ดังนั้นตอนนี้ต้องมีคนนอกกำลังวางแผนกับเซี่ยงไฮ้อย่างแน่นอน รวมถึงช่วงชิงโควต้านักเรียน การจัดสรรทรัพยากร…”
“แน่นอนว่าทุกคนคงไม่ทำอย่างโจ่งแจ้ง อธิการเพิ่งจะตายในสงคราม พวกเขาคงไม่ถึงกระทั่งทำเรื่องน่าไม่อายแบบนั้นหรอก”
“แต่ว่าอาจารย์ของเซี่ยงไฮ้ตายเป็นจำนวนมาก นักศึกษาก็ตายในสนามรบ พวกปีสี่จบการศึกษาแล้ว ตอนนี้ถูกจัดได้ว่าอยู่ในช่วงที่ความสามารถตกต่ำที่สุด ฝีมือของเธอ แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางนักศึกษาทั้งหมดในมหาวิทยาลัยก็ยังถือว่าโดดเด่น เธอถือโอกาสสร้างความเกรงขามให้กับมหาวิทยาลัย แสดงความสามารถของนักศึกษาที่นี่ เป็นเรื่องดีต่อเซี่ยงไฮ้เหมือนกัน”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฆ่าพวกเขา?”
ตาเฒ่าหลี่ถลึงตาใส่ เอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “ใครให้เธอฆ่าพวกเขากัน? แนวหน้าของขั้นสามสูงสุดต่างเป็นความหวังของมนุษยชาติ ความหมายของฉันคือเล่นใหญ่สักหน่อย อย่าแอบไปประลองอย่างเงียบๆ อย่างเช่นลองเลียนแบบหวังจินหยางเพื่อนคนนั้นของเธอ ไปขวางหน้าประตูสักหน่อย บาดเจ็บเป็นเรื่องธรรมดา บาดเจ็บแต่ไม่ตาย ไม่ใช่ปัญหาใหญ่หรอก”
ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย “ผมคิดว่าขั้นสามสูงสุดไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของผมได้…”
ตาเฒ่าหลี่มองเขาอย่างเงียบๆ
“จริงๆ นะอาจารย์ ไขกระดูกผมเป็นปรอทแล้ว คุณสัมผัสไม่ได้หรือไง?”
ตาเฒ่าหลี่ยังคงเงียบ มองเขาต่อ
“อาจารย์ คุณมองผมแบบนี้ทำไม?”
“หากครั้งนี้ไปประลองจริงๆ อย่าใช้ความได้เปรียบเรื่องปราณของเธอเอาชนะ!”
ฟางผิงเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม “นี่…นี่ทำไมล่ะครับ…”
“โง่ ปราณของเธอไร้ขีดจำกัด เธอเอาแต่คิดว่าตัวเองพึ่งปราณในการเอาชนะ เธอเคยครุ่นคิดไหมว่าระดับเดียวกันขั้นเดียวกัน เธอสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้จริงๆ หรือเปล่า? แค่ตัวเองยังไม่มั่นใจ จะสร้างความเชื่อว่าไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันขึ้นมาได้ยังไง! รอวันไหนเธอกลายเป็นปรมาจารย์แล้ว ขอแค่พลังงานเพียงพอ ทุกคนต่างมีปราณอย่างไร้จำกัด ถึงกระทั่งไม่จำเป็นต้องสนใจปราณอีก แต่มองกันที่การควบคุมพลังงาน เธอคิดว่าตัวเองจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันได้จริงๆ หรือเปล่าล่ะ?”
ฟางผิงกะพริบตาปริบๆ เหมือนจะอย่างนั้นนะ!
เป็นปรมาจารย์แล้ว ปราณไม่ใช่วิธีที่ใช้ตัดสินแพ้ชนะอีกต่อไป งั้นฉันต้องทำยังไงล่ะ?
“ดังนั้นเธอต้องเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ อย่าเอาแต่พึ่งความได้เปรียบของปราณจนเกินไป ไปเอาชนะคู่ต่อสู้ซะ!”
“แต่ว่า…”
“แต่เธอไม่มั่นใจ!” ตาเฒ่าหลี่ตำหนิ “ปรมาจารย์ขั้นเก้าคนหนึ่ง อย่างผู้บัญชาการหลี่นั้นสามารถสู้กับศัตรูสามคนด้วยตัวคนเดียว หรือถึงกระทั่งนอกจากสามคนแล้ว ยังสังหารขั้นเก้าของอีกฝ่ายได้! ยอดฝีมือขั้นแปดคนหนึ่งสามารถต้านขั้นเก้าได้ หรือเธออยากจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเก้าที่ถูกผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแปดต้านทานได้ล่ะ? ไอ้หนู มองการณ์ไกลหน่อย เอาแต่พึ่งปราณ เป็นผลเสียต่อเธอ”
ฟางผิงถอนหายใจ ตาแก่พูดมีเหตุผล ไร้คำจะโต้แย้งจริงๆ
แม้อาจจะไม่กลายเป็นยอดฝีมือที่ไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกัน แต่คงไม่ถึงกับถูกคนตอบโต้ได้หรอกมั้ง?
หากมีวันนั้นจริงๆ ตัวเองกลายเป็นขั้นแปด ถูกขั้นเจ็ดเอาชนะ หรือขั้นเก้าที่สู้ขั้นแปดไม่ได้ แบบนั้นแม้จะอยู่ขั้นเก้าก็เพียงพอให้ขายหน้าคนแล้ว
“งั้นถ้า…”
————————–