ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 262 ดีแต่เปลือก (1)
ตอนที่ 262 ดีแต่เปลือก (1)
มณฑลเป่ยหู
ทะเลสาบอวิ๋นเมิ่ง
ตอนที่รถแล่นเข้ามาในเป่ยหู ฟางผิงก็พึมพำว่า “เลือกเป่ยหูเป็นด่านแรกเป็นตัวเลือกที่ถูกหรือเปล่านะ?”
ลูบดาบมังกรเขียวเสี้ยวจันทร์เบาๆ กวนอูก็ตายในสนามรบแห่งนี้เหมือนกัน
แต่ที่ที่กวนอูตาย ห่างจากโรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นหมิ่งไปอีกช่วงหนึ่ง
“ฉันไม่ใช่กวนอู ไม่เกี่ยวอะไรกันสักหน่อย มีคนใช้ดาบถมเถไป”
ฟางผิงถอนหายใจ มุ่งหน้าไปยังโรงเรียมเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่ง
แม้โรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่งจะไม่ได้มีชื่อเสียงภายนอกมากมาย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสามโรงเรียนเตรียมทหารหลัก หากเทียบกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ ย่อมอยู่ในตำแหน่งที่สูง เทียบได้กับสองมหาวิทยาลัยชื่อดัง
แน่นอนว่าเป็นแค่การเปรียบเทียบ แม้ว่ายอดฝีมือจากโรงเรียนเตรียมทหารจะมีเยอะ แต่เทียบกับระดับปรมาจารย์แล้ว ยังถือว่ามีน้อยกว่าสองมหาวิทยาลัยชื่อดัง
—
ลงจากรถแล้ว ฟางผิงไม่ได้รีบเอะอะโวยวายท้าประลอง
เดินมาถึงด้านนอกประตูใหญ่ของโรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นหมิ่ง เทียบกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้แล้ว โรงเรียนเตรียมทหารเล็กกว่าอยู่บ้าง ทั้งยังซอมซ่อมากกว่า
มีเพียงความรู้สึกน่ายำเกรงเล็กน้อย อันที่จริงรอบๆ โรงเรียนยังมีพวกทหารถือปืนยืนคุมอยู่ โรงเรียนเตรียมทหารมีดีตรงนี้แหละ ในสายตาของคนทั่วไป ดูน่าเกรงขามขึ้นมาหน่อย นี่ถ้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จัดผู้ฝึกยุทธ์มายืนอยู่หน้าประตูบ้าง คนทั่วไปคงแยกไม่ออกแล้ว
ฟางผิงสาวเท้าเดินไปยังจุดเฝ้ายาม มองสำรวจอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยปากว่า “สหาย เข้าไปเที่ยวข้างในได้หรือเปล่า?”
ทหารที่อยู่เวรไม่มีท่าทีลังเลแม้แต่น้อย “ไม่ใช่นักเรียนในโรงเรียนเตรียมทหาร ไม่อนุญาตให้เข้า ถ้ามาหาคนสามารถลงทะเบียนที่ป้อมยาม พวกเราจะช่วยเรียกคนให้”
“งั้นรบกวนช่วยผม…”
ฟางผิงครุ่นคิดเล็กน้อย จู่ๆ ก็เกาหัว ฉันมาหาคนแบบนี้เหมาะสมหรือเปล่านะ?
พอหาคนเจอแล้ว อีกฝ่ายออกมาก็พูดไปว่าฉันมาท้าประลองนาย?
ไม่มีสไตล์เอาซะเลย!
คิดดูแล้ว จู่ๆ ฟางผิงก็เอ่ยว่า “ช่างเถอะ ไว้ผมจะมาใหม่”
ฟางผิงเดินออกไป หยิบโทรศัพท์โทรหาหวังจินหยางไปพลาง
“พี่หวัง ผมกำลังมาท้าประลอง ควรต้องทำแบบไหนดีล่ะเนี่ย?”
หวังจินหยางที่อยู่ปลายสายนิ่งไปเล็กน้อย ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “นายดูเอาเองละกัน ถ้าอยากจะท้าประลองแบบเป็นขั้นเป็นตอน ก็ยึดตามกฎของโลกผู้ฝึกยุทธ์ เขียนสาสน์ท้าประลองให้กับโรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่ง รอการจัดการจากฝ่ายนั้น แต่วิธีนี้อาจต้องใช้เวลาหน่อย บางทีโรงเรียนเตรียมทหารอาจต้องติดต่อกับเซี่ยงไฮ้ก่อนถึงจะตัดสินใจออกมาได้ ทั้งเมื่อใคร่ครวญสถานการณ์แล้ว อาจจะปฏิเสธการประลองก็ได้ ถ้าไม่อยากรอ ก็ง่ายๆ นายถือดาบไปยืนอยู่หน้าประตูตะโกนว่า ‘โรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่งไม่มีใครกล้าท้าประลองเลยหรือไง’ พนันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าไม่นานต้องมีคนออกมาแน่ๆ”
ฟางผิงหัวเราะแห้งๆ “ป่าเถื่อนแบบนี้เลย?”
“ป่าเถื่อนแบบนี้แหละ ไม่งั้นอยู่ดีไม่ว่าดี ใครจะมารับการท้าประลองจากนาย? นายคิดจะทะลวงด่าน สั่งสมบารมี พวกเขาอาจไม่คิดแบบนั้นเสมอไป นายอยากมีชื่อไร้ศัตรูในขั้นสาม ผู้ฝึกยุทธ์ในโรงเรียนเตรียมทหารอาจไม่คิดแบบนั้น พวกเขาชอบถ่อมตัวมากกว่า ดังนั้นฉันคิดว่านายทำวิธีที่สองดีกว่า ทั้งง่ายและไม่สิ้นเปลืองเวลา พวกเขาไม่อาจทำแบบขอไปทีหรือลวกๆ กับนาย อยากลงมือหนักเท่าไหร่ก็หนักเท่านั้น นี่ถึงจะทำให้การท้าประลองเกิดประโยชน์สูงสุด ไม่งั้นถ้าจัดการประลองอย่างเป็นทางการ บางทีอาจไม่ลงมือจริงจังกับนาย เข้าใจหรือเปล่า?”
“อย่างนั้นเหรอ?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างครุ่นคิด “เข้าใจแล้ว”
ขอบคุณแล้วก็วางสายไป
หันกลับไปมองโรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่งแวบหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจ ช่างเถอะ บ้าระห่ำหน่อยแล้วกัน
หากยื่นเรื่องขออนุญาต ยังไม่รู้ต้องรออีกนานเท่าไหร่ ช่วงปิดเทอมเขายังวางแผนจะทำเรื่องมากมาย
ไม่แปลกใจที่ก่อนหน้านี้ตาเฒ่าหลี่บอกให้ขวางที่หน้าประตูเช่นกัน
ขวางหน้าประตูมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หรือโรงเรียนเตรียมทหาร นี่ถือเป็นการหยามเกียรติอย่างถึงที่สุด ยอดฝีมือของพวกเขาไม่กลัวการต่อสู้อยู่แล้ว แม้จะรู้สึกว่าไม่มีค่าให้ต่อสู้ ก็ไม่อาจหลบหลีก
“ดูท่าฉันจะเหมือนกับเหล่าหวัง หลังจากนี้คงมีแต่คนอยากประเคนหมัด”
“โรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่ง ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสามถูกจัดในอันดับที่สิบสี่ของระดับประเทศ ต่ำกว่าฉันห้าอันดับ แต่ฝีมือไม่อ่อนด้อยเช่นกัน เป้าหมายครั้งนี้ของฉันคือทะลวงขั้นสามสูงสุดก่อนแล้วค่อยสะสมชื่อเสียงในขั้นสี่…งั้นทางที่ดีอย่าใช้ดาบมังกรเขียวเสี้ยวจันทร์…”
ครุ่นคิดเรื่องนี้ก็เห็นว่าเย็นมากแล้ว ฟางผิงไม่คิดจะประลองในวันนี้
หาที่พักผ่อนสักคืน ปรับสภาพร่างกายจิตใจสักหน่อยแล้วค่อยมาใหม่
ไม่นานฟางผิงก็ขับรถจากไป
—
เช้าตรู่วันที่ 11 กรกฏาคม
หน้าประตูใหญ่โรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่ง
ฟางผิงถือดาบอย่างองอาจ ตะโกนเสียงดัง “มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ฟางผิงนักศึกษาปีหนึ่งมาท้าประลองขั้นสามของอวิ๋นเมิ่ง ไม่ปฏิเสธผู้ใด ขอทุกคนโปรดชี้แนะด้วย!”
“มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เซี่ยงไฮ้ ฟางผิงนักศึกษาปีหนึ่ง…”
เสียงนั้นดังก้องไปทั่วภายในโรงเรียนเตรียมทหารไม่หยุดหย่อน
—
ภายในโรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่ง
มีคนเอ่ยอย่างโมโหทันที “เห็นว่าอวิ๋นเมิ่งไร้คนมีความสามารถหรือไง!”
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
“ใช้โรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่งเป็นเป้าในการสร้างชื่อทุกปี มีคนมาท้าประลองทุกปี อัดไอ้บ้านี้ให้ตายไปเลย!”
“…”
เสียงตะโกนด้วยความโมโหดังอย่างยิ่ง ฟางผิงที่อยู่หน้าประตูจู่ๆ ก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีอยู่บ้าง
คลื่นโทสะนี้…จะขยายใหญ่เกินไปแล้ว!
มีคนมาท้าประลองที่นี่ทุกปี?
ตรึกตรองดูแล้วเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ใช่แค่ฟางผิงที่คิดทำอะไรแบบนี้
ครู่ต่อมาหน้าประตูโรงเรียนก็มีวัยรุ่นที่สวมเสื้อกั๊กทหารกว่าสิบคนมารวมตัวกัน มีทั้งหญิงและชาย
คนพวกนี้แววตาล้วนไม่เป็นมิตร หนึ่งในนั้นตะโกนว่า “ฟางผิง นายกล้าขวางประตูอวิ๋นเมิ่งของพวกเรา คิดว่าอวิ๋นเมิ่งของพวกเราไร้คนมีฝีมือหรือไง?”
ฟางผิงไม่คิดทำให้เรื่องวุ่นวายอีก เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ต่ำกว่าขั้นสามในอวิ๋นเมิ่งล้วนไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ จะสู้หรือจะหลีก อวิ๋นเมิ่งตัดสินใจเองละกัน!”
“สารเลว ฉันจะสู้กับนายเอง!”
ครู่ต่อมา ชายหนุ่มสวมชุดทหารร่างสูงใหญ่ก็เดินออกมาจากโรงเรียน ปราณพลุกพล่าน ร่างกายเต็มไปด้วยไอสังหาร ใบหน้าเผยความโมโห “โรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่ง นักเรียนปีสาม เหยาจ่างอวี่!”
ฟางผิงมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “นายอ่อนแอเกินไป มั่นใจว่าจะสู้?”
“อย่าพล่ามให้มากนัก!”
สิ้นเสียงของเหยาจ่างอวี่ เมื่อรองเท้าบูททหารแตะถึงพื้น เสี้ยวนาทีต่อมาก็ประสานสองหมัดพุ่งไปหาศีรษะของฟางผิงทันที!
ฟางผิงถือดาบมือขวา กลับยังคงยืนอยู่ที่เดิม ตั้งการ์ดมือซ้าย คำรามเสียงดัง ก่อนจะซัดหมัดซ้ายออกไป!
‘ปัง!’
เสียงระเบิดดังลั่น เหยาจ่างอวี่ที่เพิ่งพุ่งเข้ามาถูกหมัดซัดจนกระเด็นลอยออกไปตกที่พื้น!
“ต่ำกว่าขั้นสามตอนปลายฉันเอาชนะได้ด้วยหมัดเดียว อย่าสร้างความอับอายให้ตัวเองดีกว่า!”
ฟางผิงตะโกนเสียงดัง “อวิ๋นเมิ่งไม่มีคนแล้ว?”
เหยาจ่างอวี่ที่นอนกับพื้นใบหน้าแดงก่ำ คนที่อยู่ด้านหลังรีบเข้ามาช่วยพยุงเขา หนึ่งในนั้นพูดเสียงดังว่า “รอก่อน พวกเราเป็นแค่นักเรียนทั่วไปของอวิ๋นเมิ่ง ฝีมือของเหยาจ่างอวี่ไม่อาจใช้ตัดสินคนทั้งหมดของอวิ๋นเมิ่งได้!”
เหยาจ่างอวี่แพ้ด้วยกระบวนท่าเดียว หน้าตาของอวิ๋นเมิ่งจึงหายไปสามส่วนในชั่วพริบตา
คนพวกนี้ต่างไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนปลาย หากเข้าไปสู้อีก คนที่ขายหน้าคงไม่พ้นอวิ๋นเมิ่ง
ไม่จำเป็นต้องรอนาน ในโรงเรียนก็มีคนเดินออกมาอีกกลุ่มหนึ่ง หญิงและชายรวมกัน ไม่ได้มีแต่วัยรุ่ยอีกแล้ว ในนั้นยังมีผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนอยู่ เห็นได้ชัดว่าเป็นอาจารย์ของโรงเรียนเตรียมทหาร
คนพวกนี้ต่างสวมชุดทหาร มองฟางผิงแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “จะท้าประลอง สามารถทำตามกฎยื่นคำร้องเข้ามาได้ ฟางผิง นายขวางประตูอวิ๋นเมิ่งของฉัน กล้าทำต้องกล้ารับ ผลที่ตามมานายเตรียมตัวไว้ด้วยละกัน!”
“แน่นอนผมไม่เป็นรองใครในขั้นสาม ไม่กลัวอยู่แล้ว!”
“ดี!”
ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนไม่พูดมากอีก หันไปตะโกนว่า “จูเหวินหลง เธอประลองกับเขา ชนะได้แต่ห้ามแพ้!”
ในกลุ่มนักเรียนเตรียมทหาร มีเด็กหนุ่มผิวคล้ำคนหนึ่งเดินออกมา มือถือหอกยาวเล่มหนึ่ง
สาวเท้าออกมาจากประตู เอ่ยอย่างเยือกเย็นว่า “จูเหวินหลง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุด!”
ฟางผิงขมวดคิ้ว เอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “นายอยู่ในการจัดอันดับที่สี่สิบหกของขั้นสาม ไม่ได้แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสามของอวิ๋นเมิ่ง จะให้นายเป็นตัวแทนต่อสู้จริงๆ?”
“กล้าสู้หรือเปล่าล่ะ?”
“ช่างเถอะ เอาชนะนายแล้วค่อยสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในขั้นสามของอวิ๋นเมิ่งละกัน!”
พูดจบฟางผิงก็กระโดดขึ้นจากพื้น คอนกรีตข้างล่างแตกออกในชั่วพริบตา
จูเหวินหลงเห็นเขาไม่ใช้ดาบ แววตาปะทุโทสะขึ้นมา คิดว่านายไร้คู่ต่อสู้ในขั้นสามจริงๆ งั้นเหรอ!
เสี้ยวนาทีที่ฟางผิงแตะพื้น หอกของจูเหวินหลงก็คำรามวาดผ่านอากาศ เสียงระเบิดดังขึ้นในรัศมีนับสิบเมตร
ตอนนี้สองหมัดของฟางผิงปะทุปราณสีแดงออกมา ไม่คิดหลบหลีก คำรามเสียงดัง ก่อนจะพุ่งหมัดขวาไปยังหัวหอก!
‘เคร้ง!’
เสียงกระทบของโลหะดังขึ้น หอกของจูเหวินหลงสั่นสะเทือน ครู่ต่อมาฟางผิงก็ปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าจูเหวินหลงแล้ว มือซ้ายอาบไปด้วยปราณสีแดง ชกไปที่ลำคอของเขา
จูเหวินหลงไม่กลัวแม้แต่น้อย คำรามก่อนจะชักหอกกลับในชั่วพริบตา เปลี่ยนจากแทงเป็นกวาดออกไปที่เอวของฟางผิง
ฟางผิงแทบไม่มองด้วยซ้ำ หมัดจินกังชกออกไปก็ดึงกลับได้ ทำไมจะถอยหลบไม่ได้!
เสียงคำรามดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนหมัดจะเร็วกว่าเดิมถึงสามส่วน!
จูเหวินหลงยกศอกซ้ายกำบัง พร้อมทั้งวาดหอกไปหาฟางผิง
ทั้งสองคนต่างไม่หลบหลีก ตัดสินใจที่จะปะทะกันตรงๆ!
‘เคร้งๆ’ เสียงดังขึ้นติดต่อกัน ฟางผิงชกหมัดไปที่แขนซ้ายของเขา อีกมือกลับทุบไปที่หอกจูเหวินหลง
จูเหวินหลงแตะเท้ากับพื้น ถอยหลังไปไม่หยุดหย่อน พื้นที่เหยียบนั้นแตกออกมาเป็นเสี่ยงๆ
———————