ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 266-2 เหนือมนุษย์ (2)
ตอนที่ 266 เหนือมนุษย์ (2)
ชายชราผอมแห้งตกตะลึงไปเล็กน้อย “ตาแก่นี้ออกจากเซี่ยงไฮ้มาได้ยังไง?”
“อธิการจางของเซี่ยงไฮ้ตายในสนามรบ ปรมาจารย์สามคนไม่อยู่ คนอื่นๆ ต่างเฝ้ารักษาที่ถ้ำใต้ดิน อัจฉริยะของเซี่ยงไฮ้มาขัดเกลาวิชา นอกจากเขาแล้ว ใครยังจะออกหน้าควบคุมสถานการณ์ได้อีก”
“กระบี่อมตะ…น่าเสียดายจริงๆ”
จู่ๆ ชายชราผอมแห้งก็ส่ายหน้า ถอนหายใจเบาๆ
ตอนนี้ในหมู่ยอดฝีมือขั้นหกสูงสุดของเซี่ยงไฮ้ หลู่เฟิ่งโหรวตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ‘อู่อู๋ตี๋’ เป็นที่รู้จักกันในนามไร้คู่ต่อสู้ในระดับต่ำกว่าขั้นปรมาจารย์
‘ราชสีห์คลั่ง’ ถังเฟิง ก็มีชื่อเสียงโด่งดัง เป็นที่รู้กันว่าอยู่ในอันดับสามของระดับต่ำกว่าขั้นปรมาจารย์
แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้มีส่วนที่โม้โอ้อวดไปบ้าง
แต่ก่อนหน้าที่ทั้งสองคนยังไม่โดดเด่น ‘มือกระบี่อมตะ’ ของเซี่ยงไฮ้ต่างหากที่เป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ทั้งยังมีหวังจะเป็นปรมาจารย์มากที่สุด มือกระบี่อมตะที่อยู่ขั้นห้าสามารถโค่นชนะขั้นหก เข้าสู่ขั้นหกแล้ว ทุกคนต่างคิดว่าเขาจะเป็นปรมาจารย์ในเร็วๆ นี้
แต่ในปีนั้นหลังจากการไปเยือนถ้ำใต้ดิน ชื่อของมือกระบี่อมตะนี้ก็สูญหายไปจากโลกผู้ฝึกยุทธ์
ชายชราผมขาวแค่นเสียงว่า “มีอะไรให้น่าเสียดายกัน หลายปีมานี้ มีครอบครัวใครบ้างไม่ตายในสนามรบ! ปรมาจารย์ต่อสู้สละชีพไปในสงครามตั้งกี่คน!”
“หลี่ฉางเซิงแค่ถูกทำลายพลังจิตใจเท่านั้น ไม่ตายก็ถือว่าโชคดีแล้ว!”
ชายชราผอมแห้งยังคงเอ่ยอย่างเสียดาย “ปรมาจารย์หายไปหนึ่งคน…ไม่สิ อาจจะสองคน หลังจากสงครามครั้งนั้น หลู่เฟิ่งโหรวจากเซี่ยงไฮ้ก็แทบจะเสียสติ กระบี่อมตะทรุดลงไม่มีทางฟื้นคืน ไม่งั้นตอนนี้เซี่ยงไฮ้อาจจะมีปรมาจารย์หกคน นั่งอยู่ในตำแหน่งมหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับหนึ่งแล้ว จะเป็นเหมือนตอนนี้ได้ยังไง ปรมาจารย์จางจำเป็นต้องออกรบซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ็บหนักเรื้อรัง สุดท้ายร่างทองยังเสื่อมสลาย”
ชายชราผมขาวไม่พูดมากอีก ต่อให้มือกระบี่อมตะจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว
หลี่ฉางเซิงในตอนนี้เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุดทั่วไปเท่านั้น พลังจิตใจได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก ไม่อาจรักษาได้ ไม่มีหวังเป็นปรจารย์แล้ว หากวันหนึ่งวันใดเข้าไปในถ้ำใต้ดิน โลกใบนี้ก็จะไม่มีชื่อของมือกระบี่อมตะอีก
—
ฟางผิงที่จากไปอย่างเร่งรีบ ไม่รู้ถึงเหตุการณ์พวกนี้อยู่อล้ว
เอาชนะจางเจิ้นหวาได้ ฟางผิงอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
ไม่ได้รั้งตัวอยู่ที่หมู่บ้านฉางหยางนาน ฟางผิงขับรถข้ามคืนมุ่งหน้าไปสำนักว่านซานทันที นี่ก็เป็นเป้าหมายของการเดินทางในครั้งนี้ คู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง
อันดับเจ็ดของขั้นสาม!
ได้ยินว่าสำนักว่านซานมีปรมาจารย์นั่งรักษาการณ์อยู่ ฟางผิงไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า
เพราะปรมาจารย์ของสำนักว่านซานไม่ได้เข้าไปอยู่ในการจัดอันดับปรมาจารย์
ก่อนหน้านี้ฟางผิงสอบถามจากตาเฒ่าหลี่มาเล็กน้อย ตาเฒ่าหลี่อธิบายว่า ภิกษุเฒ่าของสำนักว่านซานเข้าไปในถ้ำใต้ดินจงโจวหกปีแล้ว หกปียังไม่กลับมามีโอกาสตายสูงอย่างมาก!
แต่ถ้ำใต้ดินจงโจว หากเกิดสงครามระดับปรมาจารย์หรือการสูญเสีย จ้าวซิ่งอู่ปรมาจารย์ใหญ่ที่นั่งรักษาการณ์ในจงโจวคงสัมผัสได้แล้ว
ตอนนี้ไม่เจอหลักฐานการสูญเสียของปรมาจารย์ งั้นภิกษุเฒ่าของสำนักว่านซานอาจจะยังไม่ตาย แต่เข้าไปส่วนลึกในถ้ำ
แต่ไม่ออกมาถึงหกปี โอกาสที่จะมีชีวิตรอดมีน้อยจริงๆ การจัดอันดับของปรมาจารย์จึงไม่มีชื่อของภิกษุเฒ่าผู้นี้อีก
ยังมีชีวิตรอดหรือไม่ ทำได้แค่รออย่างเดียวแล้ว
—
เย็นวันที่สิบสาม ฟางผิงมาถึงเขาอวิ๋นไถที่ตั้งของสำนักว่านซาน
วันที่สิบสี่ ฟางผิงเพิ่งขึ้นเขา ที่หน้าประตูก็มีเด็กหนุ่มหัวโล้นเกลี้ยงคนหนึ่งสวมชุดของนักบวช ประสานมือด้วยรอยยิ้มราวกับพระสังขจายยืนอยู่ “ประสกฟาง ผู้น้อยคอยท่านมานานแล้ว!”
“ภิกษุฮวา[1]?”
ภิกษุหนุ่มสีหน้าแข็งทื่อไปเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “เหมือนว่าประสกจะเข้าใจผิดกับผู้น้อยไปอยู่บ้าง?”
ฟางผิงถือดาบยาว เอ่ยสัพยอกว่า “ไม่ใช่ฉันทึกทักขึ้นเอง ตอนที่การจัดอันดับขั้นสามออกมา คนอื่นๆ ไม่มีฉายา กลับมีแค่นายเท่านั้น เจี้ยเซ่อภิกษุที่ทำผิดศีล นายเป็นคนแรกในการจัดอันดับของผู้ฝึกยุทธ์ที่มีเรื่องซุบซิบว่ามักจะลงเขาไปเที่ยวผู้หญิง…”
แก้มขาวของภิกษุเจี้ยเซ่อมีเลือดฝาดขึ้นมาทันที เอ่ยด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ ว่า “ประสกเข้าใจผิดแล้ว ข่าวลือไม่อาจคิดเป็นจริงเป็นจัง ได้ยินมาว่า ประสกฟางตั้งใจต่อยตีหน้าอกของผู้หญิงโดยเฉพาะเหมือนกัน เรื่องนี้จริงหรือเปล่า?”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ฉันเคยทำจริงๆ ดังนั้นข่าวลือก็เป็นเรื่องจริงเหมือนกัน”
ภิกษุเจี้ยเซ่อสีหน้าแข็งทื่ออีกครั้ง ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “คุยไม่ถูกคอกันซะแล้ว นายไม่มา ฉันก็วางแผนจะไปท้าประลองพวกนายเหมือนกัน ในเมื่อมาแล้ว งั้นก็ลงมือเถอะ!”
“ตรงนี้?”
ฟางผิงมองสำรวจรอบๆ มีนักท่องเที่ยวอยู่ไม่น้อย
“ตรงนี้แหละ ประเทศชาติเผชิญวิกฤต ทุกคนล้วนมีส่วนรับผิดชอบ ควรเลื่อมใสถึงจะถูก”
“นายไม่ควรเป็นพระด้วยซ้ำ!”
“นายมากกว่าที่ควรเป็นพระ!”
ภิกษุเจี้ยเซ่อพูดจบ ชุดนักบวชก็ขาดกระจุยในชั่วพริบตา เผยกล้ามเนื้อกำยำท่อนบน หัวเราะว่า “ไม่เป็นไร จางเจิ้นหวาพ่ายให้นาย ขั้นสามในจงโจวไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ฉันได้ นายมาได้เวลาพอดี!”
“ภิกษุฮวารูปร่างดีจริงๆ!”
ครั้งนี้ฟางผิงไม่คิดวางดาบไว้เฉยๆ อีกแล้ว รอบๆ มีนักท่องเที่ยวหลายคน เขาต้องสู้ให้เท่ที่สุด ชนะแบบขาดลอยไปเลย!
ทั้งสองคนเพิ่งจะพูดจบ กลับทะยานขึ้นสู่ฟ้าแล้ว ไม้เท้าและดาบยาวปะทะกันอย่างรวดเร็ว เกิดเสียงดังก้องไปทั่วเขาอย่างไม่ขาดสาย
—
……
กลางเขา
ตาเฒ่าหลี่เบะปาก ด้านข้างยังมีภิกษุเฒ่าสวมชุดนักบวชเผยหน้าเปื้อนยิ้มอยู่ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คนหนุ่มสาว นี่คึกคักกันจังเลย…”
“แค่พวกเด็กน้อยตีกันเท่านั้น?”
ตาเฒ่าหลี่ลอบด่าออกมา ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสองคน ไม่สู้กันบนพื้นดิน กลับไปปะทะกันบนฟ้า สมองไหลลงน้ำไปหมดแล้วหรือไง!
แต่ประลองกันบนฟ้า…ดูเหมือนจะเท่กว่าอยู่บ้างจริงๆ
“ยังหนุ่มแน่นกันนี่นา…” ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า
ภิกษุเฒ่ายิ้มอย่างเบิกบาน ไม่รู้ว่ามีความสุขเพราะเรื่องอะไร
—
ตีนเขา
กลางอากาศ
ฟางผิงกวัดแกว่งดาบยาวป้องกันอย่างแน่นหนา บางครั้งก็แหวกผ่าอากาศจนเกิดเสียงดังลั่น
ภิกษุเจี้ยเซ่อเผยสีหน้าหนักแน่น แต่ถูกจัดในอันดับเจ็ดของขั้นสาม ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วยอยู่แล้ว
ไม้เท้าเป็นแค่ตัวหลอกเท่านั้น
ภิกษุเจี้ยเซ่อสะบัดมืออกไป ไม้เท้าตกไปปักที่ช่องกำแพงหิน ครู่ต่อมาภิกษุเจี้ยเซ่อก็พองกล้ามเนื้อขึ้นมา ผิวขาวเปล่งปลั่งปรากฏเป็นสีทองในชั่วพริบตา!
ในระหว่างที่คนภายนอกร้องอย่างตกใจอยู่ไม่ไกล ภิกษุเจี้ยเซ่อก็แบมือทั้งสองข้าง ทำเป็นเล่นแสดงโชว์แย่งใบมีดสีขาวด้วยมือเปล่า
ดาบระดับ B ของฟางผิง ฟันออกไปห้าครั้งติดต่อกัน อานุภาพนั้นเป็นที่น่าตกใจ ภิกษุเจี้ยเซ่อกลับประสานมือเข้าด้วยกัน หนีบใบมีดเอาไว้
กลางอากาศฟางผิงเดือดดาลอย่างยิ่ง แขนสองข้างพองขยาย ทำให้เสื้อคลุมตัวนอกขาดกระจาย ใช้มือที่ถือดาบผลักภิกษุหนุ่มไปชนกำแพงหินที่อยู่ไม่ไกล
“ไม่เล่นกับนายแล้ว!”
จู่ๆ ภิกษุเจี้ยเซ่อก็หัวเราะเสียงดัง คลายมือจากดาบ กระโดดลงไปข้างล่างทันที
ฟางผิงไม่แปลกใจเช่นกัน ต่อสู้กลางอากาศ แม้ว่าจะดูหล่อเท่ แต่กลับแสดงพลังได้อย่างยากลำบาก สิ้นเปลืองปราณค่อนข้างมาก ถึงภิกษุผู้นั้นไม่ลงไป เขาก็ต้องลงไปเช่นกัน
ฟางผิงใช้สองมือประคองดาบลงมา ใบมีดประกายแสงสีแดงก่อนจะหายไปอย่างรวดเร็ว ฟันลงไปด้านล่าง!
ภิกษุเจี้ยเซ่อแตะปลายเท้ากับพื้น เคลื่อนไหวอย่างว่องไว หายไปจากด้านหน้ากำแพงหินทันที
ฟางผิงไม่ได้ลดแรงดาบลง ฟันไปยังกำแพงหินทันที
‘ตู้ม!’
หลังเสียงดังก้องนั้น บนกำแพงอิฐก็ปรากฏรอยดาบลึกหลายสิบเซนติเมตร ยาวเกือบเมตร
ฟางผิงไม่คิดลังเลแม้แต่น้อย ถือดาบหมุนกายไปยังภิกษุเจี้ยเซ่อที่กำลังจู่โจมมา
—
กลางเขา
มีคนสบถอย่างโมโห “จะรื้อเขาทั้งลูกหรือไง? ไอ้เวรสองคนนี้ ครั้งหน้าเจอพวกนายจะซัดให้ตายในฝ่ามือเดียว!”
ระหว่างที่พูดก็มองพวกหลี่ฉางเซิงที่ยิ้มเงียบๆ ด้วยความหวั่นเกรง แค่นเสียงในลำคอ ก่อนจะกระโดดจากไปในอากาศ
เขาลูกใหญ่ขนาดนี้ไม่ได้มีแค่สำนักว่านซานแห่งเดียวอยู่แล้ว
—
ตีนเขา
สถานที่ที่ฟางผิงและภิกษุเจี้ยเซ่อประมือกันเละเทะพังไม่เป็นท่าไปตั้งนานแล้ว
ก่อนหน้านี้ฟางผิงเคยเห็นร่องรอยที่ปรากฏในสถานที่ที่ปรมาจารย์ขั้นแปดสองคนต่อสู้กัน
เวลานั้นฟางผิงคิดว่าปรมาจารย์ขั้นแปดแข็งแกร่งมาก อยู่ในขั้นเหนือมนุษย์
จนถึงวันนี้ฟางผิงค่อยเข้าใจว่า การต่อสู้ของปรมาจารย์ขั้นแปดเป็นแค่หยั่งชิงฝีมือคู่ต่อสู้เท่านั้น
มากไปกว่านั้นยังคงเป็นการต่อสู้ของพลังจิตใจ ไม่ใช่ลงมือจริงๆ
ร่องรอยการต่อสู้ที่เห็นในคราวนั้น เกรงว่าจะเป็นการกระจัดกระจายของพลังจิตใจ ก่อให้เกิดพลังทำลายล้าง
พี่หม่าและปรมาจารย์แทมอาจไม่ได้ใช้ร่างทองปะทะกันเสมอไป
ตอนนี้หากเขาและภิกษุหนุ่มปะทะกันโดยที่ไม่คำนึงถึงสิ่งใด เกรงว่าคงไม่ต่างจากร่องรอยที่ปรมาจารย์ขั้นแปดเหลือไว้เท่าไหร่
เหนือมนุษย์ ตอนนี้พวกเขานับว่าอยู่ในระดับนั้นแล้ว!
บิดหักเหล็กได้อย่างง่ายดาย นี่หากยังไม่นับว่าเหนือมนุษย์อีก งั้นอะไรถึงจะเรียกว่าเหนือมนุษย์?
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดปะทะกันเต็มกำลังในสถานการณ์ที่ไม่กังวลสิ่งใด พลังทำลายล้างแทบจะเกินกว่าที่จินตนาการได้
—
การต่อสู้นี้มีผู้ชมอยู่ด้านนอกไม่น้อย
หลายคนกำลังตกใจอย่างสุดขีด
ลอยบนฟ้า ผ่าหินแหวกเขา นี่ก็คือผู้ฝึกยุทธ์?
ขั้นไหนแล้ว?
ปรมาจารย์?
พวกเขาไม่กล้าประเมินต่ำเกินไป แต่ปรมาจารย์ เป็นไปได้หรือไง?
ทั้งสองคนยังอายุน้อยถึงขนาดนั้น!
ตอนนี้การประมือของทั้งสองคน ทุกคนไม่กล้าดูใกล้ๆ แล้ว แต่ฉากก่อนหน้านี้ที่ภิกษุรออยู่ตีนเขา ฟางผิงถือดาบขึ้นมา ยังคงมีคนเห็นไม่น้อย
เด็กหนุ่มสองคนยังอายุน้อย!
“ผู้ฝึกยุทธ์…นี่น่ะหรือผู้ฝึกยุทธ์…”
พวกเขาพูดกันไปต่างๆ นานา กลับไม่ได้เห็นถึงความน่าตกตะลึงอย่างแท้จริง
ในหมู่ฝูงชน มีชายที่ท่าทางต่ำทรามคนหนึ่งยิ้มขึ้นมา มือข้างหนึ่งถือกล้องถ่ายรูป เผยท่าทีลิงโลด พูดอย่างไม่หยุดปากว่า “เห็นหรือยัง? นี่แค่การต่อสู้ของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม! ฉันก็อยู่ขั้นสามเหมือนกัน ไม่ใช่สงสัยว่าฉันหลิวต้าลี่หักเหล็กเส้นด้วยมือเปล่าไม่ได้หรือไง? ตอนนี้ยังจะสงสัยอีกไหม? ฉันแค่ขี้เกียจจะอธิบายเท่านั้น!”
แม้ปากของหลิวต้าลี่จะพูดอย่างนั้น ในใจกลับโอดครวญ ฉันเพิ่งขั้นสามตอนกลางเท่านั้น ไม่ใช่ระดับเดียวกับพวกเขา อย่าให้ฉันพิสูจน์ตัวเองเชียว ฉันสร้างพลังทำลายล้างแบบนั้นไม่ได้หรอก
———————-
[1]ภิกษุฮวา หมายถึงพระที่ทำผิดศีล