ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 274 น่าจะไม่มีใครรู้ประวัติอันดำมืดของฉัน (1)
- Home
- ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน
- ตอนที่ 274 น่าจะไม่มีใครรู้ประวัติอันดำมืดของฉัน (1)
ตอนที่ 274 น่าจะไม่มีใครรู้ประวัติอันดำมืดของฉัน (1)
จวนผู้ว่าหนานเจียง
แม้จางติ้งหนานจะยุ่งตัวเป็นตัวเกลียว แต่พอรู้ว่าฟางผิงมาเยี่ยม ก็ยังคงเจียดเวลาออกมาต้อนรับฟางผิงได้
ห้องทำงานผู้ว่า
จางติ้งหนานขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “น่าสนใจ จิงชี่เฉินรวมเป็นหนึ่งแล้วสินะ”
ฝีมือของขั้นสาม ในสายตาของจางติ้งหนานแล้ว ไม่ได้สำคัญอะไร
สถานการณ์ที่ไร้ศัตรูในระดับเดียวกัน อันที่จริงปรมาจารย์อย่างพวกเขาชอบเรียกว่าจิงชี่เฉินรวมเป็นหนึ่งมากกว่า
ฟางผิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม ไม่อาจเป็นฝ่ายควบคุมจิงชี่เฉินของตัวเองได้ แม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นหกก็เป็นเรื่องยากเช่นกัน
ดังนั้นพวกเขาต้องอาศัยการต่อสู้ การยอมรับจากทุกคน อาศัยความเชื่อของตัวเอง สุดท้ายจึงจะเกิดเป็นสภาวะนี้ได้
ต่อสู้จนในระดับเดียวกันต่างคิดว่าคุณเป็นอันดับหนึ่ง ต่อสู้จนทุกคนให้การยอมรับ นั่นคุณก็จะไร้คู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันแล้ว
แต่ฟางผิงประลองกับหลิงอีอีเสร็จกลับทำได้เสียแล้ว?
“ฟางผิง เส้นทางปรมาจารย์นั้นเปิดอ้าออกให้เธอแล้ว”
จางติ้งหนานเผยรอยยิ้มขึ้นมา คล้ายกับแฝงไปด้วยเจตนาไม่ดีอยู่บ้าง
ฟางผิงไม่ได้มองเขาตรงๆ จึงไม่เห็นรอยยิ้มนั้นของเขา กลับเอ่ยอย่างสงสัยว่า “ไร้คู่ต่อสู้ในขั้นสาม เส้นทางสู่ปรมาจารย์ก็เปิดอ้าออกแล้ว?”
“ไร้คู่ต่อสู้ในขั้นสามไม่อาจอธิบายอะไรได้ เป้าหมายของการไร้คู่ต่อสู้คืออะไร? เพื่อให้จิงชี่เฉินรวมเป็นหนึ่ง เข้าใจหรือเปล่า? ไล่ตามสภาวะไร้คู่ต่อสู้ก็เพื่อไล่ตามความสมบูรณ์แบบของตัวเอง อาจารย์ของเธอก็ไล่ตามสภาวะนี้เช่นกัน เธออยากต่อสู้กับขั้นหกให้หมด เพื่อทำให้ถึงขั้นไร้คู่ต่อสู้อย่างแท้จริง เอาชนะอุปสรรคในใจได้ อุปสรรคในใจเธอนั้นเป็นอุปสรรคใหญ่อย่างยิ่ง ดังนั้นเธอจึงอาศัยร่างกายตัวเองทำถึงขั้นรวมเป็นหนึ่ง เป็นเรื่องยาก ยากอย่างถึงที่สุด! คนทั้งหมดยอมรับแล้ว เธอก็จะยอมรับตัวเองเหมือนกัน แบบนั้นถึงจะเดินทางลัดแตะในจุดสูงสุดกลายเป็นปรมาจารย์ได้ แน่นอนว่าเส้นทางนั้นมีมากมาย นี่ไม่ใช่เส้นทางเพียงเส้นเดียว ปรมาจารย์ไม่ได้ประลองจนไร้คู่ต่อสู้ทั้งหมดเช่นกัน”
“อาจารย์ของเธออยากจะสู้ในขั้นหกจนไร้คู่ต่อสู้ เกรงว่าจะไม่มีหวังแล้ว ต้องดูว่าเธอสามารถเอาชนะอุปสรรคได้หรือเปล่า ละทิ้งความคิดยุ่งเหยิงวุ่นวาย รวมร่างกายและจิตใจเป็นหนึ่งเดียวก้าวเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ ส่วนเธอฟางผิง ไม่ใช่บอกว่าจะเป็นปรมาจารย์ได้แน่นอน แต่รักษาสภาพการณ์นี้ไว้ ประคองจนถึงขั้นหกสูงสุด เธอก็ย่อมสามารถเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์ได้ตามธรรมชาติ นี่จึงเป็นหนึ่งในสาเหตุที่แต่ละท้องที่ให้ความร่วมมือกับเส้นทางท้าประลองของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม เธอน่าจะเข้าใจดี ไม่ว่าจะไปท้าประลองใคร แทบไม่มีใครสร้างอุปสรรคให้เธอ เพราะนอกจากเธอจะอยากไร้คู่ต่อสู้ คนอื่นๆ ก็คิดเหมือนกัน เธอประสบความสำเร็จไร้คู่ต่อสู้ งั้นก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์ก็เป็นเรื่องง่ายขึ้นเยอะ คนอื่นๆ ล้วนเหมือนกัน ผู้ฝึกยุทธ์สิบอันดับแรกของขั้นสาม อันที่จริงอยากใช้ทางลัดนี้กันทั้งนั้น แต่คนที่สามารถเดินไปได้อย่างแท้จริงกลับมีแค่คนสองคนเท่านั้น…”
ฟางผิงรีบเอ่ยว่า “ผมไร้คู่ต่อสู้แล้ว พวกเขายังจะเดินเส้นทางนี้ได้ยังไงอีก?”
จางติ้งหนานหลุดหัวเราะ “เธอไร้คู่ต่อสู้? เธอไปประลองสองคนนั้นจากหน่วยทหารหรือยัง? ยังสินะ พวกเขายังไม่ได้สู้กับเธอ ยังไม่ได้แพ้ให้เธอ หากคิดว่าตัวเองไร้คู่ต่อสู้ ทำไมถึงจะเดินไม่ได้ล่ะ? ทั้งแม้ว่าแพ้แล้ว ขอแค่ตัวเองมีความเชื่อมั่นมากพอ ก็สามารถรักษาสภาพการณ์นี้ไว้ได้เหมือนกัน”
“อ้อ สะกดจิตตัวเองสินะครับ เข้าใจแล้ว”
ฟางผิงกระจ่างแจ้ง เรื่องนี้ฉันเข้าใจ เพิ่งไปเจอเจ้าหมอนั่นมา อยู่แค่ขั้นสี่ตอนปลายกลับสะกดจิตให้ตัวเองเชื่อว่าไร้คู่ต่อสู้ในขั้นสี่แล้ว
จางติ้งหนานหัวเราะ ไม่พูดมากเช่นกัน ล้อเล่นแล้ว สะกดจิตตัวเองก็ได้งั้นเหรอ?
ไม่มีฝีมือที่แข็งแกร่งกว่าคนอื่น ไม่มีความเชื่อว่าไร้คู่ต่อสู้ คำพูดไร้หลักฐานของเธอ บอกว่าไร้คู่ต่อสู้ก็ไร้คู่ต่อสู้ได้จริงๆ แล้ว?
เจ้าหนูนี่ยังคงประสบการณ์น้อยเกินไป!
ฟางผิงไม่ล่วงรู้ความคิดของเขาอยู่แล้ว ไม่งั้นบางทีอาจจะรนหาที่ตายเอ่ยเหน็บแนมไปแล้ว ประสบการณ์น้อย น้อยบ้าอะไรล่ะ!
ไม่คิดขัดแย้งเรื่องนี้อีก ฟางผิงเอ่ยปรึกษาว่า “ผู้ว่า งั้นอาจารย์ของผม เธอมีหวังจะทะลวงถึงขั้นปรมาจารย์หรือเปล่า?”
อุปสรรคในใจของหลู่เฟิ่งโหรว ฟางผิงนั้นรู้ดี
แต่เอาชนะอุปสรรค…เป็นเรื่องยาก!
จางติ้งหนานเอ่ยอย่างครุ่นคิด “ความหวังยังมีอยู่ ทั้งยังไม่ใช่น้อยๆ อันที่จริงการทะลวงเป็นปรมาจารย์ของอาจารย์เธอนั้น มีบางคนสนับสนุน ทั้งบางคนก็ไม่สนับสนุน แน่นอนว่ามีตรงกลางเช่นกัน แต่คนบางส่วนจากเซี่ยงไฮ้ ยังหวังว่าเธอจะสามารถเป็นปรมาจารย์ได้ อย่างเช่น…”
จางติ้งหนานเอ่ยอย่างครุ่นคิด “หวงจิ่ง”
ฟางผิงทำสีหน้าสงสัย หวงจิ่งหวังให้หลู่เฟิ่งโหรวสามารถทะลวงด่านได้?
แต่หลู่เฟิ่งโหรวเคยบอกกับเขามาก่อน อาจารย์ของเซี่ยงไฮ้เหมือนว่าจะไม่อยากให้เธอทะลวงด่าน?
“ไป๋รั่วซีรู้จักหรือเปล่า?”
“รู้จักครับ”
“รู้ไหมว่าทำไมเธอถึงส่งหลานสาวของอธิการเฉินไปให้หลู่เฟิ่งโหรวดูแล?”
จางติ้งหนานคล้ายกับรู้จักสถานการณ์ของเซี่ยงไฮ้เป็นอย่างดี เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพราะว่าเฉินอวิ๋นซีนั้นคล้ายกับลูกสาวของหลู่เฟิ่งโหรว รวมถึงลักษณะนิสัย ฐานะทางบ้านและพื้นฐานครอบครัว ไป๋รั่วซีส่งเฉินอวิ๋นซีให้เธอดูแล อันที่จริงหวังว่าหลู่เฟิ่งโหรวจะสามารถเผชิญหน้ากับความจริงเรื่องการตายของลูกสาวอย่างตรงๆ ได้ เอาชนะอุปสรรคในใจได้ด้วยเรื่องนั้น! แต่เฉินอวิ๋นซีเป็นหลานสาวของเฉินเย่าถิง ไป๋รั่วซีจะกล้าตัดสินใจเรื่องแบบนี้โดยพลการได้ยังไง? หากเป็นไปตามที่คาด หวงจิ่งน่าจะรู้เห็น”
“ฟางผิง เธอถือกำเนิดจากหนานเจียง ดังนั้นฉันถึงเล่าให้เธอฟังมากมายขนาดนี้ เข้าใจสถานการณ์เซี่ยงไฮ้ให้มากหน่อย จะเป็นประโยชน์ต่อเธอ สี่ปรมาจารย์ใหญ่ของเซี่ยงไฮ้ ตอนนี้ผู้เฒ่าจางจากไปแล้ว ยังเหลืออู๋ขุยซาน หวงจิ่ง รวมถึงผู้อาวุโสหลิวพั่วหลู่ที่รั้งตัวเฝ้าอยู่ในหนานเจียง ผู้เฒ่าหลิวรักษาความเห็นเป็นกลางมาโดยตลอด อู๋ขุยซานและหวงจิ่ง อันที่จริงแยกเป็นสองฝั่ง อย่ามองว่าภายนอกพวกเขาดูเห็นพ้องต้องกัน แต่ภายในยังคงมีความขัดแย้ง ความเห็นไม่ตรงกัน ส่วนไม่ตรงกันได้ยังไง ฉันคงไม่พูดแล้ว ยังไงเรื่องภายในก็ซับซ้อนอย่างมาก เธอไม่มีความจำเป็นต้องเข้าใจทุกอย่าง หากเธออยากใช้ชีวิตในเซี่ยงไฮ้ได้ดีหน่อย อยากปรับตัวอยู่ในทางที่เหมาะสมได้ งั้นก็อย่าเพิ่งเผยจุดยืนของตัวเองว่าอยู่ฝั่งไหนเร็วเกินไป อย่าคิดว่าอู๋ขุยซานเป็นสามีของหลู่เฟิ่งโหรวแล้วเลือกยืนอยู่ฝั่งเขา ทั้งอย่าคิดว่าหวงจิ่งเป็นคณบดีของเธอแล้วยืนฝั่งเขาเช่นกัน”
“อันที่จริงก่อนหน้านี้เธอยังไม่ได้สำคัญอะไร แต่เมื่อเธอไร้ศัตรูในขั้นสาม ใกล้จะเข้าสู่ขั้นสี่ ปราณไร้ขีดจำกัด ไขกระดูกแปรสภาพเป็นปรอท พูดตามตรง ประตูใหญ่ของปรมาจารย์เปิดอ้าให้เธอแล้ว เวลานี้เธอไม่ใช่อากาศที่ว่างเปล่าอีกแล้ว รวมถึงคนบางส่วนจะควบคุมดูแลเธอ หลู่เฟิ่งโหรว ผู้เฒ่าหลี่ ยอดฝีมือขั้นหกสูงสุดพวกนี้ รวมถึงอาจารย์ขั้นสี่ขั้นห้าบางส่วน ถึงกระทั่งรวมถึงปรมาจารย์จะให้ความสำคัญเธอ”
จู่ๆ ฟางผิงก็เอ่ยออกมา “ผู้ว่า แล้วคุณล่ะ กำลังให้ความสนใจอยู่หรือเปล่า?”
จางติ้งหนานหัวเราะออกมาทันที “นับว่าล่ะมั้ง ฉันหวังว่าเธอจะสามารถใช้ชีวิตที่เซี่ยงไฮ้ได้เป็นอย่างดี ได้รับตำแหน่งและอำนาจที่สูงขึ้น อย่างเช่นหากเธอควบคุมสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของเซี่ยงไฮ้ได้ นั่นก็ไม่เหมือนกันแล้ว ควบคุมสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ภายในนั้นแฝงด้วยอะไรมากมาย สมาคมผู้ฝึกยุทธ์เป็นตัวแทนของนักศึกษา รวมถึงอาจารย์ของสมาคมบางส่วนจะให้ความสนิทชิดเชื้อ หากหนานเจียงเกิดสงครามใหญ่ คนอื่นไม่ให้ความช่วยเหลือหนานเจียง แต่เธอล่ะ? เธอสามารถใช้อำนาจของเธอได้ เรียกยอดฝีมือบางส่วนมาช่วยสนับสนุนหนานเจียง!”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ผู้ว่า ผมกลับคิดว่าเป็นอธิการบดีให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยดีกว่า รอผมกลายเป็นปรมาจารย์แล้ว คุณว่าผมควบคุมเซี่ยงไฮ้จะดีกว่านี้หรือเปล่า?”
จางติ้งหนานหัวเราะออกมาทันที!
“นั่นต้องรออีกนาน…”
“มากสุดสิบปี น้อยสุดสี่ห้าปี…”
จางติ้งหนานหัวเราะอีกครั้ง “อธิการบดี ไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ขนาดนั้น ต้องได้รับการยอมรับจากผู้คน ต้องมีฝีมือ ทั้งต้องนำทางเซี่ยงไฮ้ไปในทางที่ดีกว่าเดิม อันที่จริงไม่ใช่แค่เรื่องอำนาจ ยังมีภาระและความรับผิดชอบ ปรมาจารย์จางอุทิศทั้งชีวิตให้กับเซี่ยงไฮ้ จวบจนสุดท้ายยังตายในสนามรบห่างจากบ้านเกิดเมืองนอน”
“ในเมื่อพูดมาถึงนี้แล้ว งั้นฉันก็พูดให้มากหน่อยแล้วกัน บนเส้นทางที่ขัดแย้งกันของเซี่ยงไฮ้ อันที่จริงมีความเกี่ยวข้องที่ตายตัวกับเรื่องพวกนี้ ความคิดของอู๋ขุยซานคือเลี้ยงกู่!”
ฟางผิงเย็นวาบในใจ ละล่ำละลักว่า “เลี้ยงกู่?”
“ใช่ รับนักศึกษาเข้ามาจำนวนมาก รุ่นหนึ่งห้าหกพันคนถึงกระทั่งเป็นหมื่น! บ่มเพาะให้ถึงขั้นหนึ่ง จากนั้นโยนเข้าไปในถ้ำ ให้ไล่ล่าสังหาร ขัดเกลาตัวเอง ดิ้นรนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย คนที่มีชีวิตรอดออกมาก็คือผู้แข็งแกร่ง เป็นความหวังในอนาคต!”
—————–