ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 282 เด็กที่ร้องไห้เป็นถึงจะมีนมกิน (1)
ตอนที่ 282 เด็กที่ร้องไห้เป็นถึงจะมีนมกิน (1)
ฟางผิงออกมาจากสระปราณพร้อมชุดคล่องตัวสีดำที่เพิ่มขึ้นมา
อาจารย์ที่ดูแลสระปราณนั้นดีกว่าซ่งอิ๋งจี๋ที่เฝ้าห้องแหล่งพลังงานเยอะเลย คืนให้ฟรีๆ ไม่เก็บค่าใช้จ่ายเพิ่ม อาจเพราะกลัวว่าวันหนึ่งวันใดที่ฟางผิงล้ำหน้าเขาจะกลับมาคิดบัญชี
ด้านนอกสระปราณ
หลู่เฟิ่งโหรวยืนรออยู่หน้าประตู ตาเฒ่าหลี่หายวับไปแล้ว
ฟางผิงสาวเท้าเดินออกมา ละล่ำละลักว่า “อาจารย์กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
“เมื่อกี้”
“ตอนนี้ถ้ำใต้ดินเป็นยังไงบ้าง? ทางเมืองตงขุย…”
ครั้งนี้หลู่เฟิ่งโหรวไม่ปิดบังอีก เอ่ยไปตรงๆ “เทียนเหมินบุกจู่โจมหลายครั้ง ถูกตีล่าถอยไปแล้ว ทหารนับสองแสนถูกพวกเราสังหารไปเกือบห้าหมื่นนาย! ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ ระดับสูงตายในสงครามไปเจ็ดคน สูญเสียไปกว่าครึ่ง นอกจากนี้ยังมีระดับสูงหลายคนที่บาดเจ็บสาหัส รวมถึงเดรัจฉานผู้นั้นด้วย ถูกผู้บังคับการอู๋จัดการจนบาดเจ็บ ส่วนเมืองตงขุยนับตั้งแต่ถอนทัพออกไปครั้งก่อนก็ไม่ส่งทหารมาอีกเลย หากคาดการณ์ไม่ผิด…เมืองเทียนเหมินอาจจะอพยพด้วยเช่นกัน”
“อพยพ?”
“ยอดฝีมือระดับสูงสูญเสียไปกว่าครึ่ง แทบจะบาดเจ็บกันทุกคน อยู่ใกล้กับเมืองความหวังขนาดนี้ พวกเขาก็กลัวว่าพวกเราจะฆ่าระดับสูงของพวกเขาอีกน่ะสิ”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยด้วยรอยยิ้มเยียบเย็น “ประเทศจีนไม่ได้ไร้กำลังกำจัดเขา แค่ไม่อยากทำเท่านั้น กลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น แต่ตอนนี้เมืองตงขุยเคลื่อนไหวทัพ ถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ของพวกเรามีคู่ต่อสู้ใหม่ ความสำคัญของเมืองเทียนเหมินจึงถูกลดลง…”
“งั้นสิบเอ็ดเมืองอื่นๆ ล่ะครับ? มีความเคลื่อนไหวหรือเปล่า?”
“ตอนนี้ยังไม่มี”
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหัว ฟางผิงถามอย่างลังเลเล็กน้อย “ทางพวกเรา…”
“มีคนบาดเจ็บล้มตายเหมือนกัน ทางหน่วยทหารสูญเสียยอดฝีมือไปกลุ่มใหญ่…”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ ชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้สูญเสียอาจารย์ไปจำนวนมากเหมือนกัน ตอนนี้อาจารย์ระดับกลางในเซี่ยงไฮ้ไม่ได้มีสี่ร้อยคนอีกแล้ว ความจริงมีแค่สามร้อยแปดสิบคนเท่านั้น ทางถ้ำใต้ดิน ตอนนี้ยังมีอาจารย์เฝ้าระวังอยู่กว่าห้าสิบคน กิจการแต่ละแห่งของมหาวิทยาลัยก็มีคนเฝ้ากระจัดกระจายกว่าสามสิบคน อาจารย์ส่วนหนึ่งกำลังทำภารกิจอีก…หลังจากเปิดเทอม อาจารย์ระดับกลางที่อยู่ในมหาวิทยลัยน่าจะไม่ถึงสามร้อยคน แต่จำนวนนักศึกษามีเกือบเจ็ดพันคน”
หลายปีที่ผ่านมาเกรงว่าตอนนี้จะเป็นช่วงเวลาที่เหลืออาจารย์น้อยที่สุดแล้ว
หลู่เฟิ่งโหรวไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อ เดินไปก็เอ่ยไปพลาง “อีกสองวันพวกอู๋ขุยซานจะกลับมหาวิทยาลัย อู๋ขุยซานรับตำแหน่งอธิการบดี ส่วนหวงจิ่งรับหน้าที่รองอธิการ มหาวิทยาลัยน่าจะเรียกตัวนักศึกษากลับมาล่วงหน้า เธอมีความคิดเห็นยังไง?”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มแห้งๆ “อาจารย์ นี่เป็นเรื่องของปรมาจารย์ ผมจะมีความคิดเห็นอะไรได้ ผมกลับอยากให้ตัวเองกลายเป็นอธิการ แต่ไม่มีหวังนี่ครับ”
หลู่เฟิ่งโหรวชะงักฝีเท้าเล็กน้อยราวกับกำลังลังเลว่าจะเตะเขาให้ตายดีหรือไม่
“ฉันหมายถึงช่วงที่สลับอำนาจเก่าใหม่นี้ ควรคิดที่จะหาผลประโยชน์ให้ตัวเองบ้าง เธอจะท้าประลองกับจางอวี่ไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้จางอวี่ตั้งใจถอยจากตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ แต่ได้ยินมาว่าคนที่เขาอยากให้มารับช่วงต่อคือเฉินเหวินหลง ทว่าเฉินเหวินหลงนั้นเหมือนกับเขา กำลังจะเป็นนักศึกษาปีสี่ ทั้งมักไม่อยู่ที่มหาวิทยาลัย เรื่องที่เฉินเหวินหลงจะรับตำแหน่งประธาน อาจารย์บางส่วนน่าจะไม่เห็นด้วย ที่ฉันจะสื่อคือเธอสามารถแย่งชิงได้ หากกลายเป็นเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เธอก็จะมีอำนาจในการพูดมากขึ้น”
“คุณหมายความว่าให้ผมไปแก่งแย่งอำนาจ?”
“ผิดแล้ว ฉันให้เธอไปช่วงชิงทรัพยากรต่างหาก!”
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ไม่ใช่แค่ทรัพยากร แต่สมาคมผู้ฝึกยุทธ์เป็นที่รู้กันดีว่ามีส่วนร่วมกับผู้มีอำนาจในการปกครองมหาวิทยาลัย เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของมหาวิทยาลัย จางอวี่ผู้นี้มีนิสัยโอนอ่อน ดังนั้นสมาคมผู้ฝึกยุทธ์อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาจึงไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ ความเป็นจริงอำนาจของสมาคมมีมากกว่าที่เธอจินตนาการไว้ซะอีก ถึงกระทั่งสามารถกล่าวโทษร้องเรียนผู้มีอำนาจในมหาวิทยาลัย ดำเนินการกับกระทรวงการศึกษาได้โดยตรง หวังจินหยางที่เธอรู้จัก เขาอยู่ที่หนานเจียงเป็นยังไงล่ะ? เธอคิดว่าเขาอาศัยแค่ฝีมือของขั้นสี่อย่างนั้นเหรอ? ผิดแล้ว เพราะเขาเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ดังนั้นตอนนี้จึงดำเนินการปฏิรูปกับมหาวิทยาลัยได้โดยที่มีผู้สนับสนุนมากมาย”
ฟางผิงเอ่ยอย่างแปลกใจ “พวกอธิการเขาเป็นปรมาจารย์ สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีแค่นักศึกษาขั้นสามขั้นสี่…”
“แต่รากฐานของมหาวิทยาลัยก็คือนักศึกษาขั้นสามขั้นสี่พวกนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้นำของนักศึกษา เธอไม่ได้เป็นแค่ตัวแทนของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นตัวแทนของนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ่ยังไม่ตกสู่ช่วงเวลาที่ตกต่ำ ปรมาจารย์แล้วยังไง? ประเทศจีนมีปรมาจารย์หลายร้อย ปรมาจารย์ที่ว่างก็มีอยู่ อู๋ขุยซานไม่อยากเป็นอธิการ มีปรมาจารย์คนอื่นยินดีเป็นอยู่แล้ว! แน่นอนว่าพวกเราไม่ยินยอมเท่านั้น ให้เธอไปช่วงชิงตำแหน่งประธานสมาคม ไม่ใช่ให้เธอไปร้องเรียนกล่าวโทษพวกอู๋ขุยซาน แต่อยากให้มีส่วนร่วมกับการปฏิรูปมหาวิทยาลัย อู๋ขุยซาน หวงจิ่งคนพวกนี้ล้วนไม่เหมือนกับอธิการเฒ่า เธอไว้ใจอธิการเฒ่าได้ แต่คนพวกนี้อย่าได้ไว้ใจ”
ฟางผิงขำแห้งๆ “อันที่จริงผมอยากแย่งชิงตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกัน แต่ก่อนหน้านี้อาจารย์หลี่เคยบอกผมว่ามหาวิทยาลัยอาจไม่ยอมให้ผมรับตำแหน่งเสมอไป ทั้งหากผมจะรับช่วงต่อประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ อาจจะต้องทิ้งสมาคมผิงหยวน รวมถึงแพลตฟอร์ม…”
“นั่นมันก่อนหน้านี้”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้คิดแบบนั้น “ตอนนี้เธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตอนกลาง ไม่เหมือนกันแล้ว อีกอย่างฉันสนับสนุนเธอ หลี่ฉางเซิงสนับสนุนเธอ ให้ราชสีห์ถังสนับสนุนเธออีก เรื่องพวกนี้ล้วนไม่ใช่ปัญหา ตอนนี้เซี่ยงไฮ้มีปรมาจารย์ใหญ่สามคน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุดมีทั้งหมดแปดคนเท่านั้น นอกจากพวกเราสามคนแล้ว ยังมีคณบดีสาขาอื่นอีกสามคนที่อยู่ขั้นหกสูงสุด อีกสองคน คนหนึ่งเฝ้าระวังที่ถ้ำใต้ดิน คนสุดท้ายคือหลัวอี้ชวน หลัวอี้ชวนค่อนข้างเห็นดีเห็นงามกับเธอ เกลี้ยกล่อมเขาสักหน่อยก็มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุดสี่คนสนับสนุนเธอแล้ว ตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
ฟางผิงพึมพำว่า “หัวสิงโตอาจไม่ยินยอมเสมอไป”
“งั้นเธอก็ไปซ้อมจ้าวเหล่ยกับหยางเสี่ยวม่านทุกวัน!”
ฟางผิงกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ทำแบบนี้ค่อยไม่เหมาะสมมั้งครับ?
ยังไงหลู่เฟิ่งโหรวก็เป็นอาจารย์ ทำไมถึงยั่วยุลูกศิษย์ไปทำเรื่องแบบนี้ซะได้ ไม่สมเหตุสมผลซะเลย
หลู่เฟิ่งโหรวเอ่ยต่อว่า “อันที่จริงนอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว ที่ให้เธอช่วงชิงตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุ”
“คุณว่ามาเลย”
“ในเซี่ยงไฮ้ นอกจากมีสระปราณ ห้องแหล่งพลังงานที่ให้พวกนักศึกษาฝึกวิชา ยังมีอีกหนึ่งสถานที่ ปกติแล้วเป็นสถานที่ฝึกวิชาของอาจารย์ เรียกว่าห้องคุมอานุภาพ หรือจะเรียกอีกอย่างว่าห้องฝึกพลังจิตใจ แน่นอน อันตรายอย่างมาก ห้องคุมอานุภาพมีส่วนประกอบของแกนหัวใจและแกนสมองของยอดฝีมือระดับสูง จำลองการถูกพลังจิตใจของยอดฝีมือระดับสูงโจมตี ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ขั้นห้าไม่ค่อยมีโอกาสเข้าไปนัก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกเพื่อสัมผัสถึงพลังจิตใจ ปกติจะเข้าไปฝึกฝน แต่ยกเว้นฉันไว้คนหนึ่ง!”
หลู่เฟิ่งโหรวแค่นเสียงว่า “ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปห้องคุมอานุภาพ นี่เป็นการตัดสินใจร่วมกันของปรมาจารย์หลายคน แต่ขอแค่เธอกลายเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ก็สามารถเสนอความเห็นโหวตตัดสินใหม่อีกครั้งได้ ในมหาวิททยาลัยผู้ที่มีอำนาจในการเสนอความเห็น นอกจากปรมาจารย์แล้ว มีเพียงคณบดีทั้งสี่สาขาและประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น พวกคณบดีแทบจะเป็นลูกศิษย์ของอธิการเฒ่าทั้งหมด ดังนั้นหลายปีมานี้ ฉันไปหาพวกเขาล้วนเปล่าประโยชน์ แต่ว่าตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว อธิการเฒ่าตายในสนามรบ เกรงว่าความคิดของคนอื่นๆ คงจะเปลี่ยนเช่นกัน มีปรมาจารย์เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน บางคนอาจจะยินดีมากกว่า แต่อู๋ขุยซานปกครองมหาวิทยาลัย แม้พวกเขาจะมีความคิดนี้ ก็ไม่อาจเสนอออกมา แต่เธอไม่เหมือนกัน เธอเป็นลูกศิษย์ฉัน เสนอออกไปเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ถึงเวลานั้นมหาวิทยาลัยจะเรียกประชุม โหวตตัดสินโดยไม่ระบุชื่อ หากเป็นไปตามที่คาด ฉันน่าจะได้งดเว้นจากข้อห้ามนี้แล้ว”
ฟางผิงตื่นตัวขึ้นมา “อาจารย์ คุณจะไปชิงแกนหัวใจกับแกนสมองถึงได้ถูกห้ามใช่หรือเปล่า?”
“เหลวไหล!”
หลู่เฟิ่งโหรวหลุดด่าออกมา เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “พวกเขากลัวว่าฉันจะกลายเป็นปรมาจารย์ คนพวกนี้โง่งมอย่างถึงที่สุด!”
“เข้าห้องคุมอานุภาพก็กลายเป็นปรมาจารย์ได้แล้ว?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่พอได้รับแรงกดดันจากพลังจิตใจของยอดฝีมือพวกนี้เป็นเวลานานก็จะมีประโยชน์ในการทะลวงพลังจิตใจ”
ฟางผิงพยักหน้าเล็กน้อย “นั่นไม่ยุติธรรมเลย นึกไม่ถึงว่าจะห้ามคุณ รังแกคนเกินไปแล้ว ใช่สิ อาจารย์ หัวใจยอดฝีมือระดับสูงแพงหรือเปล่า?”
จู่ๆ หลู่เฟิ่งโหรวก็หันมามองเขาแวบหนึ่ง ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า “ฉันยังไม่กล้าคิดเรื่องพวกนี้ด้วยซ้ำ เธออยากรนหาที่ตาย?”
——————