ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 283 ไม่กลัวฟางผิง (1)
ตอนที่ 283 ไม่กลัวฟางผิง (1)
ฟางผิงเดินออกมาจากฝ่ายบริการพร้อมกับคะแนนที่เพิ่มขึ้นมาหนึ่งพันคะแนน
รางวัลของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ไม่ใช่น้อยๆ มหาวิทยาลัยใจกว้างพอเช่นกัน
แต่ตอนนี้ตาเฒ่าหลี่ไม่อยู่ที่ฝ่ายบริการ ฟางผิงจึงไม่ได้ไปแลกเปลี่ยนยาบำรุง เก็บหนึ่งพันคะแนนไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
รับหนึ่งพันคะแนนมา ค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้นอีกยี่สิบล้าน
ตอนนี้จึงแตะถึงสี่สิบสองล้าน ชดเชยการสิ้นเปลืองก่อนหน้านี้กลับมาได้พอดี
ส่วนคะแนนก็รวมได้สามพันคะแนนแล้ว ก่อนหน้านี้ที่ถ้ำใต้ดิน เพราะข้อมูลเรื่องเมืองตงขุยจึงได้รางวัลมาสองพันคะแนน ฟางผิงยังไม่ได้ใช้เหมือนกัน
นึกมาถึงตรงนี้ ฟางผิงอดคิดขึ้นมาไม่ได้ สงครามทางถ้ำใต้ดินสิ้นสุดแล้ว ผ่านไปอีกไม่กี่วันหน่วยทหารจะสรุปผลการรบออกมา เขาที่อยู่เฝ้าเมืองวันนั้นก็ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ไปไม่น้อยเช่นกัน คงจะมีเงินอีกก้อนเข้ากระเป๋าสินะ?
แต่เรื่องนี้ยังไม่รีบ ครั้งนี้หน่วยทหารเกิดความสูญเสียอย่างหนัก รอพวกเขาจัดการเรื่องราวทุกอย่างแล้วค่อยว่ากันอีกที
ส่วนการทะลวงด่านครั้งนี้ ทางสระปราณเขาจ่ายไปห้าล้าน ซื้อยาป้องกันอวัยวะภายในอีกหลายเม็ด เสียไปกว่าหกล้าน
ตอนนี้ในมือฟางผิงยังมีเงินสดหกสิบห้าล้าน
เงินสดหกสิบห้าล้าน คะแนนสามพันคะแนน ยาฟื้นคืนชีวิตหนึ่งเม็ด ยาระเบิดปราณสามเม็ด ดาบกวนอูหนึ่งเล่ม เกราะหนังหนึ่งตัว รองเท้าบูททหารหนึ่งคู่ นี่เป็นทรัพย์สินทั้งหมดที่ฟางผิงมีอยู่ตอนนี้ หากไม่นับรวมกับบริษัท
หากรวมบริษัทกับทรัพย์สินทั้งหมดแปลงเป็นมูลค่าเงิน ตอนนี้เกรงว่าฟางผิงจะมีทรัพย์สินกว่าสามสี่ร้อยล้านแล้ว
“เวลาหนึ่งปีเท่านั้น”
อันที่จริงฟางผิงภาคภูมิใจไม่น้อย ตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีก่อน เขาแทบจะมาเซี่ยงไฮ้ด้วยมือเปล่า มีทรัพย์สินทั้งหมดไม่กี่ล้าน
ปัจจุบันเวลาผ่านไปหนึ่งปี
ทั้งหนึ่งปีนี้เขาฝึกวิชาจนถึงขั้นสี่ตอนกลาง สะสมทรัพย์สินได้กว่าสี่ร้อยล้าน ในหมู่นักศึกษานอกจากตัวเองจะหาเงินได้มากที่สุดแล้ว ยังก้าวหน้าไวที่สุดด้วย
“ถามหน่อยว่าใต้หล้านี้ ใครยังจะเป็นคู่แข่งฉันได้อีก!”
ฟางผิงทิ้งคำพูดที่อาจหาญไว้ประโยคหนึ่ง อาจารย์ที่บังเอิญผ่านทางมาถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้าง
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่มั่นใจถึงขนาดนี้?
—
ฟางผิงทะลวงด่านสำเร็จในวันที่ 18 สิงหาคม
วันที่ 20 สิงหาคม พวกนักศึกษาเริ่มทยอยกลับมหาวิทยาลัยแล้ว
คนที่ยังไม่กลับก็ได้รับประกาศจากมหาวิทยาลัยแล้วเช่นกัน ก่อนวันที่ยี่สิบสามสิงหาคม หากไม่มีเหตุสุดวิสัยให้กลับมหาวิทยาลัยทั้งหมด รวมถึงนักศึกษาบางส่วนที่กำลังฝึกฝนประสบการณ์ในพื้นที่อื่นๆ ด้วยเช่นกัน
อธิการบดีเฒ่าตายในสงครามถ้ำใต้ดิน ตอนนี้อาจารย์ของเซี่ยงไฮ้ออกมาจากถ้ำใต้ดินแล้ว มหาวิทยาลัยต้องเผชิญหน้ากับการผลัดเปลี่ยนครั้งใหญ่
มหาวิทยาลัยที่แตกต่างจากทั่วไปมีการเปลี่ยนแปลงผู้นำ ไม่จำเป็นต้องให้นักศึกษาเป็นพยาน
แต่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เป็นมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ นักศึกษาและอาจารย์ไม่ได้มีความสัมพันธ์แค่อาจารย์กับลูกศิษย์ แต่ยังเป็นเพื่อนร่วมรบ ทั้งอาจจะเป็นเพื่อนตายที่มอบความไว้วางใจในอนาคต
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้จึงต้องเข้ามามีส่วนร่วมกับการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งบางอย่างเช่นกัน
คล้อยหลังจากที่นักศึกษาทยอยกลับมา ในที่สุดมหาวิทยาลัยก็คึกคักขึ้น ไม่มีความเงียบเหงาเหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
—
หลายวันมานี้ ฟางผิงไม่ได้ว่างเช่นกัน
ไปหาหลู่เฟิ่งโหรวแล้ว ฟางผิงก็เริ่มฝึกวิชาเคลื่อนที่ในอากาศ ส่วนเคล็ดวิชาระดับสูง ตอนนี้ฟางผิงยังไม่ได้เรียน
ข้าวต้องค่อยๆ กินทีละคำ แม้ว่าจะมีเคล็ดวิชาระดับสูง แต่ไม่ได้หมายความว่าระดับกลางจะกลายเป็นสิ่งไร้ประโยชน์แล้ว
ดาบคลั่งโลหิตรวมเจ็ดดาบเป็นหนึ่งของเขายังไม่ชำนาญพอ หากชำนาญแล้ว รวมทั้งควบคุมพลังระเบิดของขั้นสี่ได้ คนที่ฝึกเคล็ดวิชาระดับสูงเบื้องต้นพวกนั้นก็ไม่อาจเทียบได้เช่นกัน
เคล็ดวิชาระดับสูงปล่อยปราณออกมาข้างนอกแล้วยังไง?
แค่ปล่อยปราณออกมาข้างนอกไม่มีประโยชน์อะไร ในถ้ำใต้ดินมือธนูระยะไกลคนนั้นปล่อยปราณออกมาข้างนอกได้เหมือนกัน แต่ก็ยังถูกฟางผิงฆ่าไม่ใช่หรือไง ควบคุมได้อย่างลึกล้ำต่างหากถึงจะเป็นความหมายที่แท้จริงของเคล็ดวิชาต่อสู้
สำหรับวิชาเคลื่อนที่ในอากาศ ฟางผิงก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว
เขาสำเร็จวิชาเคลื่อนเมฆแล้ว จวงกงก็เข้าสู่สภาวะว่างเปล่านานแล้ว ภายใต้การฝึกสองอย่าง การฝึกวิชาเคลื่อนที่ในอากาศจึงพัฒนาไปไกลเช่นกัน
กระทั่งหลู่เฟิ่งโหรวยังลอบถอนหายใจ ทำไมฟางผิงถึงฝึกวิชาพวกนี้ได้เร็วขนาดนี้ แต่เคล็ดวิชาที่ใช้ต่อสู้อย่างแท้จริงกลับไม่ได้เร็วแบบนี้?
—
เคล็ดวิชาหลอมพลัง…บทอวัยวะภายในและวิชาเคลื่อนที่ในอากาศ เคล็ดวิชาสองอย่างนี้เป็นวิชาหลักที่ฟางผิงฝึกฝนอยู่ตอนนี้
ขณะที่ฝึกวิชา พลังจิตใจและพลังปราณของฟางผิงต่างเพิ่มขึ้นมา
ลองฝึกฝนอวัยวะภายในก่อนหน้านี้ ฟางผิงพบว่าก้าวหน้ารวดเร็วอย่างยิ่ง
แต่ตอนนี้ฟางผิงยังต้องปรับตัวให้เข้ากับขั้นสี่ตอนกลางเป็นหลัก เรื่องหลอมหัวใจไม่จำเป็นต้องรีบ อวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะกลวงทั้งหก หากพูดให้ชัดเจนหน่อย การหลอมหัวใจนั้นยากที่สุด ทั้งยังอันตรายที่สุดด้วย
ดังนั้นจากขั้นสี่ตอนกลางถึงตอนปลายจึงเป็นขั้นตอนที่ค่อนข้างสิ้นเปลืองของทุกคนเช่นกัน ยังไงตอนปลายถึงขั้นสูงสุด อันที่จริงการหลอมอวัยวะอื่นๆ จะเร็วกว่าหัวใจเพียงอย่างเดียวอยู่แล้ว
หลี่หานซงจากปักกิ่ง จากขั้นสี่ตอนปลายถึงขั้นสูงสุด รวมๆ แล้วใช้เวลาสองเดือนกว่าเท่านั้น จะเห็นได้ชัดว่าเร็วขนาดไหน
หวังจินหยางจากตอนกลางถึงตอนปลาย อันที่จริงใช้เวลาไปไม่น้อย แต่ตอนปลายถึงขั้นสูงสุด นั่นเร็วขึ้นแล้ว
วันที่ 1 กรกฏาคม การจัดอันดับประกาศออกมาว่าฟางผิงอยู่ขั้นสามสูงสุด
หวังจินหยางคาดเดาว่าตอนที่ฟางผิงเข้าสู่ขั้นสี่ เขาน่าจะทะลวงขั้นสี่สูงสุดได้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าหวังจินหยางมั่นใจว่าตัวเองจะเข้าสู่ขั้นสี่สูงสุดได้อย่างรวดเร็วเหมือนกัน
—
วันที่ 22 สิงหาคม พวกฟู่ชางติ่งกลับมหาวิทยาลัย
พอพวกเขากลับมา ฟางผิงก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากเลี้ยงข้าว ล้มล้างภาพในหัวของทุกคนอย่างสิ้นเชิง!
—
โรงอาหารชั้นหนึ่ง
ฟางผิงชักชวนทุกคนอย่างกระตือรือร้น เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ทุกคนกินกันตามสบาย ไม่พอสั่งอีกได้!”
ฟู่ชางติ่งถอนหายใจเบาๆ ฉันว่าแล้วคาดหวังว่าฟางผิงจะใจป้ำนั้นเชื่อไม่ได้
โรงอาหารชั้นหนึ่ง อาหารทั่วไปกินฟรีอยู่แล้ว!
ชวนทุกคนกินข้าวแล้ว ฟางผิงก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มไปพลาง “จ้าวเหล่ย นายขั้นสามแล้ว ยินดีด้วย!”
จ้าวเหล่ยพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
“เป็นอัจฉริยะกันทั้งนั้น!”
ฟางผิงถอนหายใจว่า “จ้าวเหล่ยเข้าสู่ขั้นสาม อวิ๋นซีขั้นสาม ฟู่ชางติ่งก็ขั้นสามแล้วเหมือนกัน หยางเสี่ยวม่านขายหน้าไปอยู่บ้าง ขั้นสองสูงสุด เสวี่ยเหมยแทบจะไล่ตามทันแล้ว”
หยางเสี่ยวม่านก้มกัดน่องไก่อย่างเคียดแค้น ไม่ได้เข้าขั้นสามแล้วมันยังไง ขัดหูขัดตานายหรือไง ถึงกับต้องพูดออกมาให้ได้!
“ถังซงถิงขั้นสองตอนปลายแล้ว ขั้นสูงสุดยังขาดอีกนิด แต่เร็วมากแล้วเหมือนกัน”
“พวกจินเหล่ยก็ใกล้ขั้นสองตอนปลายแล้ว พยายามหน่อย ทะลวงขั้นสามไวๆ รุ่นของพวกเรานี้แข็งแกร่งกว่ารุ่นของพวกเซี่ยเหล่ยเยอะเลย ตอนที่พวกเราเข้ามหาวิทยาลัย รุ่นของพวกเขามีขั้นสามหรือเปล่าล่ะ? รุ่นพวกเราตอนนี้มีตั้งสามคน กว่านักศึกษาใหม่จะเข้ามายังเหลืออีกหลายวัน บางทีจ้าวเสวี่ยเหมยอาจทะลวงได้เหมือนกัน”
ฟางผิงเผยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “รุ่นของจางอวี่ก็ไม่ไหวเหมือนกัน เข้าเรียนปีก่อน รุ่นพี่ปีสี่ยังมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้า นั่นถึงจะเรียกว่าแข็งแกร่ง แต่ปีสี่รุ่นนี้ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สูงสุดเลยสักคน เฉินเหวินหลงไม่รู้ว่าทะลวงได้แล้วหรือยัง”
“จะว่าไปแล้ว ยังคงเป็นรุ่นพวกเราที่แข็งแกร่งที่สุด ถึงเวลาเปลี่ยนภาพลักษณ์ของมหาวิทยาลัยแล้ว”
ฟู่ชางติ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นายพูดมาตรงๆ ตกลงอยากจะทำอะไรกันแน่ อีกอย่างนายเปิดเผยมาเลยดีกว่าว่านายทะลวงขั้นสี่แล้ว จำเป็นต้องนับขั้นสามออกมาทีละคนด้วยหรือไง กลัวจะไม่มีใครถามว่าทำไมถึงไม่นับนายรวมไปด้วยล่ะสิ”
ฟางผิงเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “อย่าพล่ามให้มาก ฉันเป็นคนตื้นเขินแบบนั้นที่ไหน? แม้ฉันจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตอนกลาง แต่ฉันเคยพูดเรื่องนี้กับข้างนอกหรือเปล่าล่ะ?”
คนทั้งโต๊ะเงียบกริบทันที!
เคยเห็นคนเสแสร้งมาแล้ว แต่ไม่เคยเห็นใครเสแสร้งเท่าฟางผิงมาก่อน เป็นฝ่ายเรียกทุกคนมารวมตัวกัน จากนั้นก็ทำเป็นคุยโว!
“ตอนกลาง?”
คนอื่นๆ ไม่ให้ความร่วมมือ เฉินอวิ๋นซีกลับอดเอ่ยออกมาไม่ได้ เอ่ยเสียงเบา “นายบอกว่านายทะลวงขั้นสี่ตอนกลางแล้ว?”
——————–