ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 285-2 ตกลงไปยืมเงินตั้งแต่ตอนไหน (2)
ตอนที่ 285 ตกลงไปยืมเงินตั้งแต่ตอนไหน (2)
“เฮ้อ!”
ในหมู่อาจารย์มีคนถอนหายใจเบาๆ
จางอวี่แพ้แล้ว
แทบจะถูกฟางผิงอัดฝ่ายเดียว ไม่มีแรงโต้ตอบเลยสักนิด
ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ จางอวี่ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น เขาเข้าสู่ขั้นสี่ตอนกลาง ระยะห่างจากตอนปลายอยู่อีกไม่ไกลเช่นกัน
แต่พลังจิตใจเขาไม่แข็งแกร่งพอ แม้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่จะสัมผัสถึงพลังจิตใจไม่ได้ แต่ยังคงมีการคงอยู่ของพลังจิตใจ
ทว่าพลังจิตใจของจางอวี่กลับไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่ แม้จะสังหารคนในถ้ำไปไม่น้อย ไอสังหารเข้มข้น แต่ตอนนี้ยังคงถูกฟางผิงควบคุมอย่างสิ้นเชิง
ตอบสนองไม่ทัน ทำได้แค่เป็นฝ่ายถูกซ้อมเท่านั้น
ตอนนี้ฟางผิงไม่ได้ใช้กระบวนท่าสังหาร แต่เจ็ดดาบรวมเป็นหนึ่ง แม้จะไม่ได้ระเบิดปราณมากมาย จางอวี่ก็ต้านได้ไม่นานอยู่ดี
—
“รุ่นพี่จาง แลกเปลี่ยนความรู้เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องทำถึงขั้นนี้!”
ฟางผิงเห็นจางอวี่ถูกตัวเองฟันไปหลายสิบดาบ กลับไม่เผยท่าทีจะถอนตัวออกจากสนามแม้แต่น้อย จึงรู้ว่าเขาคงไม่เป็นฝ่ายยอมแพ้ก่อน
ครู่ต่อมาฟางผิงไม่คิดชักช้าอีก
ทั้งสองมือปรากฏแสงสีแดง ระเบิดเสียงคำราม ก่อนจะซัดฝ่ามือออกไปอย่างรวดเร็ว!
‘ปัง!’
จางอวี่ทิ้งน้ำหนักเท้าลงกับพื้น สนามหญ้าถูกเหยียบจนเกิดหลุมลึก ถอยหลังไปไม่หยุดหย่อนติดต่อกันกว่าสิบก้าว มุมปากของจางอวี่มีเลือดไหลออกมาทันที ย้อมสนามหญ้าใต้ฝ่าเท้าจนกลายเป็นสีแดง
หลุดออกมาจากการควบคุมพลังจิตใจของฟางผิงได้ ตอนนี้จางอวี่มีสติเต็มเปี่ยม แววตากลับซับซ้อนอย่างเห็นได้ชัด
พลังจิตใจของฟางผิงแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เลย เจอกับระดับเดียวกันแทบจะถูกควบคุมอย่างสิ้นเชิง ไม่อาจโต้ตอบได้
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตอนปลาย เกรงว่าอาจจะถูกควบคุมเช่นกัน
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สูงสุดหลอมอวัยวะภายในแล้ว ร่างกายควบคุมด้วยตัวเอง บางทีคงไม่ถึงกับถูกควบคุมเช่นนี้ แต่ก็อาจได้รับผลกระทบด้วย
เจอกับผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังจิตใจแข็งแกร่งแบบนี้…ยากจะต้านทานจริงๆ
แน่นอนว่าหากเป็นคนอย่างหลี่หานซงคงทำได้ นอกจากเขาจะหลอมอวัยวะภายในสำเร็จ ยังหลอมกะโหลกแล้ว พลังจิตใจเล็กน้อยนี้ของฟางผิงแทบไม่อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถของเขาได้ ทั้งควบคุมเขาไม่ได้เช่นกัน
“ฉันแพ้แล้ว”
จางอวี่ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไร แค่เสียดายอยู่บ้างเท่านั้น
เดิมทีเขาก็ไม่ได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่กลับถูกฟางผิงเอาชนะซะแล้ว ตั้งแต่ต้นจนจบแทบจะถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียวจึงเสียดายอยู่เล็กน้อย
พลังต่อสู้ของฟางผิง เขาแทบไม่เคยเห็นมาก่อน
น่าเสียดาย ฟางผิงไม่ยินดีที่จะใช้พลังต่อสู้กับเขาเพียงอย่างเดียว อันที่จริงพลังจิตใจก็ถือว่าเป็นการแสดงพลังต่อสู้เช่นกัน ตอนนี้คร่ำครวญอะไรก็เป็นเพียงเรื่องน่าขำขันเท่านั้น
“ขอบคุณที่ออมมือ!”
ฟางผิงประสานมือคารวะ ก่อนจะหันไปมองทุกคน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ใครอยากประลองกับฉัน เข้ามาตอนนี้ได้เลย”
ฉินเฟิ่งชิงอยากลองอยู่บ้าง เฉินเหวินหลงกลับลังเลอย่างเห็นได้ชัด
ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินเฟิ่งชิงก็ตะโกนว่า “รออีกไม่กี่วันฉันจะมาประลองนาย!”
สาเหตุที่ต้องรออีกไม่กี่วันเพราะเขายังฝึกเคล็ดวิชาระดับสูงไม่สำเร็จ
นี่หมายความว่าถ้าเขาประลองกับฟางผิง ทำได้เพียงต่อสู้ประชิดตัวเท่านั้น
หากต่อสู้ประชิดตัว เขาก็ต้องถูกผลกระทบจากการสั่นสะเทือนจิตใจ
แต่หากสำเร็จเคล็ดวิชาระดับสูง เขาจะสามารถต่อสู้กับฟางผิงระยะไกลได้ ไอดาบที่พุ่งพวยนั้นวัดกันที่การควบคุมเคล็ดวิชาต่อสู้อย่างแท้จริง ความแข็งแกร่งของปราณ ความเร็วต่ำและสูง
เรื่องพวกนี้ฉินเฟิ่งชิงไม่แพ้ฟางผิง
แต่ตอนนี้ฉินเฟิ่งชิงไม่มั่นใจอยู่บ้าง ตัวเองจะได้รับผลกระทบหรือเปล่า หากเป็นเหมือนกับจางอวี่แทบจะยืนให้อีกฝ่ายอัด นี่ไม่ใช่สไตล์ของเขา
ผู้ที่ยากจะต่อกรสองคนจากสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ เซี่ยเหล่ยพ่ายแพ้ในชั่วพริบตา ฉินเฟิ่งชิงเป็นฝ่ายปฏิเสธก่อน
ตอนนี้คนของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็ตกอยู่ในความเงียบเช่นกัน
เฉินเหวินหลงมองจางอวี่แวบหนึ่ง ลังเลอยู่พักใหญ่ ก่อนจะชักเท้ากลับที่เดิม
เขาไม่อาจอยู่ในมหาวิทยาลัยได้ตลอด ตอนนี้แม้จะต่อสู้กับฟางผิง เอาชนะอีกฝ่ายได้ นั่นแล้วยังไง?
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้อยากได้ผู้แข็งแกร่งมาควบคุมดูแล เขาไม่ยินดีที่จะรั้งตัวอยู่ งั้นก็อย่าประลองกับฟางผิงเลยดีกว่า
—
ไม่มีคนท้าประลอง
เซี่ยเหล่ยพ่ายแพ้ จางอวี่แทบจะถูกอัดอยู่ฝ่ายเดียว ฉินเฟิ่งชิงยอมแพ้ เฉินเหวินหลงไม่ลงสนาม
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนอื่นๆ อย่างเช่นพวกเหลียงเฟิงหวา ด้านหนึ่งเป็นเพราะเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสี่ อีกด้านพวกเขาไม่คิดว่าตัวเองสามารถเอาชนะจางอวี่ได้อย่างง่ายดายจึงไม่เอ่ยอะไรออกไป
อู๋ขุยซานไม่ได้มองฟางผิง เอ่ยว่า “มีใครจะท้าประลองหรือเปล่า?”
ผ่านไปไม่กี่วินาที เห็นด้านล่างเวทียังคงเงียบ อู๋ขุยซานก็มองไปทางจางอวี่อีกครั้ง “จางอวี่ เธอมีอะไรอยากพูดหรือเปล่า?”
จางอวี่เช็ดคราบเลือดที่มุมปาก ส่ายหน้าเบาๆ
“ฟางผิงอยากเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ นักศึกษาทุกคนมีความเห็นยังไงบ้าง?” อู๋ขุยซานกวาดสายตามองนักศึกษาทั้งหมด
ในฝูงชนนั้น ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสองบางส่วนแทบไม่มีอำนาจในการพูด
รุ่นของฟางผิง ฟู่ชางติ่งเอ่ยด้วยเสียงดังว่า “พวกเราไม่คัดค้าน!”
ฟู่ชางติ่งเป็นตัวแทนเอ่ยปากให้ปีสอง คนอื่นๆ ไม่โต้แย้งอะไรเช่นกัน
“ไม่คัดค้าน!”
เหลียงหวาเป่าที่เพิ่งทะลวงขั้นสามตอนปลายก็เอ่ยด้วยเสียงดังเช่นกัน
ทะลวงขั้นสามตอนปลายตอนปีสามถือว่าเป็นหนึ่งในคนที่แข็งแกร่งแล้ว
“ไม่คัดค้าน!”
เย่ฉิงเอ่ยสมทบ
“ไม่มีใครคัดค้านเลยใช่หรือเปล่า?”
อู๋ขุยซานถามออกมาอีกครั้ง
ในฝูงชนมีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าใครเอ่ยเสียงเบาว่า “ฟางผิงลงมือโหดเหี้ยมกับเพื่อนนักศึกษาเกินไป ปีหนึ่งเคยสังหารนักศึกษามหาวิทยาลัยเดียวกันมาแล้ว!”
อู๋ขุยซานเบนสายตาไปทางฟางผิง
ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “การแลกเปลี่ยนความรู้ของผู้ฝึกยุทธ์ หมัดเท้าไม่มีตา ตอนนั้นฉันเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัย เป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ไม่นาน ฉันไม่มีผู้ฝึกยุทธ์ในครอบครัว ไม่เคยเข้าร่วมการต่อสู้จริงๆ มาก่อน รุ่นพี่ที่ประลองด้วยแข็งแกร่งกว่าฉัน ฉันทำได้แค่ทุ่มเทสุดกำลัง บาดเจ็บหรือตายเป็นเรื่องที่ยากจะหลีกเลี่ยง”
“นั่นก็โหดเหี้ยมเกินไปอยู่ดี!”
ฟางผิงไม่หันหน้าไปด้วยซ้ำ เชิดหน้ามองไปบนเวที “ขึ้นสังเวียนแล้ว จะเป็นหรือตายต้องรับผิดชอบเอาเอง หรือจะให้ผู้อ่อนแอเป็นคนออมมือ? วันนี้อธิการท้าประลองผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก หรือจะให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกคนนั้นออมมือระหว่างการประลอง? ผู้แข็งแกร่งเป็นฝ่ายท้าประลองผู้อ่อนแอ บาดเจ็บหรือตาย…ไม่อาจซักไซ้เอาความได้!”
อู๋ขุยซานได้ฟังก็เงียบไปพักหนึ่ง “นี่เป็นกฎ ขึ้นสังเวียนแล้ว เป็นหรือตายรับผิดชอบเอาเอง”
เวลานี้ด้านล่างเวทีไม่มีเสียงอะไรอีกแล้ว
อู๋ขุยซานเห็นแบบนั้นจึงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “งั้นจางอวี่และฟางผิง ช่วงนี้ส่งมอบงานกันให้เรียบร้อย”
พูดจบ อู๋ขุยซานก็มองฟางผิงด้วยแววตาลึกล้ำ “หวังว่าเธอจะนำพานักศึกษามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไปให้ได้ไกลกว่าเดิม แข็งแกร่งกว่าเดิม อาจารย์และนักศึกษาดูแลมหาวิทยาลัยร่วมกัน พวกเราพยายามไปด้วยกัน!”
“ขอบคุณอธิการ ผมจะไม่ทำให้เซี่ยงไฮ้เสียชื่ออย่างแน่นอน!”
“แยกย้ายได้!”
อู๋ขุยซานตะโกนเสียงดัง สาวเท้าเดินจากไป
ผู้มีตำแหน่งสูงคนอื่นๆ ทยอยเดินออกไปเช่นกัน
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้พูดอะไรกับฟางผิง แต่ยังมองเขาไปแวบหนึ่ง เผยรอยยิ้มบางๆ
พวกนักศึกษาไม่มีใครแสดงความยินดี
จางอวี่ยังอยู่ที่นี่ อดีตประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ถูกเอาชนะจนเสียตำแหน่งไป นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะแสดงความยินดี
หลายคนเผยแววตาซับซ้อนอย่างยิ่ง
ในฝูงชนมีเพียงฉินเฟิ่งชิงที่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เอ่ยเสียงดังว่า “ฟางผิง ตำแหน่งนี้ฉันจะเอาให้นายก่อน อีกไม่กี่วันฉันจะมาเอาคืนอีกที!”
พูดจบฉินเฟิ่งชิงก็สาวเท้าออกไป
ฟางผิงกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ครั้งหน้าจะประลองฉัน ต้องคืนเงินยี่สิบล้านมาก่อน ไม่งั้นฉันจะไม่รับการท้าประลองของนาย!”
ฉินเฟิ่งชิงชะงักฝีเท้า
อาจารย์และนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยอยู่ที่นี่กันหมด ไอ้เวรฟางผิงเอ่ยถึงเรื่องที่เขาติดหนี้เพื่ออะไร?
ทั้ง…เงินยี่สิบล้านมาจากไหนกัน?
ฉินเฟิ่งชิงสังหรณ์ใจไม่ดีอยู่บ้าง เอ่ยเบาๆ ว่า “ครั้งก่อนแค่สิบล้าน…”
“งั้นฉันน่าจะจำผิด สิบล้าน ครั้งหน้าอย่าลืมคืนฉันล่ะ ทุกคนช่วยเป็นพยานด้วย!”
ฟางผิงพูดจบแล้วก็ตะโกนเสียงดังต่อ “เอาล่ะ แยกย้ายกันได้แล้ว สมาชิกสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ตอนเย็นประชุมกัน!”
“ฉัน…”
ฉินเฟิ่งชิงอยากพูดอะไรสักหน่อย ฟางผิงกลับสาวเท้าเดินออกไปแล้ว
“ฉัน…”
ฉินเฟิ่งชิงก่นด่าอยู่พักหนึ่ง กวาดสายตามองคนรอบๆ เอ่ยอย่างโมโห “มองอะไร ฉันไม่ได้ติดเงินเขา!”
จางอวี่ที่บนร่างยังเปื้อนเลือดเดินผ่านเขาจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นายคิดจะเบี้ยวหนี้ฉันก็แล้วไป แต่เบี้ยวหนี้เขา…ยากแล้ว!”
ฟางผิงคนนี้ไม่ใช่คนที่พูดง่ายขนาดนั้น
ฉินเฟิ่งชิงมีโทสะขึ้นมา กัดฟันว่า “ฉันไม่เห็นจำได้ว่าเคยยืมเงินเขา!”
“ตอนที่นายติดเงินฉันก็พูดแบบนี้”
จางอวี่ส่ายหัวเบาๆ ไม่พูดอะไรอีก คนขี้โกงอย่างฉินเฟิ่งชิง เจอกับตัวเองก็แล้วไป แต่คิดจะเบี้ยวหนี้ฟางผิง นั่นยุ่งยากอยู่บ้าง
ทุกคนฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ใครจะเชื่อกัน!
ทั้งสองคนไม่ใช่คนดีอะไร ฟางผิงจงใจเพิ่มเงินขึ้นมาสิบล้าน ฉินเฟิ่งชิงเองตอนนี้ก็ยังไม่อยากคืนเงิน เรื่องนี้ทุกคนล้วนได้ยินเต็มสองหู
“ฉันไม่ได้ติดหนี้ใครจริงๆ…”
ฉินเฟิ่งชิงทำหน้าขุ่นเคือง ครั้งนี้ไม่ได้เบี้ยวหนี้จริงๆ
เขาไม่รู้ว่าจะเถียงข้างๆ คูๆ เปลี่ยนหนี้ฟางผิงเป็นสิบล้านทำไมเหมือนกัน
ทั้งทำถึงขั้นที่ตอนนี้รู้กันทั้งมหาวิทยาลัยแล้ว
“ไม่ได้ติดจริงๆ นะ!” ฉินเฟิ่งชิวพึมพำอีกครั้ง ก่อนจะบ่นกับตัวเองเล็กน้อย “ยังไงก็ไม่ถึงสิบล้าน อาจจะเคยยืมแค่ล้านสองล้าน ฉันลืมไปแล้ว…”
สิบล้านไม่ใช่อยู่แล้ว แค่ล้านสองล้าน…ไม่แน่ใจว่าตัวเองอาจจะลืมไปจริงๆ หรือเปล่า
“ตกลงไปยืมตั้งแต่ตอนไหนนะ?”
ฉินเฟิ่งชิงสะบัดหัว ถอนหายใจเบาๆ สาวเท้าจากไป ไว้ค่อยคิดอีกทีละกัน
——————-