ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 292 ตรวจพลังจิตใจ (1)
ตอนที่ 292 ตรวจพลังจิตใจ (1)
วันเสาร์ที่ 5 กันยายน
อากาศในมหาวิทยาลัยแปรปรวนไม่น้อย เมื่อวานแสงอาทิตย์ยังสว่างสดใส ตอนนี้นอกหน้าต่างกลับมีฝนเม็ดเล็กๆ ตกพร่ำลงมาแล้ว
ใต้ตึกสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีนักศึกษาใหม่กลุ่มหนึ่งกำลังทำความสะอาดอยู่ ระหว่างกวาดพื้นก็บ่นพึมพำ!
“ฟางผิงไม่ใช่คนแล้ว!”
“เมื่อก่อนไม่ได้มีเรื่องแบบนี้ รุ่นของพวกเราโชคร้ายจริงๆ มาเจอตอนที่เขาเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ซะได้”
“นั่นน่ะสิ ก่อนหน้านี้พี่ชายฉันเรียนที่เซี่ยงไฮ้เหมือนกัน ตอนที่เขาอยู่ สบายจะตายไป ตอนนี้กลับแล้วใหญ่ ถึงรุ่นของพวกเรา แค่หอพักยังต้องท้าประลองกัน มหาวิทยาลัยพวกเราก็ต้องทำความสะอาดเอง แค่ถ่มนำลายถูกจับได้ต้องโดยปรับหลายหมื่นอีก ปล้นกันชัดๆ! ที่น่าอนาถกว่านั้นไม่ถึงขั้นหนึ่งยังไม่มีสิทธิ์เลือกอาจารย์”
“หุบปากให้หมด อยากโดนปรับอีกรึไง? อยู่ใกล้หูใกล้ตาขนาดนี้”
ทุกคนทยอยเงียบปากทันที มองไปข้างบนตึกอย่างระมัดระวัง
หลังจากอยู่มหาวิทยาลัยมาหลายวัน พวกเขาต่างยอมรับในชะตากรรม
รุ่นของพวกเขาลำบากจริงๆ ต้องมาเจอกับประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่น่าเชื่อถือ พวกอาจารย์ตอนนี้แทบไม่ยุ่งย่าม เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนให้อยู่ในความรับผิดชอบของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด
—
เสียงนินทาข้างล่างตึก ฟางผิงได้ยินเต็มรูหู แค่นยิ้มว่า “คนพวกนี้จดชื่อไว้ หลังจากนี้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ก็ให้พวกเขามาทำความสะอาด อย่างต่ำสักหนึ่งเดือน ระหว่างที่ยังหาพวกรนหาที่ตายกลุ่มใหม่ไม่ได้ก็ให้เป็นหน้าที่ของพวกเขาต่อไป”
เฉินอวิ๋นซีเห็นใจคนพวกนั้นอยู่บ้าง นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายเองหรือไง?
ตึกสูงไม่กี่ชั้นเงียบสงบขนาดนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนไหนจะไม่ได้ยินบ้าง
ฟางผิงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ถามว่า “ขายคะแนนออกไปหรือยัง?”
ขึ้นชื่อว่าเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ตอนนี้ฟางผิงไม่ทำเรื่องน่าอายอย่างเร่ขายด้วยตัวเองอีกแล้ว
แค่มอบให้คนอื่นไปทำก็เพียงพอแล้ว
สำนักงานของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ก็มีไว้ให้บริการประธานอย่างเขา เรื่องนี้เฉินอวิ๋นซีจะทำยังไง เขาไม่สนใจ แค่ขายได้ก็พอแล้ว
“ขายออกไปแล้ว”
ระหว่างที่เฉินอวิ๋นซีพูดก็ลำบากใจอยู่บ้าง นั่นไม่ใช่การขาย ฟางผิงไม่อยากใช้คำว่า ‘ขาย’ เหมือนกัน
จากคำพูดของฟางผิง นี่เรียกว่าการสนับสนุนด้วยมิตรภาพของ ‘สภากองทุนช่วยเหลือนักศึกษาใหม่เซี่ยงไฮ้’
ลดราคาให้นักศึกษาใหม่ที่มีเงินได้แลกเปลี่ยนด้วยอัตราที่ต่ำกว่ามหาวิทยาลัย
ไม่มีเงินคงไม่แลกอยู่แล้ว
สี่พันหกร้อยคะแนน จะว่าเยอะก็เยอะ จะว่าน้อยก็น้อย
นักศึกษาเกือบสองพันคน คนที่ยินดีใช้เงินแลกคะแนนยังคงมีไม่น้อย ไม่กี่สิบคนก็แลกจนหมดเกลี้ยงแล้ว
เฉินอวิ๋นซีเอ่ยต่อว่า “ขายทั้งหมดได้เงินหนึ่งร้อยยี่สิบห้าล้าน”
ฟางผิงถอนหายใจ พึมพำว่า “ช่วงนี้เสียหายเยอะเกินไปแล้ว ขาดทุนคะแนนไปสิบสามล้าน โดนค่าปรับอีกสิบห้าล้าน ต้องหาวิธีชดเชยสักหน่อย”
ตั้งยี่สิบแปดล้าน!
แต่หลังจากหักเงินค่าปรับออกไปแล้ว เงินเขาก็เหลือห้าสิบล้าน รวมกับเงินที่ขายคะแนนได้อีกหนึ่งร้อยยี่สิบห้าล้าน
ตอนนี้ฟางผิงถือเป็นเศรษฐีคนหนึ่งเช่นกัน
หนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าล้าน!
นอกจากนี้ยังเหลือค่าทรัพย์สินอีกเก้าสิบล้าน
ขายคะแนนออกไปสี่พันหกร้อยคะแนน เพิ่มค่าทรัพย์สินให้ฟางผิงอีกสามสิบสามล้าน หลายวันนี้เขาใช้ค่าทรัพย์สินแค่เล็กน้อยเพื่อบ่มเพาะอวัยวะภายในเหมือนกัน
“เงินเยอะขนาดนี้ควรจะเอาไปทำอะไรดี?”
ฟางผิงพึมพำ อันที่จริงเขาไม่ได้มีโอกาสใช้เงินสดนัก
แต่ค่าทรัพย์สินเก้าสิบล้านเพียงพอทำให้หลอมกะโหลกสำเร็จหรือยัง?
สิ่งที่หลอมยากที่สุดในร่างกายมนุษย์คือกะโหลก
ถึงกระทั่งยากกว่าควบคุมพลังจิตใจซะอีก!
หลอมกะโหลกเป็นเรื่องของขั้นเจ็ด
ปู่ของฟู่ชางติ่ง ตอนแรกบอกว่าฟางผิงเป็นยอดฝีมือกึ่งร่างทอง ในความเป็นจริงคือหลี่หานซงต่างหาก
แน่นอนว่าแม้กะโหลกของหลี่หานซงจะหลอมตั้งแต่เกิด แต่ก็ยังไม่ถูกหลอมถึงไขกระดูก
แต่หลังจากก้าวสู่ขั้นเจ็ดแล้ว สิ่งที่หลี่หานซงจำเป็นต้องทำมีแค่บ่มเพาะพลังจิตใจให้แข็งแกร่งแตะถึงมาตรฐานขั้นแปดเท่านั้น ไขกระดูกทั่วร่างของเขาก็จะเปลี่ยนแปลงโดยธรรมชาติ เข้าสู่ขั้นแปดโดยตรง
ส่วนหวังจินหยางไขกระดูกแปรสภาพเป็นหยก กะโหลกกลับไม่ได้หลอม ดังนั้นแตะถึงขั้นเจ็ด ยังต้องหยุดพักช่วงหนึ่งเพื่อหลอมกะโหลกก่อน
แต่มีโอกาสที่หลอมกะโหลกเสร็จแล้วไขกระดูกจะแข็งแกร่งขึ้นไปอีก ร่างทองมั่นคงกว่าเดิม
จุดนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฟางผิงจะเข้าใจได้อีกแล้ว
ถึงกระทั่งปรมาจารย์บางคนยังอาจไม่รู้ว่าหลังจากที่พวกเขาเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้วจะมีการเปลี่ยนแปลงยังไง
การกลายพันธุ์…เป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ปีนี้เช่นกัน
ตอนนี้ยอดฝีมือที่กลายพันธุ์ยังไม่มีใครก้าวสู่ขั้นปรมาจารย์
“สมองเป็นจุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของผู้ฝึกยุทธ์ต่ำกว่าระดับกลางทุกคน!”
“ถ้าหลอมกะโหลกหรือหลอมจนถึงไขกระดูกแล้ว คนอื่นมองกะโหลกฉันเป็นจุดอ่อน นั่นตายยังไม่รู้จะตายยังไง หลี่หานซงเจ้าหมอนั่นหลอกคนตายไปเท่าไหร่แล้ว?”
หลี่หานซงหลอมกะโหลกโดยกำเนิด ฟางผิงเพิ่งจะรู้ได้ไม่นานเช่นกัน
เพื่อไม่ให้เขาเหลิงเกินไป เมื่อวานหลู่เฟิ่งโหรวเพิ่งจะเตือนเขามาหนึ่งประโยค อย่าได้ประเมินพวกนักศึกษาที่อยู่ในการจัดอันดับขั้นสี่ต่ำเกินไป
เทียบกับพวกเขาแล้ว ฟางผิงมีทั้งข้อดีและข้อเสีย
แม้ว่าจะอยู่ระดับเดียวกัน ฟางผิงก็อาจไม่ได้แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเสมอไป
“ไว้ค่อยไปลองสักหน่อย ใช้ระบบหลอมกะโหลกต้องใช้เงินเท่าไหร่กันนะ…แต่ตอนนี้เอาไว้ก่อนละกัน”
ตอนนี้ฟางผิงยังไม่กล้าทำต่อ
สองวันนี้สภาพร่างกายเพิ่งจะดีขึ้นมาเล็กน้อย
หากหลอมกะโหลกทำให้เขาเสียการควบคุมอีกครั้ง หลู่เฟิ่งโหรวไม่ชำแหละเขา คนอื่นก็ต้องชำแหละอยู่ดี
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนหนึ่งสามารถปลดปล่อยพลังจิตใจได้ ไขกระดูกแปรสภาพเป็นหยก ทั้งยังหลอมกะโหลกกระดูกเสร็จสิ้น
งั้นฟางผิงก็ถือเป็นร่างทองขั้นแปดในเวอร์ชั่นอ่อนแอแล้ว
คนแบบนี้ไม่อาจใช้การกลายพันธุ์มาอธิบายได้แล้ว อย่างน้อยตอนนี้ยังมีพวกหวังจินหยางและหลี่หานซงล้ำหน้าเขาอยู่ แต่ทุกคนต่างมีการเปลี่ยนแปลงแค่บางส่วน หากฟางผิงเกิดการเปลี่ยนแปลงทุกด้านจะดึงดูดความสนใจจากคนอื่นเกินไป
ระหว่างที่คิดฟุ้งซ่านในใจ ฟางผิงก็หันไปเอ่ยว่า “อวิ๋นซี เธอจะทะลวงขั้นสามตอนกลางได้เมื่อไหร่?”
เฉินอวิ๋นซีน้อยเนื้อต่ำใจอยู่บ้าง กระซิบว่า “อย่างน้อยต้องใช้เวลาอีกเดือนสองเดือน”
“งั้นก็หมายความว่าจบเทอมถึงจะมีหวังแตะถึงขั้นสามตอนปลายหรือสูงสุด”
“ไม่รู้ อาจจะทำได้ล่ะมั้ง”
เฉินอวิ๋นซีเอ่ยอย่างหนักแน่นอีกครั้ง “ต้องได้แน่นอน!”
“ถือว่าใช้ได้ บางทีปีสองเทอมหน้าอาจจะสามารถเข้าสู่ขั้นสี่ เทียบกับพวกเซี่ยเหล่ยแล้วแข็งแกร่งกว่าเยอะ รุ่นของพวกเรานี้มีอัจฉริยะกำเนิดขึ้นอย่างไม่ขาดสายจริงๆ!”
ฟางผิงชมตัวเองออกมา เพราะเขาก็คืออัจฉริยะที่เก่งที่สุดในรุ่นนี้
“ไปเถอะ ไปหาอาจารย์กัน ได้ยินว่าอาจารย์เอาของดีกลับมา ไปเปิดหูเปิดตาสักหน่อย”
ฟางผิงไม่พรรณนาให้มากความอีก คนน้อยชมไปก็ไม่มีประโยชน์
คนเยอะหน่อย ทุกคนสรรเสริญเยินยอถึงจะมีความหมาย
เฉินอวิ๋นซีนั้นซื่อบื้อ ไม่รู้จักคำยกยออะไรเลยหรือไง
อย่าง ‘ฟางผิง นายเก่งจริงๆ’ ‘ประธาน นายสุดยอดไปเลย’ ‘สหาย เจ๋งโคตรๆ’ คำพวกนี้จะพูดออกมาสักหน่อยก็ไม่ได้
ตอนนี้เอาแต่ยืนเซ่ออยู่กับที่ หากถูกคนจับไปเรียกค่าไถ่คาดว่าคงจะช่วยคนอื่นนับเงินแน่ๆ
—
บ้านพักหมายเลขแปด
ประตูใหญ่เปลี่ยนเป็นบานใหม่แล้ว
ตอนนี้ลูกศิษย์ของหลู่เฟิ่งโหรวมาถึงกันหมดแล้ว
จ้าวเสวี่ยเหมยเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสาม สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกหนึ่งครั้งอย่างเธอ ใช้เวลาประมาณหนึ่งปีไต่จากขั้นหนึ่งตอนกลางมาถึงขั้นสาม ถือว่าลำบากกว่าฟางผิงมาก
เงินที่ได้จากการขายบริษัทใช้ไปเกือบหมดแล้ว รวมถึงหลู่เฟิ่งโหรวที่ช่วยสนับสนุนไปไม่น้อยเช่นกัน
เพื่อให้ตามทันทุกคน จ้าวเสวี่ยเหมยนั้นกินยาบำรุงราวกับกินลูกอม กินจนบางครั้งฟางผิงยังปวดใจแทนเธอ
เห็นฟางผิงและเฉินอวิ๋นซีเข้าประตูมาพร้อมกัน แววตาของจ้าวเสวี่ยเหมยมืดสลัวอยู่บ้าง ไม่นานก็ฟื้นฟูรอยยิ้มขึ้นมา “ฟางผิง อวิ๋นซี เรื่องของสมาคมจัดการเสร็จแล้วเหรอ?”
ฟางผิงตอบไปทันที “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถ้าไม่ใช่ว่าอยากจะทำให้ทุกคนรู้สึกว่าฉันสมควรได้ห้าร้อยคะแนนนั่น ฉันคิดว่าฉันไม่ไปยังได้เลย”
ทุกคนพากันหัวเราะขึ้นมา
ตอนนี้มีนักศึกษาอยู่ทั้งหมดเจ็ดคน ท่ามกลางนักศึกษาคนอื่นๆ ต่างถือว่ามีฐานะโดดเด่น
เปิดเทอมไม่กี่วันนี้มีหลายคนทะลวงถึงขั้นสามแล้ว
ตอนนี้นักศึกษาขั้นสี่ของเซี่ยงไฮ้มีเก้าคน ขั้นสามห้าสิบหกคน
แต่ลูกศิษย์ของหลู่เฟิ่งโหรวมีขั้นสี่สองคน ขั้นสามห้าคน เป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อเทียบกับลูกศิษย์ของอาจารย์คนอื่น
สิ่งที่น่าตกใจที่สุดคือปีก่อนเธอรับลูกศิษย์สามคน ฟางผิงเข้าสู่ขั้นสี่แล้ว จ้าวเสวี่ยเหมยและเฉินอวิ๋นซีต่างทะลวงขั้นสามเป็นที่เรียบร้อยเช่นกัน
ทุกคนหยอกล้อกันไม่กี่ประโยค หลู่เฟิ่งโหรวก็เดินลงมาจากชั้นบน
ในมือยังถือบางอย่างที่คล้ายหมวกกันน็อก
หลู่เฟิ่งโหรวอารมณ์ดีไม่น้อย ยก ‘หมวกกันน็อก’ ในมือ เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “สถาบันวิจัยประเทศจีนเพิ่งจะทำผลิตภัณฑ์ออกมา เมื่อก่อนถ้าปล่อยพลังจิตใจออกมาไม่ได้ก็ไม่สามารถตรวจสอบ แต่หลายปีมานี้สถาบันวิจัยพัฒนาการตรวจสอบพลังจิตใจมาโดยตลอด ของสิ่งนี้เรียกว่า ‘เครื่องตรวจพลังจิตใจ’ พูดได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่บุกเบิกยุคสมัย! แม้ว่าจะไม่สามารถปล่อยพลังจิตใจ แต่ก็สามารถตรวจสอบพลังจิตใจที่ไม่ได้ออกมาจากคลื่นสมองและความผันผวนอารมณ์ของเธอได้ ฉันใช้ความพยายามอย่างมากกว่าจะขอจากคนของสถาบันวิจัยมาได้ มูลค่าไม่ใช่น้อยๆ…”
หลู่เฟิ่งโหรวภาคภูมิใจอย่างเห็นได้ชัด นี่ไม่ได้เห็นกันง่ายๆ
รวมทั้งที่เธอพูดว่ามูลค่าไม่ใช่น้อยๆ นั่นเพราะราคาของมันสูงลิ่วจริงๆ!
แต่สำหรับ ‘เครื่องตรวจพลังจิตใจ’ หลู่เฟิ่งโหรวชมออกมาอย่างไม่เสียดาย ของสิ่งนี้หากผลักดันใช้ได้จริงๆ หลังจากนี้การบ่มเพาะผู้ฝึกยุทธ์ก็จะมีการกำหนดเป้าหมายแล้ว
ถ้าใช้กันเป็นวงกว้างได้ หากไม่เหนือความคาดหมาย หลังจากนี้การสอบเกาเข่าคงจะมีเกณฑ์ประเมินสองอย่าง ปราณและพลังจิตใจ
ทั้งอาจจะให้ความสำคัญกับพลังจิตใจมากกว่า
เกิดผลิตภัณฑ์แบบนี้ขึ้นมา พูดได้ว่าจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของใครหลายคน รวมถึงทั้งสังคมและโลกใบนี้จะเกิดผลกระทบอันใหญ่หลวงเช่นเดียวกัน
คนที่มีพลังจิตใจแข็งแกร่งโดยกำเนิดอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่กับชีวิตตัวเองเพราะสาเหตุนี้
ส่วนพวกผู้ฝึกยุทธ์ พอรู้ถึงความแข็งแกร่งอ่อนแอของพลังจิตใจตัวเองก็จะสามารถเลือกเดินเส้นทางได้ตรงกว่าเดิมเช่นกัน
คนอื่นๆ ต่างเผยสีหน้าแปลกใจและคาดหวัง ฟางผิงที่ได้ฟังกลับไม่สนใจมากนัก
———————