ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 293-2 บรรยากาศของเซี่ยงไฮ้ไม่ดีเท่าไหร่ (2)
ตอนที่ 293 บรรยากาศของเซี่ยงไฮ้ไม่ดีเท่าไหร่ (2)
หลู่เฟิ่งโหรวได้ฟังก็พยักหน้าว่า “ถือว่าไม่เลว แต่อย่าได้ทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ์เร็วเกินไป ก่อนหน้านี้ที่เธอพูดไปนั้นถูกแล้ว หากกระดูกยังเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ทะลวงด่านเร็วเกินไปจะทำให้กระดูกคงที่ได้จริงๆ ผู้หญิงยังพอว่า ผ่านไปปีสองปีก็คงที่แล้ว อู๋ขุยซานตัวเตี้ยก็เพราะปีนั้นกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระหว่างที่ร่างกายยังเติบโตไม่เต็มที่”
พวกฟางผิงหัวเราะแห้งๆ ออกมา ยอดฝีมือร่างทองขั้นแปด คุณอย่าเอามาพูดเหน็บแนมแบบนี้ได้หรือเปล่า วันไหนพวกเขาฟังจนชินหูแล้วเผลอหลุดพูดต่อหน้าอู๋ขุยซานจะถูกตีตายเอา
แต่จะว่าไปแล้ว…อู๋ขุยซานเหมือนจะไม่ค่อยสูงจริงๆ ผู้ฝึกยุทธ์มีปราณอุดมสมบูรณ์ แม้ว่าจะมีความแตกต่างของทางเหนือและทางใต้ แต่ปกติผู้ฝึกยุทธ์ทางใต้จะสูงหนึ่งร้อยเจ็ดสิบห้าเซนติเมตรขึ้นไป อู๋ขุยซาน…น่าจะไม่ถึงสินะ?
หลู่เฟิ่งโหรวไม่ได้พูดถึงอู๋ขุยซานอีก อาศัยประเด็นนี้คุยต่อ “หลายปีนี้ปราณของทุกคนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พื้นฐานร่างกายก็แข็งแกร่งขึ้น เป็นเรื่องดีและแย่ในเวลาเดียวกัน”
ทุกคนเห็นด้วย ประชาชนทุกคนมีพื้นฐานร่างกายแข็งแกร่งขึ้น
แต่ที่มาของความแข็งแกร่งกลับเป็นเพราะการเพิ่มขึ้นของทางเดินถ้ำใต้ดิน ทางเดินทำให้เกิดพลังงานอนุภาคกระจัดกระจาย นี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พื้นฐานร่างกายทุกคนแข็งแกร่งขึ้น
นักศึกษาใหม่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรื่องดี กลัวก็แต่ว่าจะไม่มีเวลาให้พวกเขาได้เติบโตมากนัก
“ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่พวกเรากังวลได้”
หลู่เฟิ่งโหรวส่ายหัว ไม่ใช่ปรมาจารย์ กังวลเรื่องพวกนี้ไปก็เปล่าประโยชน์
“ฟางผิง ตอนนี้เป้าหมายหลักของเธอไม่ใช่ฝึกวิชาเพื่อเลื่อนขั้น แต่เป็นการย่อยพลังให้มั่นคง เรื่องหลอมหัวใจไม่ต้องรีบ ปล่อยให้ค่อยเป็นค่อยไป เคลื่อนไหวในอากาศ เธอฝึกได้ดีเหมือนกัน แต่เคล็ดวิชาระดับสูงยังต้องเรียนอีกหลายอย่าง ช่วงเวลานี้ฝึกฝนเคล็ดวิชาระดับสูงเป็นหลัก”
ฟางผิงพยักหน้า
หลู่เฟิ่งโหรวพูดถึงคนอื่นๆ ต่อ เป้าหมายของจ้าวเสวี่ยเหมยและเฉินอวิ๋นซีคือรีบเข้าสู่ขั้นสามตอนปลาย เคล็ดวิชาต่อสู้เป็นเรื่องรอง หลิวเมิ่งเหยาและเหลียงหวาเป่ากลับต้องให้ความสำคัญทั้งสองอย่างพอๆ กัน
เหลียงเฟิงหวาที่อยู่ขั้นสี่ ตอนนี้ยึดการเชื่อมสะพานฟ้าดินเป็นหลัก
สุดท้ายหลู่เฟิ่งโหรวค่อยมองไปที่เย่ฉิง ชะงักไปพักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “เย่ฉิง ตอนนี้เธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดแล้ว เคยคิดจะเดินสายประลองจนไร้คู่ต่อสู้บ้างหรือเปล่า?”
เย่ฉิงเงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยว่า “อาจารย์ ผมยังขาดความมั่นใจอยู่บ้าง…”
ฟางผิงกลับเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “รุ่นพี่เย่ อันที่จริงไม่ได้ยาก ผู้ฝึกยุทธ์ด้านนอกนั้นมีแต่พวกขี้โม้ ผมสู้ห้าคนด้วยตัวคนเดียวยังได้…ผมแนะนำว่าพี่ไปสักรอบ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร!”
เย่ฉิงใบหน้าดำคล้ำ นายเห็นฉันเป็นเด็กสามขวบหรือไง?
หลู่เฟิ่งโหรวกลับไม่บังคับ หัวเราะว่า “แล้วแต่เธอ ไม่ว่าจะไปหรือไม่ไป ควรจะสั่งสมประสบการณ์ในขั้นสามสูงสุดสักหน่อย ไม่หวังให้เธอทะลวงสะพานฟ้าดินหลายสายในครั้งเดียว แต่สองสามสายในครั้งเดียว ฉันคิดว่าน่าจะทำได้”
ความสามารถของเย่ฉิงไม่ใช่น้อยเช่นกัน รวมถึงพลังจิตใจก็ไม่อ่อนด้อย
เขาเพิ่งจะขั้นสาม พลังจิตใจแตะถึงสามร้อยห้าสิบเฮิรตซ์แล้ว ทะลวงขั้นสี่อาจจะถึงสี่ร้อยเฮิรตซ์ก็ได้
เทียบกับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปแล้ว เย่ฉิงแข็งแกร่งมากกว่า
ชี้แนะแนวทางแก้ไขปัญหาให้แต่ละคนแล้ว หลู่เฟิ่งโหรวก็รั้งตัวฟางผิงไว้คนเดียว
—
เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนหลู่เฟิ่งโหรวจะเอ่ยว่า “มีเวลาว่างไปห้องฝึกเคล็ดวิชาชั้นสองสักหน่อย”
ฟางผิงตระหนักถึงอะไรบางอย่างทันที ขำแห้งว่า “อาจารย์ นี่ไม่ดีเท่าไหร่มั้งครับ ผมจะถูกปรมาจารย์สามคนตีตายเอา…”
หลู่เฟิ่งโหรวชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “ช่างเถอะ ไม่มีแผนที่ฉันก็หาเจอได้เหมือนกัน”
ฟางผิงเอ่ยทันที “คุณจำเป็นต้องรีบขนาดนี้เลยหรือไง แม้จะไม่ไปแหล่งแร่พลังงาน ผมก็คิดว่าคุณจะทะลวงเป็นปรมาจารย์ในเร็วๆ นี้ได้อยู่ดี…”
หลู่เฟิ่งโหรวไม่พูดมากอีก โบกไม้โบกมือเป็นนัยให้เขาออกไป
ฝืนรวมจิงชี่เฉินเป็นหนึ่งอาจจะไม่ราบรื่นเสมอไป ทั้งหมายความว่าหลังจากที่พลังจิตใจของเธอจับต้องได้ อาจจะไม่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
แน่นอนว่าตอนนี้เป็นเพียงการคาดเดา
ถึงเวลานั้นค่อยว่ากันเถอะ
—
ออกมาจากทางหลู่เฟิ่งโหรวแล้ว หลังจากนั้นหลายวันฟางผิงก็ฝึกฝนเคล็ดวิชาต่อสู้พร้อมกับเข้าเรียนคลาสฝึกภาษาที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้น
มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษามาจากกระทรวงการศึกษา
มนุษย์และมนุษย์ถ้ำทำสงครามกันมาหลายปี ทั้งสองฝ่ายกลับไม่อาจสื่อสารกันได้
แม้จะจับเชลยพวกถ้ำมา คนพวกนั้นก็ไม่อาจพูดอะไร ฝืนใช้พลังจิตใจสะกดจิตหรือกดดัน ยอดฝีมือของถ้ำจะเข้าสู่สภาวะสมองตายทันที
แต่เผชิญหน้ากันมาหลายปีขนาดนี้ต้องมีการพัฒนาอยู่แล้ว
ในห้องเรียน
ศาสตราจารย์เฒ่าผมสีดอกเลาอธิบายให้ทุกคนฟังอย่างละเอียดถี่ถ้วน
ห้องเรียนนั้นนอกจากนักศึกษาแล้วยังมีอาจารย์อยู่ไม่น้อย
รวมถึงหัวสิงโตด้วย!
ฟางผิงนั่งอยู่ด้านข้างหัวสิงโต เห็นหัวสิงโตเขียนลงในสมุดอย่างใจจดใจจ่อ บางครั้งยังหน้านิ่วคิ้วขมวดก็อดขำไม่ได้
ฉวยโอกาสที่ศาสตราจารย์เฒ่าพักดื่มชา ฟางผิงกระซิบว่า “อาจารย์ถัง อันที่จริงบางครั้งเราไม่จำเป็นต้องฝืนเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบก็ได้ เจอก็ฆ่าให้ตายเท่านั้น คุณตะบี้ตะบันจำ ผมคิดว่าไม่มีประโยชน์เท่าไหร่…”
ถังเฟิงหน้าดำเป็นก้นหม้อ ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มอีกครั้ง “หรือคุณกำลังจะกลายเป็นปรมาจารย์แล้ว ปรมาจารย์มีพลังจิตใจแข็งแกร่ง ฟังครั้งเดียวก็จำได้แล้ว แม้ผมจะไม่ใช่ปรมาจารย์ แต่ว่า..อาจารย์ ผมฟังรอบเดียวก็จำได้เกือบหมดแล้ว ถ้าคุณมีตรงไหนที่ไม่เข้าใจ ผมสามารถสอนคุณได้”
“ฟางผิง!”
ถังเฟิงใบหน้าดำคล้ำ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “เธอรู้ถึงผลลัพธ์ที่ยั่วโมโหผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุดหรือเปล่า?”
ฟางผิงร้องทุกข์ว่า “อาจารย์ ดูคุณพูดเข้า ผมยั่วโมโหคุณที่ไหน ผมเป็นคนแบบนั้นหรือไง? ผมเห็นว่าคุณเรียนอย่างกลัดกลุ้ม จะช่วยขจัดความทุกข์ยากเท่านั้น ผมถึงได้ไม่หวงเวลาอยากชี้แนะให้คุณไง…”
“พล่ามให้มันน้อยๆ หน่อย!”
ถังเฟิงถลึงตามองเขา ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “การแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งนั่นของเธอจะเริ่มเมื่อไหร่?”
“ใกล้แล้วครับ เดือนหน้าไม่ได้ แต่เดือนพฤศจิกายนน่าจะจัดได้แล้ว”
“สมัครให้ถังเหวินด้วย”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถังเหวินเพิ่งจะขั้นหนึ่งตอนปลาย…”
“ไม่นานจะขั้นหนึ่งสูงสุดแล้ว”
ระหว่างที่พูดถังเฟิงก็เอ่ยต่อ “กลับไปจัดสรรภารกิจให้ถังเหวินมากหน่อย การแข่งขันแลกเปลี่ยนไม่ต้องให้เธอไป ช่วงนี้ภารกิจกวาดรังผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตมีไม่น้อย จัดสรรให้เธอสักหน่อย”
ฟางผิงเลิกคิ้ว หัวสิงโตจะขุดหลุมให้ลูกสาวตัวเองหรือไง?
“ไว้ดูกันอีกที อาจารย์ถัง เป็นลูกสาวของคุณ ผมคิดว่าคงจะลำบากไม่น้อย”
ถังเฟิงแค่นเสียงในลำคอเบาๆ ชำเลืองมองเขา เจ้าเด็กนี้ใจกล้าไม่ใช่เล่น
ไม่สนใจฟางผิงอีก เห็นศาสตราจารย์เฒ่าหมดเวลาพักแล้ว ถังเฟิงก็ตั้งใจเรียนต่อ
ฟางผิงไม่พูดต่อแล้วเช่นกัน ยังไงก็ต้องตั้งใจเรียนเป็นหลัก เรียนภาษาถ้ำไว้ อย่างน้อยก็จะไม่ถึงกับถูกหลอกเอาได้
อย่างเช่นว่าครั้งหน้ายั่วโมโหผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำ เขาก็รู้แล้วว่าควรพูดยังไง
“หย่านีเอ้าซี…”
ฟางผิงพูดทับศัพท์อย่างแปร่งๆ ไม่กล้าพูดยั่วหัวสิงโต แต่ยักคิ้วจ้องไปทางจ้าวเหล่ยที่อยู่ด้านข้าง
จ้าวเหล่ยไม่มองเขาเช่นกัน นายจะยั่วก็ยั่วไป ไม่สนใจซะอย่าง นายยั่วไปก็ไม่มีประโยชน์
รอเขาพัฒนาความสามารถเพิ่มขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นายยั่วยุ ฉันก็จะอัดไอ้เวรอย่างนายให้ตาย!
“เฮ้อ คันไม้คันมือจริงๆ”
ฟางผิงถอนหายใจ เมื่อก่อนจ้าวเหล่ยนั้นทำตัวเหมือนเม่น ไม่จำเป็นต้องยั่วยุ เหน็บแนมไม่กี่ประโยค ทั้งสองคนก็ไปห้องฝึกซ้อมด้วยกันแล้ว
นั่นถึงจะเรียกได้ว่าต่อสู้อย่างถึงอกถึงใจ!
ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ ฝีมือก้าวหน้าไวเกินไป นึกไม่ถึงว่าจ้าวเหล่ยจะไม่สนใจการยั่วยุแล้ว
“ต้องพัฒนาอีกสักหน่อย หลังจากนี้จะได้ไปหาฉินเฟิ่งชิงอย่างหนำอกหนำใจได้”
ฟางผิงพึมพำเบาๆ หมอนั่นก็เป็นกระสอบทรายชั้นดี ได้ยินว่าช่วงนี้กำลังหาผู้สนับสนุน สร้างปัญหาให้ตัวเองไม่น้อย
ไม่มีเลยสมองสักนิด!
ฟางผิงลอบประชดในใจ ไม่สิ เจ้าหมอนั่นน่าจะตั้งใจ
เข้าไปถึงหน้าประตูก็เอ่ยว่า “ประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ฟางผิงให้ผมมา…”
ถังเฟิงขุดหลุมให้ลูกสาวตัวเอง ฉินเฟิ่งชิงขุดหลุมให้เขา ดีที่ตัวเขาไม่ทำเรื่องพวกนี้ ฟางผิงคิดว่าบรรยากาศของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่ดีเท่าไหร่ เอานิสัยเสียแบบนี้มาจากที่ไหนกัน
———————-