ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 302 หลอกยากกันทั้งนั้น (1)
ตอนที่ 302 หลอกยากกันทั้งนั้น (1)
เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว ฟางผิงและฉินเฟิ่งชิงก็มองหน้ากัน
ทั้งสองคนใช้ผ้าโพกหัวเอาไว้ ดูแล้วน่าขบขันอยู่บ้าง
“ทำไมไม่ใส่หมวกคลุมหัวเลยล่ะ?” ฟางผิงถามออกไป
“โง่น่ะสิ หากอยู่ระยะใกล้ อีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของพลังงานพวกเราอยู่ดี เอาง่ายๆ แบบนี้ก็ใช้ได้แล้ว แถมผู้ฝึกยุทธ์บางคนอาจจะเป็นพวกโง่ก็ได้ อย่างหมอนั่นที่ไล่ฆ่าฉันครั้งก่อนยังสัมผัสไม่ได้ว่าฉันใช้พลังปราณเลย”
ฉินเฟิ่งชิงเหน็บแนมออกมา เก็บเสื้อผ้าของตัวเองก่อนจะยัดเข้าไปในกระเป๋าผ้า
ครุ่นคิดเล็กน้อย มองไปทางฟางผิงก็ขมวดคิ้วว่า “นายพกเป้ทหาร คนโง่ยังรู้ว่านายปลอมตัวมา เปลี่ยนใบใหม่…”
“ไม่มีให้เปลี่ยน นายไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ”
“ลืม”
ฉินเฟิ่งชิงไม่คิดว่าการที่ตัวเองลืมเป็นความผิดของเขา ครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยไปว่า “ทิ้งกระเป๋าไปซะ”
ฟางผิงไม่สนใจเขา เอาสัมภาระยัดใส่เสื้อแล้วดึงมาไว้ข้างหน้า
“ทิ้งไป หน้าอกพองอย่างนั้น นายจะแต่งเป็นผู้หญิงหรือไง?”
“ไม่ทิ้ง”
ฟางผิงส่ายหัว นายคิดว่าฉันโง่จริงๆ หรือไง?
ให้ทิ้งกระเป๋า ฉันไม่ได้มีแหวนมิติเก็บของสักหน่อย ถึงเวลานั้นชิงสมุนไพรและหินพลังงานมาได้ จะให้ฉันใช้มือถือหรือไง นั่นจะได้แค่เท่าไหร่กัน
ในกระเป๋าเขายังมีกระสอบอีกใบ แค่ไม่ได้บอกฉินเฟิ่งชิงเท่านั้น
หากสถานการณ์คับขันก็จะแบกกระสอบวิ่ง สะดวกกว่าใช้มือถือเป็นไหนๆ
ฉินเฟิ่งชิงขมวดคิ้วว่า “ไม่ทิ้ง ทำเรื่องอะไรก็เกะกะ”
“นายทิ้งของนายก่อนสิ”
“นายคิดว่าฉันเป็นคนโง่?”
ฉินเฟิ่งชิงกลอกตา ฟางผิงราวกับเพิ่งค้นพบว่าตัวเองและเขามีอะไรแตกต่างออกไป จู่ๆ ก็ลูบบนตัวเขายกใหญ่
ฉินเฟิ่งชิงรีบเอี้ยวตัวหลบ ฟางผิงกลับคว้าหมับที่เอวกางเกงเขา ยิ้มเย็นว่า “แม่งเหอะ สั่งทำพิเศษ? นี่มันของอะไรกัน?”
เขายอมฉินเฟิ่งชิงจริงๆ!
นึกไม่ถึงว่าชุดของหมอนี้จะมีสองชั้น ส่วนตรงเอวกางเกงมีอีกช่องอยู่ ใส่ของหยิบใช้ได้สะดวกมือ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือชุดของเขามีกระเป๋าช่องใหญ่อยู่
ฉินเฟิ่งชิงเห็นว่าปิดไม่ได้แล้ว ก็เอ่ยอย่างกระอักกระอ่วน “เพื่อความสะดวกเท่านั้น ทำไม นายไม่ยอม?”
“ทำไมของฉันไม่เป็นแบบนั้นบ้าง?”
“ฉันจะรู้ได้ไง”
“นายเป็นคนเอาเสื้อผ้าให้ฉัน!”
“ใครใช้ให้นายไม่เตรียมตัวล่ะ!”
“งั้นที่นายบอกให้ฉันทิ้งกระเป๋า?”
“รวมทั้งปิดบังเรื่องนี้”
“…”
ทั้งสองคนเถียงอย่างไม่มีใครยอมใคร ผ่านไปพักหนึ่ง ฉินเฟิ่งชิงจึงถอนหายใจ “เอาเถอะ ถ้านายจะกลอกกลิ้งเก่งขนาดนี้ พวกเราอย่าแบ่งห้าสิบห้าสิบอีกเลย ใช้ความสามารถตัวเองละกัน ใครกอบโกยได้เยอะเท่าไหร่ก็เท่านั้น”
ฟางผิงยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ฉันก็อยากจะพูดแบบนี้อยู่เหมือนกัน”
ทั้งสองคนประสานสายตากัน ไม่พูดพล่ามอีก มุ่งไปข้างหน้าต่อ
—
เดินมาถึงครึ่งทางท้องฟ้าก็มืดแล้ว
กลางคืนของถ้ำใต้ดินย่างกรายมาถึงในเวลาชั่วพริบตาเท่านั้น
แต่ทั้งสองคนทะลวงขั้นสี่แล้ว ประสาทสัมผัสเฉียบคม เดินตอนกลางคืนไม่เป็นอุปสรรคนัก
“น่าจะอยู่ข้างหน้าประมาณสามสิบลี้”
ฉินเฟิ่งชิงเผยสีหน้าจริงจังขึ้นมา เอ่ยเตือนว่า “ถ้าฉันจำไม่ผิด ใกล้ๆ นี้มีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง กลางดึกอาจจะมีคนออกมาเพ่นพ่าน ออกมาจากรอบนอกเมืองความหวังแล้ว จำไว้ให้ดี พวกเราสามารถเจอมนุษย์ถ้ำได้ตลอดเวลา”
“เข้าใจแล้ว”
“เจอผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำใต้ดินที่อ่อนแอก็ฆ่าทิ้ง เจอพวกที่แข็งแกร่ง ไม่ต้องพล่ามมาก หนีเท่านั้น!”
“ได้”
ท่ามกลางความมืด ทั้งสองคนเดินตรงไปข้างหน้า
กลางคืนของถ้ำใต้ดินไม่ได้เงียบสงบ
เสียงคำรามที่มีพลังทะลวงสูงแผ่กระจายให้ได้ยินเป็นครั้งคราว
ยามราตรีเป็นเวลาของอสูรร้าย
ทั้งสองคนมุ่งไปข้างหน้าไม่ได้เจอกับสัตว์ประหลาด แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มี ทำได้แค่พูดว่าพวกเขายังเคลื่อนไหวอยู่รอบนอก ไม่ได้เข้าไปส่วนลึกของถ้ำใต้ดินอย่างแท้จริง
ฟางผิงกำลังเดินตามฉินเฟิ่งชิงอย่างระมัดระวัง จู่ๆ ฉินเฟิ่งชิงก็ถลาตัวอย่างรวดเร็ว ในตอนที่ฟางผิงไม่ทันตั้งตัว กลับพุ่งตัวมาข้างหน้าดึงต้นไม้อะไรสักอย่างที่คล้ายวัชพืชขึ้นมาจากพื้นแล้ว ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ยัดเข้าไปในเสื้อของตัวเอง
ฟางผิงตกตะลึงไปเล็กน้อย
เห็นฉินเฟิ่งชิงไม่คิดจะอธิบายจึงกดเสียงว่า “อะไร?”
“ไม่รู้”
“ฉัน…”
“ไม่รู้จริงๆ เห็นไม่ชัด พลังงานเยอะ น่าจะเป็นของดี”
ฉินเฟิ่งชิงอธิบายอย่างง่ายๆ ฉันไม่รู้ แค่สัมผัสได้ว่าพลังงานไม่ธรรมดา ดังนั้นเลยฉวยโอกาสตอนที่นายไม่ทันตั้งตัวดึงออกมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ฟางผิงหงุดหงิดแทบบ้า!
แต่เร็วมากจริงๆ ฟางผิงสมองแล่นอย่างว่องไว แผ่กระจายพลังจิตใจ เริ่มสัมผัสคลื่นพลังงานจากรอบทิศทาง
ในถ้ำใต้ดินพลังจิตใจเขาจะโลดแล่นมากกว่า
ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดอะไร ตอนนี้ฉินเฟิ่งชิงเริ่มก่อนเอง อย่ามาโทษเขาแล้วกัน ความสามารถในการหาสมบัติ ตัวเองไม่ด้อยไปกว่าเขาเช่นกัน
—
เดินไปข้างหน้าตลอดทาง ตอนนี้ทั้งสองคนค่อยๆ เข้ามาสู่กลางเขาแล้ว
ฟางผิงเคยเห็นแผนที่ถ้ำใต้ดินเช่นกัน ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “นี่คือ…เขาหัวหมาป่า?”
“อืม”
“นายไม่บอกให้เร็วกว่านี้ล่ะ!” ฟางผิงก่นด่า “เขาหัวหมาป่ามีฝูงหมาป่าโบราณอยู่ บางทีมีเป็นร้อยตัว แม่งเหอะ อันตรายจะตายไป”
“ไร้สาระ ไม่อันตรายฉันจะเรียกนายมาทำไม? อีกอย่าง ถ้าบอกนายก่อน นายคลำผิดคลำถูกมาเองจะทำยังไง?”
ฉินเฟิ่งชิงไม่ยอมอ่อนแม้แต่น้อย คิดว่าฉันโง่หรือไง? บอกนายล่วงหน้าเนี่ยนะ?
ฟางผิงถอนหายใจ เอ่ยอีกครั้ง “ที่นี่ยอดฝีมือของพวกเราเคยผ่านมาแล้ว หากมีสิ่งก่อสร้างจริงๆ พวกเขาจะไม่เห็นได้ยังไง?”
“นายอย่าพูดเรื่องไร้สาระพวกนี้ได้หรือเปล่า? ภูเขาใหญ่ขนาดนี้ ยอดฝีมือของพวกเราแค่โฉบผ่านมาเท่านั้นจะรู้อะไร อีกอย่างคนของพวกเราก็ไม่ได้มาบ่อยๆ”
“เจอฝูงหมาป่าโบราณจะทำยังไง?”
“ปากเสีย ภูเขาใหญ่ขนาดนี้ จะเจอง่ายๆ ได้ยังไง!”
ฟางผิงพึมพำว่า “ไม่ได้ปากเสีย เจอจริงๆ”
“หา?”
ครู่ต่อมาฉินเฟิ่งชิงไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไร หมุนตัววิ่งด้วยความเร็วที่น่าตกใจ ยิ่งกว่าห้าสิบเมตรต่อวินาทีที่เขาพูดไว้ซะอีก
ฟางผิงกลับยังวิ่งเร็วยิ่งกว่าเขา ทะยานขึ้นไปในอากาศ คนก็ไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว
สามสี่วินาทีหลังจากทั้งสองคนหายไป ท่ามกลางความมืดสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายหมาป่าขนาดเท่าม้าหลายตัวก็ปราฏอยู่ตรงที่ทั้งสองคนเพิ่งยืนอยู่เมื่อสักครู่
สิ่งมีชีวิตที่คล้ายหมาป่ามองไปรอบๆ พักหนึ่ง เมื่อไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ไม่นานก็อันตรธานหายไปในความมืด
—
ห่างออกไปหลายกิโลเมตร
ฉินเฟิ่งชิงและฟางผิงสบสายตากัน ไม่มีใครพูดอะไรออกมา
ทุกคนต่างไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรก็วิ่งหนีออกมาด้วยความเร็วสุดชีวิต
ฉินเฟิ่งชิงราวกับครุ่นคิดอะไรสักอย่าง เอ่ยเบาๆ ว่า “แค่หมาป่าโบราณเท่านั้น มีจำนวนไม่เยอะ พวกเราขั้นสี่ทั้งคู่ ฆ่าได้อยู่แล้ว”
“ฉันรู้ เห็นนายหนีมา ฉันจะกล้าแหวกหญ้าให้งูตื่นได้ยังไง”
“มีเหตุผล แต่ฉันเห็นนายหนีมาก่อน ฉันถึงได้หนีตาม”
ฉินเฟิ่งชิงพยักหน้า ฟางผิงกลอกตา เหนื่อยใจอยู่บ้าง “เอาเถอะ พวกเราเปิดเผยตรงไปตรงมาดีกว่า เป็นแบบนี้ต่อไป ฉันต้องตายเพราะนายแน่”
ฉินเฟิ่งชิงบ่นว่า “นายแม่งสร้างความลำบากให้ฉันเก่งยิ่งกว่าหวังจินหยางซะอีก ไอ้เวรหวังจินหยางถึงจะสร้างความลำบากยังไง แต่ถ้าหลอกให้ฆ่าปีศาจ เขาเต็มใจทุ่มสุดตัวอยู่แล้ว นายวิ่งเร็วกว่าฉันซะอีก จะต้องการนายมาทำไมกัน!”
ฟางผิงอยากถีบเขาอยู่บ้าง ลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะทิ้งความคิดนี้ไป เอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “หยุดพล่ามได้แล้ว ฉันมาคนเดียวต้องลงมืออยู่แล้ว นายอยู่ด้วยฉันฆ่าไม่สะดวก เอาแบบนี้ ถ้าเจอสิ่งมีชีวิตขั้นสี่ให้ฆ่าไปเลย ขั้นห้าตัวเดียวก็ฆ่า แต่ถ้าเยอะค่อยหนี ถ้านายวิ่งหนีอีก คงไปกันไม่ถึงไหนแล้ว!”
ในหมู่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ทั้งสองคนไม่นับว่าอ่อนแอ
เจอปีศาจขั้นสี่ แม้จะไม่อาจสับเป็นชิ้นๆ ได้ แต่ฟันทิ้งไม่ใช่เรื่องยากอยู่แล้ว
ปรากฏว่าทั้งสองคนต่างเกี่ยงให้อีกฝ่ายลงมือ เจอกับปีศาจหมาป่าโบราณไม่กี่ตัวก็เผ่นแน่บซะแล้ว
ปีศาจหมาป่าโบราณไม่ได้ฝีมือแข็งแกร่งมาก เว้นเสียแต่จะเจอเป็นฝูงใหญ่ ไม่งั้นอันตรายคงไม่เยอะมาก
ฉินเฟิ่งชิงรู้ดีเช่นกัน ครั้งนี้เจอกับคู่แข่งสมน้ำสมเนื้อแล้ว หลอกให้ฟางผิงทำงานหนัก เกรงว่าไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว
เขาถอนหายใจ พยักหน้าว่า “ได้ นายอย่าหนีล่ะ”
“คำไหนคำนั้น!”
“คำไหนคำนั้น!”
ทั้งสองคนทำข้อตกลงร่วมกันแล้วก็มุ่งหน้าเดินทางกันต่อ
—
“ข่ากู่!”
ฟางผิงคำราม ฟันปีศาจหมาป่าโบราณตัวหนึ่งออกเป็นสองท่อน ฉินเฟิ่งชิงที่อยู่อีกฝั่งก็เหวี่ยงดาบราวสายฟ้าฟาด บั่นคอปีศาจหมาป่ารอบๆ หลายตัวเช่นกัน
หอบหายใจเล็กน้อย ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยว่า “กู่หย่าลาตู้…แปลว่าอะไรนะ?”
“กู่หย่าลาตู้ข่ากู่เตา (นายฆ่าไปเท่าไหร่แล้ว)…”
ฟางผิงคว้านหัวใจปีศาจหมาป่าออกมาก็พึมพำไปด้วย “นายไม่ไหวเลยจริงๆ ช่ำชองไม่พอ จะหลอกคนอื่นได้ยังไง?”