ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 304 วิ่งก่อนค่อยว่ากัน (1)
ตอนที่ 304 วิ่งก่อนค่อยว่ากัน (1)
‘ฉึก!’
เลือดสาดกระจายไปทั่ว
ฟางผิงฟันผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองคนหนึ่งที่พุ่งเข้ามา เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ระดับกลางตายหมดแล้ว?”
ทั้งสองคนกลับมายังหุบเขาที่เดิม ตอนแรกคิดจะอาศัยความมืดหลอกล่อยอดฝีมือที่เฝ้าอยู่ตรงนี้สักหน่อย
ผลปรากฏว่านอกจากเจอขั้นสี่คนหนึ่งกลางลานกว้างซึ่งถูกพวกเขาร่วมมือสังหารอย่างว่องไวแล้ว คนอื่นๆ ต่างเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างทั้งหมด
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างพวกนี้แทบมองไม่เห็นอะไรในความมืด
ฆ่าพวกเขายังง่ายกว่าหั่นแตงโมซะอีก
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถึงตาพวกเรารวยเละแล้ว!”
นึกไม่ถึงว่าจะมีขั้นห้าแค่คนเดียว หากรู้แบบนี้คงไม่มากับฟางผิงหรอก เขาฝึกวิชาอีกสักช่วงหนึ่งแล้วค่อยมากอบโกยคนเดียวดีกว่า
“จะเข้าไปเลยไหม?”
ตอนนี้ทั้งสองคนอยู่กลางลาน ไม่ได้เข้าไปข้างใน
ฉินเฟิ่งชิงครุ่นคิดเล็กน้อย “นายเข้าไปดูก่อน…”
ฟางผิงไม่พูดอะไร หมุนตัวกลับไปถอนสมุนไพรต่อ ฉินเฟิ่งชิงไม่ช้าเช่นกัน เริ่มถอนอย่างรวดเร็ว เสื้อผ้านั้นยืดตัวขึ้นมานานแล้ว
“ชุดนี้นายสั่งทำพิเศษ?”
“ทายดูสิ”
“หนังสิ่งมีชีวิตถ้ำ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ เป็นเทคโนโลยีของโลกพวกเรา”
ฉินเฟิ่งชิงหัวเราะ ไม่นานทั้งสองคนก็ถอนสมุนไพรทั้งสวนจนเกลี้ยง
มองที่ตำหนักใหญ่ด้านหลังอีกครั้ง ทั้งสองคนมองหน้ากัน พยักหน้าอย่างเงียบๆ สาวเท้าเข้าไปด้วยกัน
—
เดินผ่านประตูที่สูงหลายเมตร สิ่งที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคือโถงใหญ่ที่โล่งกว้าง
การจัดวางนั้นคล้ายกับห้องประชุม
ท้ายสุดของกลางโถงมีบัลลังก์หินที่แกะสลักคล้ายหัวหมาป่าตั้งอยู่
สองฝั่งของห้องโถงเป็นเก้าอี้หินสิบกว่าตัว
บ้างก็แกะสลักเป็นหัวหมาป่า บ้างก็เป็นสิ่งมีชีวิตถ้ำอย่างอื่น
ด้านบนของห้องโถงแขวนโคมไฟพลังงานไว้
ตอนนี้ห้องโถงไม่ได้ไร้ผู้คน
มีผู้ชายสามคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคน ผู้หญิงอยู่วัยกลางคนแล้ว ตอนนี้ยืนหลังตรงอยู่ข้างบัลลังก์ ผู้ชายสามคนกลับเผยสีหน้าเศร้าโศก ถืออาวุธคุ้มครองอยู่เบื้องหน้าผู้หญิง
“พวกนายเป็นใคร?”
หญิงวัยกลางคนใช้ภาษาถ้ำถามออกไป แม้สีหน้าจะดูไม่ได้อยู่บ้าง แต่ยังคงแฝงความหนักแน่น
พวกฟางผิงมองหน้ากัน ไม่มีใครเปล่งเสียง
“คนของ…”
ผู้หญิงถามออกมาอีกครั้ง
คำข้างหลังนั้นน่าจะเป็นชื่อของสถานที่หรือฐานะตำแหน่งอะไรสักอย่าง แต่ฟางผิงฟังไม่เข้าใจ เขาเรียนแค่ภาษาถ้ำพื้นฐาน คำสื่อสารทั่วไปเท่านั้น
ชื่อสถานที่พวกนี้ซับซ้อนเป็นที่สุด ทั้งสองฝ่ายยังเรียกไม่เหมือนกันอีก บางครั้งจึงยากจะแยกแยะ
ฟางผิงยังคงเงียบ ในใจกลับคาดเดาว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะเดาผิด
ตอนนี้เขาและฉินเฟิ่งชิงแต่งชุดของผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำ
คนพวกนี้ไม่ได้มีฝีมือแข็งแกร่ง ยอดฝีมือก่อนหน้านี้ถูกฆ่าไปหมดแล้ว
ตอนนี้สี่คนที่อยู่ในห้องโถงเป็นผู้ฝึกยุทธ์เช่นกัน แต่อยู่ในขั้นสามระดับล่าง ก่อนหน้านี้ที่พวกฟางผิงสังหารผู้ฝึกยุทธ์พวกนั้น คนพวกนี้ไม่ได้เข้ามาใกล้ อาจสัมผัสถึงพลังปราณพวกเขาไม่ได้เสมอไป
เห็นทั้งสองคนไม่ตอบ ผู้หญิงจึงถอนหายใจ เอ่ยอีกครั้งว่า “ถ้าฆ่าฉัน นายท่านคงไม่ปล่อยพวกนายไป บางทีพวกนายอาจจะคิดปลอมตัวเป็นผู้ฝึกยุทธ์เมืองแห่งความหวังเพื่อให้นายท่านเข้าร่วมสงครามสินะ?”
คำพูดนี้ฟางผิงเดาได้ครึ่งหนึ่งเท่านั้น
หัวใจกลับเต้นระส่ำขึ้นมา
เหมือนว่า…จะมีปัญหานิดหน่อยแล้ว!
คำว่า ‘นายท่าน’ จากปากของหญิงคนนั้นเป็นการคาดเดาของเขา บางทีอาจจะเป็นสามีหรือเจ้านาย…
แน่นอนว่าไม่ส่งผลต่อความหมายเท่าไหร่
‘นายท่านคือขั้นห้าก่อนหน้านี้?’ ฟางผิงคาดเดาในใจ กลับคิดว่าไม่น่าจะใช่
พวกเขาสองคนกลับมา คนผู้นั้นย่อมมีโอกาสตายสูง หญิงกลางคนน่าจะคิดได้เหมือนกัน
ในเมื่อเป็นแบบนี้…หมายความว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าคนนั้นไม่ใช่เจ้าของที่แห่งนี้
‘เมืองแห่งความหวัง’ ที่เธอพูดถึง ฟางผิงฟังออกเพราะ ‘ความหวัง’ สองคำนี้ทับศัพท์มาจากพวกเขา
ปลอมตัวเป็นผู้ฝึกยุทธ์เมืองความหวัง?
ไม่ใช่ พวกเขานี่แหละมาจากเมืองความหวังจริงๆ!
แต่ความหมายของหญิงกลางคนคือมีคนคิดปลอมตัวเป็นผู้ฝึกยุทธ์เมืองความหวัง ฆ่าเธอเพื่อให้เจ้าของที่นี่เข้าร่วมสงครามเพื่อล้างแค้น?
หรือจะพูดว่าเจ้าของที่แห่งนี้ ก่อนหน้านี้ไม่ได้คิดจะเข้าร่วมทำสงครามกับเมืองความหวัง?
ฟางผิงและฉินเฟิ่งชิงมองหน้ากัน อันที่จริงฉินเฟิ่งชิงฟังออกแค่เล็กน้อย แต่ยังคงเข้าใจความหมายอยู่บ้าง
“เหมือนว่า…จะก่อปัญหานิดหน่อยแล้ว…”
ฉินเฟิ่งชิงขยับปาก พูดออกมาแทบไม่ได้ยิน
ยอดฝีมือที่ตอนแรกไม่คิดจะเข้าร่วมสงคราม เหมือนจะถูกพวกเขาทำให้เข้าใจผิดจนเข้าร่วมทำสงครามกับเมืองความหวัง
“ขั้นหกงั้นเหรอ?”
ฟางผิงคาดเดา ครู่ต่อมา จู่ๆ ก็แววตาไหววูบ แผดเสียงว่า “ฆ่า!”
ฉินเฟิ่งชิงแทบไม่มีความลังเลใดใด ทั้งสองคนกระโดดขึ้นกลางอากาศ ชั่วพริบตาก็สังหารสามคนที่ขวางอยู่ข้างหน้าจนเกลี้ยง
หญิงวัยกลางคนเผยแววตาสิ้นหวัง ตะโกนว่า “นายท่านต้องล้างแค้นให้ฉันแน่! คนของเมืองแห่งความหวัง!”
‘ฉับ!’
ฟางผิงฟันดาบออกไป แค่นเสียงว่า “นึกไม่ถึงว่าจะเล่นลูกไม้กับพวกเรา!”
ผู้หญิงคนนี้เห็นได้ชัดว่ารู้ถึงที่มาของพวกเขา จงใจพูดแบบนั้น อาจจะเดิมพันสักตั้ง เดิมพันว่าพวกฟางผิงอาจไม่รู้ว่าเธอรู้ที่มาของพวกเขาแล้ว
บางทีอาจตั้งใจสร้างความขัดแย้งภายในเพื่อให้พวกฟางผิงปล่อยเธอไป
หากไม่สังเกตถึงความผิดปกติได้ ฟางผิงอาจถูกหลอกเข้าจริงๆ
ฆ่าคนพวกนี้แล้ว ฉินเฟิ่งชิงก็เอ่ยว่า “ที่นี่ยังมีเจ้าของอีก?”
“อืม นายว่าขั้นอะไร?”
“ต่ำสุดน่าจะขั้นหก ยังไงก็มีลูกมือเป็นขั้นห้า อาจจะ…”
ฉินเฟิ่งชิงส่ายหัว ไม่ได้พูดต่อ
“อย่าพล่ามไร้สาระดีกว่า ฉวยโอกาสที่คนไม่อยู่ รีบหาของแล้วออกไปเถอะ”
สองฝั่งของบัลลังก์มีประตูสองบานทะลุไปเรือนด้านหลัง
ฟางผิงและฉินเฟิ่งชิงรวบรวมสินสงครามบนร่างคนพวกนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพุ่งไปเรือนด้านหลังทันที
เรือนด้านหลังมืดสลัวไปหมด แต่ภายในห้องพวกนั้นยังมีแสงสว่างจากโคมไฟ ประตูก็เปิดอ้าอยู่
ด้านหลังนั้นเงียบงันไร้เสียง ฟางผิงเพิ่งจะเข้าไป กระบี่ยาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่คอเขาทันที
ฉินเฟิ่งชิงที่อยู่ด้านข้างฟันดาบออกไปอย่างว่องไว ภายในความมืดมีคนกระเด็นหล่นอยู่กับพื้น
“ฉันช่วยชีวิตไร้ค่าของนาย! ดาบและเกราะหนังของนายเป็นของฉันแล้ว!” ฉินเฟิ่งชิงทำหน้าภาคภูมิใจ
ฟางผิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ไสหัวไป ฉันปล่อยให้เขาฆ่า เขาก็ฆ่าฉันไม่ได้อยู่ดี!”
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามตอนกลางคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำ ไม่ได้เป็นอัจฉริยะเหมือนผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ อยากฆ่าขั้นสี่แนวหน้า เดิมทีก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว
“ไปด้วยกันหรือแยก?”
“ไปด้วยกัน!”
ฉินเฟิ่งชิงเผยสีหน้าหนักแน่น ฟางผิงเลิกคิ้ว ฉินเฟิ่งชิงแค่นเสียงว่า “พลังจิตใจนายแข็งแกร่งกว่าฉัน หาสมบัติได้ง่ายกว่า”
ฟางผิงหมดคำจะพูด ไม่สนใจเขาอีก รีบพุ่งเข้าไปในห้องหนึ่งที่เปิดอ้าไว้
ภายในห้องไม่มีอะไรที่ดูพิเศษ
เตียงทำจากไม้ ผ้าห่มที่ทำจากขนสิ่งมีชีวิต ยังมีโต๊ะอีกตัวหนึ่ง ที่เหลือล้วนเป็นของใช้ในชีวิตประจำวัน
ฟางผิงตรวจสอบดูสักพัก ไม่พูดมาก หมุนตัวเดินออกไปทันที
ห้องนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ที่พักอาศัยของยอดฝีมือ
ฉินเฟิ่งชิงไม่รั้งตัวอยู่นานเช่นกัน เดินออกไปพร้อมเขา
ไม่นานก็เจอห้องที่สอง ฟางผิงหาอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะเจอหินพลังงานพื้นฐานหลายก้อน ไม่ใช่หินฝึกวิชา
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ฉินเฟิ่งชิงอธิบายว่า “หินฝึกวิชาเป็นของล้ำค่า ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำไม่ได้มีหินฝึกวิชากันทุกคน เพราะเดิมทีร่างกายตัวเองก็มีพลังงานอุดมสมบูรณ์อยู่แล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างหลายคนต่างอาศัยตัวเองเพื่อฝึกวิชาอย่างยากลำบากทั้งนั้น”