ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 332-2 มุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง (2)
ตอนที่ 332 มุ่งหน้าสู่ปักกิ่ง (2)
เดินออกมาจากห้องทำงานอธิการ เดิมทีฟางผิงคิดจะไปสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ แต่ครุ่นคิดแล้วก็เปลี่ยนทาง เดินไปยังฝ่ายบริการแทน
ฝ่ายบริการ
ตาเฒ่าหลี่ยังคงไม่อยู่เหมือนเดิม
อาจารย์ที่มารับหน้าที่แทนตาเฒ่าหลี่ชั่วคราวบอกว่า “ช่วงนี้คณบดีหลี่เข้าด่านเก็บตัวอยู่ตลอด ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้น่าจะยังไม่ออกมา”
“เขาเข้าด่านนานไปแล้ว…”
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ตั้งแต่กลับมาครั้งก่อนไม่นานตาเฒ่าหลี่ก็เข้าด่าน
จนถึงตอนนี้ผ่านมาหนึ่งเดือนแล้ว
การเข้าด่านของผู้ฝึกยุทธ์ อันที่จริงไม่ใช่เรื่องที่ใช้เวลานาน อย่างต่ำสองสามวัน อย่างมากก็สิบวันถึงครึ่งเดือน ครั้งนี้ตาเฒ่าหลี่เข้าด่านหนึ่งเดือนใช้เวลานานเกินไป
ไม่เสียเวลาอยู่ที่ฝ่ายบริการอีก ฟางผิงเดินออกมา มุ่งหน้าไปทางเขตหอพักเก่าของมหาวิทยาลัย
ตาเฒ่าหลี่ไม่ได้อยู่ที่เขตหอพักอาจารย์ ที่นั่นเป็นบ้านพักเดี่ยวที่สร้างขึ้นใหม่ตอนหลัง
เวลานั้นมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ยังไม่ใหญ่มาก มีสิ่งก่อสร้างเก่าแก่อยู่บางส่วนเช่นกัน
ตาเฒ่าหลี่นั้นอาศัยอยู่ที่เขตหอพักเก่า ตอนนี้ที่นั่นมีคนน้อย ผู้ฝึกยุทธ์ที่ได้รับบาดเจ็บเกษียณอายุบางส่วนก็พักอยู่ทางนั้น
ตอนที่อธิการเฒ่ามีชีวิตอยู่ก็อาศัยอยู่ที่นี้เช่นกัน
ฟางผิงก้าวตามทางเดินหินทะลุผ่านป่าเมเปิ้ลภายในมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นสิบกว่านาทีก็หยุดเท้าอยู่ข้างหน้าสิ่งก่อสร้างเก่าแก่
เขาไม่ค่อยได้มาที่นี่ เพราะที่นี่เป็นสถานที่บำเพ็ญตบะของพวกคนแก่ชรา โดยปกติจะไม่ค่อยมีคนมารบกวน
ตอนนี้ด้านนอกสิ่งปลูกสร้างคร่ำครึ มีผู้เฒ่าผู้แก่บางคนกำลังออกมาตากแดดรับลมในสวนดอกไม้เล็กๆ
พอเห็นฟางผิงก็มีคนจำเขาได้ทันที ชายชราที่แขนขาดคนหนึ่งหัวเราะว่า “ฟางผิง ช่วงนี้หลานชายคนนั้นของฉันไม่ได้สร้างเรื่องวุ่นใช่หรือเปล่า?”
ฟางผิงยิ้มกลับไป “ที่ไหนกันล่ะครับ ครั้งก่อนผมส่งคนไปอัดเขาชุดใหญ่ เขาสงบเสงี่ยมขึ้นมาก ไม่กี่วันก่อนทะลวงถึงขั้นสองแล้ว ผมวางแผนจะให้เขาไปสู้ในการแข่งขันแลกเปลี่ยนขั้นสอง ไม่มีเวลาไปสร้างเรื่องยุ่งหรอกครับ”
ชายชราแขนขาดหัวเราะเสียงดังทันที พยักหน้าว่า “ดีๆๆ ต้องแบบนี้แหละ เขาไม่เชื่อฟัง ต้องอัดเขา! ยังไม่ฟังอีกก็โยนไปในถ้ำใต้ดินซะ เจ้าเด็กเหลือขอนี้ไม่เหมือนพ่อเขาสักนิด!”
ด้านข้างเขาก็มีคนแก่ที่พิกลพิการหลายคนหัวเราะ เอ่ยรับบทสนทนาเช่นกัน ต่างพูดทำนองว่า ‘สมควรโดนอัดแล้ว’ ‘ไม่ตีก็ไม่เป็นผู้เป็นคน’
ฟางผิงไม่ได้แยกตัวออกมา รอพวกผู้เฒ่าคุยกันพักหนึ่งแล้ว จึงค่อยเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์วางใจเถอะครับ พวกคุณต่างเป็นวีรบุรุษ ลูกหลานของพวกคุณจะเป็นคนไร้ประโยชน์ไม่ได้หรอก…”
“วีรบุรุษ…พวกเรานับเป็นวีรบุรุษอะไรกัน”
ชายชราแขนขาดเอ่ยดูแคลนตัวเอง วีรบุรุษนอนกันที่สุสานในเขตทางใต้หมดแล้ว
พวกเขานั้นประคองชีวิตรอดเป็นวันๆ ไป แค่แรงหักคอไก่ยังไม่มี ไม่งั้นจะมีเวลาว่างมากินๆ นอนๆ รอตายที่นี่ได้ยังไง
ไม่รอให้ฟางผิงเอ่ยปากพูด ชายชราแขนขาดก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “มาหาหลี่ฉางเซิง?”
“ครับ อาจารย์หลี่อยู่หรือเปล่า?”
“อยู่ แต่ว่ากำลังเข้าด่าน ไม่ต้องไปหรอก กำลังจัดการแข่งขันแลกเปลี่ยนอะไรอยู่ไม่ใช่หรือไง? เธอพาคนไปต่อสู้อย่างสบายใจก็พอแล้ว ตาเฒ่าหลี่หิวตายไม่ได้หรอก คนอย่างเขาจะปล่อยให้ตัวเองหิวตายได้ยังไง?”
“ยังเข้าด่าน…” ฟางผิงเอ่ยอย่างครุ่นคิด “อาจารย์หลี่ยังมีแผลเก่ารุมเร้าไม่ใช่เหรอครับ? ตอนนี้เขาเข้าด่าน…”
“ไม่เป็นไรหรอก ตาเฒ่าหลี่กำลังจัดการกับกระบี่อมตะของเขาอยู่”
ชายชราแขนขาดเอ่ยต่อว่า “ไปทำเรื่องของเธอเถอะ ชีวิตที่เหลืออยู่ของพวกเรายังอยากจะเห็นมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ล้ำหน้าปักกิ่งได้ อยู่เหนือปักกิ่งแล้วความปรารถนาของอธิการเฒ่าก็จะสำเร็จผลไปหนึ่งอย่าง คงจะอมยิ้มอยู่ที่ปรโลกนั้นแล้ว”
ฟางผิงเงยหน้ามองไปยังเรือนเล็กแห่งหนึ่งที่ประตูใหญ่ปิดสนิท ที่นั่นเป็นที่อยู่ของตาเฒ่าหลี่
ตาเฒ่าหลี่ยังเข้าด่าน เขาก็ไม่อาจรบกวนได้ ทำได้เพียงบอกลาผู้เฒ่าพวกนั้น ตอนที่ออกไปยังเอ่ยอย่างมั่นใจว่า “พวกอาจารย์วางใจเถอะครับ เวลาไม่กี่ปีนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องล้ำหน้าปักกิ่งได้แน่”
เขาพูดประโยคนี้แล้ว พวกผู้เฒ่าก็หัวเราะอย่างเบิกบานใจขึ้นมา
แม้ว่าหลังจากอธิการเฒ่าและอาจารย์จำนวนมากตายในสนามรบ ตอนนี้ฝีมือโดยรวมของระดับสูงในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ตกฮวบไป แต่ความสามารถของคนหนุ่มสาวกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน
นักศึกษาปีก่อนมีขั้นห้า แม้ว่าปีนี้จะไม่มี แต่พวกเฉินเหวินหลงอาจจะไม่อ่อนด้อยกว่าขั้นห้าปีก่อนเสมอไป
รวมถึงความสามารถของนักศึกษาใหม่ พวกผู้เฒ่าก็มองเห็นเช่นกัน
เป็นแบบนี้ต่อไป อีกไม่กี่ปีหากพวกถังเฟิงทะลวงเป็นปรมาจารย์แทนที่ฝีมือของระดับสูงที่เสียไปได้ บางทีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ของเซี่ยงไฮ้อาจมาถึงแล้ว
หวังว่าจะฝากความหวังไว้ที่คนหนุ่มสาวได้
—
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์
ฟางผิงมองไปยังทุกคน “เฉินเหวินหลง จางอวี่ ฉินเฟิ่งชิง เซี่ยเหล่ย ทั้งสี่คนเข้าสู่ทีมหลัก เหลียงเฟิงหวา โจวชิ่ง หลิวอวี้อิ๋ง…พวกนายเข้าสู่ทีมสำรอง ทุกคนคัดค้านอะไรหรือเปล่า?”
ทุกคนส่ายหัว
เซี่ยเหล่ยเข้าสู่ทีมหลักเพราะได้ประมือกับคนอื่นๆ มาแล้วเช่นกัน เทียบกันแล้วเหนือกว่าเล็กน้อยจึงเข้าสู่ทีมหลัก มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ยังคงต้องใช้ความสามารถเป็นตัวตัดสิน
ฟางผิงมองไปทางเซี่ยเหล่ย “นายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ตอนกลางในทีมหลักเพียงคนเดียว ครั้งนี้มีโอกาสให้นายลงสนามไม่มาก ครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่ผ่านมาก มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะไม่ปิดบังความสามารถ ทุ่มสุดกำลังเอาชนะด้วยความแข็งแกร่ง! ดังนั้นหากไม่เหนือความคาดหมาย เฉินเหวินหลงจะเป็นคนนำทัพ ฉันอันดับสอง จางอวี่อันดับสาม…ต้องเอาชนะอย่างไม่ค้านสายตา ไม่อนุญาตให้ใครกั๊กความสามารถทั้งนั้น!”
“เฉินเหวินหลง นายนำทัพคนแรก ถ้าเอาชนะได้ห้าคนรวดก็ไม่ต้องยั้งมือให้พวกเรา เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่เหมือนกันทั้งนั้น ไม่มีความจำเป็นให้ขัดเกลาอะไร ต้องให้โลกภายนอกเห็นถึงความแข็งแกร่งของเซี่ยงไฮ้พวกเรา ได้ยินกันหรือยัง?”
“เข้าใจแล้ว!”
ทุกคนตอบรับ
ฟางผิงดูเวลาพลางเอ่ยว่า “งั้นก็กลับไปเก็บข้าวของ พรุ่งนี้เช้าพวกเราจะนั่งเครื่องบินไปปักกิ่ง ต่ำกว่าขั้นสี่นั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงตามไป แม้จะไม่ใช่ถิ่นของพวกเรา แต่ก็ต้องแสดงความแข็งแกร่งออกมาให้ได้! ฉันไม่อยากให้คนอื่นเห็นพวกเราเป็นรองก่อนแล้วพลิกมาชนะทีหลัง ไม่มีความจำเป็น ฉันอยากให้ทุกคนรู้ว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้นั้นแข็งแกร่ง แข็งแกร่งจนถึงหยดสุดท้าย!”
“ไปปักกิ่งก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร เผยความแข็งแกร่งของพวกเราออกไป เป็นคนหนุ่มสาวเหมือนกันทั้งนั้น ช่วงเวลาที่ควรโอ้อวดก็ต้องโอ้อวดออกไป! ผู้อาวุโสไม่สอดมือยุ่งอยู่แล้ว รุ่นเดียวกันถึงจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเรา มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่ใช่ทรงธรรมแบบราชา! ใครกล้าพูดแดกดันไร้สาระ ใครกล้าติฉินนินทา หากเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็สู้เขาซะ เกิดเรื่องฉันจัดการไม่ได้ก็ให้ปรมาจารย์ออกหน้า!”
ทุกคนหัวเราะออกมา นายมีความสามารถก็อย่าพูดประโยคสุดท้ายสิ นั่นถึงจะเรียกว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่
ฟางผิงพูดจบ เฉินเหวินหลงก็เอ่ยว่า “หรือว่าจะให้ฉันนำทัพแล้วนายรั้งท้าย…”
“ไม่จำเป็น”
ฟางผิงส่ายหัวว่า “ถ้ากระทั่งฉันยังฝ่าทะลวงไปได้ พูดให้ระคายหูหน่อย…งั้นพวกเราก็ผ่านไปได้ยากแล้ว ฉันถ่วงให้พวกเขาเจ็บสาหัส พวกนายยังมีโอกาสจะชนะได้ ถ้าฉันรั้งท้ายแล้วแพ้ นั่นก็ไม่มีหวังอะไรอีกแล้ว”
ฉินเฟิ่งชิงพึมพำว่า “จัดฉันไว้ลำดับสี่…นายถูกคนอัดจนหมดแรงแล้วถึงจะดีที่สุด…”
ฟางผิงกวาดสายตามองเขา แค่นเสียงว่า “ฉินเฟิ่งชิง ไม่ยินยอมนายก็มาตัวต่อตัวกับฉัน ดูสิว่ากระบวนดาบของนายจะใช้กับฉันได้หรือเปล่า!”
ไม่สนใจฉินเฟิ่งชิงอีก ฟางผิงเอ่ยต่อ “ไม่คัดค้านอะไรแล้วก็แยกย้ายเถอะ!”
—
วันที่ 29 พฤศจิกายน
นักศึกษาขั้นสี่กว่าสิบคนและอาจารย์ขั้นหกนับสิบคน รวมถึงหวงจิ่งปรมาจารย์ผู้นี้ขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปปักกิ่งด้วยกัน
ในเวลาเดียวกัน ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองขั้นสามของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้บางส่วนก็นั่งรถไฟฟ้าความเร็วสูงไปปักกิ่งเช่นกัน
แต่ละพื้นที่ต่างมีนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ทยอยออกเดินทาง
ศึกชิงสิบอันดับมหาวิทยาลัยชื่อดัง สำหรับผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งล้วนมีปรมาจารย์มาด้วย
นักข่าวสื่อต่างๆ จำนวนมากพากันมุ่งหน้าเข้าสู่ปักกิ่งเช่นกัน
การแข่งขันแลกเปลี่ยนครั้งนี้เป็นที่รวมตัวของอัจฉริยะรุ่นใหม่จำนวนมาก
แม้ยังไม่จบการศึกษา แต่พวกเหยาเฉิงจวินได้ล้ำหน้าบัณฑิตที่จบไปแล้วจำนวนมาก แม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นห้าขั้นหกที่จบการศึกษา ตอนนี้ชื่อเสียงยังโด่งดังสู้พวกเขาไม่ได้เลย
งานใหญ่เช่นนี้ ทั้งประเทศจีนถึงกระทั่งทั่วโลกต่างกำลังจับตามอง
หนุ่มสาวมากความสามารถของประเทศจีนมารวมตัวกัน สุดท้ายแล้วผู้ที่โดดเด่นที่สุดจะเป็นใครกัน?