ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 341 สิ่งที่ฉันทำทั้งหมดล้วนเพื่อความชอบธรรม (1)
- Home
- ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน
- ตอนที่ 341 สิ่งที่ฉันทำทั้งหมดล้วนเพื่อความชอบธรรม (1)
ตอนที่ 341 สิ่งที่ฉันทำทั้งหมดล้วนเพื่อความชอบธรรม (1)
ด้านหลังเวที
คนของมหาวิทยาลัยซีซานไปแล้ว ฟางผิงค่อยจริงจังขึ้นมา
“สู้กับมหาวิทยาลัยซีซานแค่เอาสนุกไปเท่านั้น มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เข้าสู่สิบอันดับแรกแล้ว ไม่อาจมีคนเลือกท้าประลองอีก ประเด็นสำคัญอยู่ที่สามสถาบันที่ฉันพูดถึง อย่าได้ประมาทเชียว”
“เข้าใจแล้ว”
เฉินเหวินหลงตอบรับ ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะถามว่า “ปราณนายแข็งแกร่งมาก…”
“ถือว่าพอใช้ได้”
ฟางผิงหัวเราะ “น่าจะแข็งแกร่งกว่าพวกนายอยู่เล็กน้อย…”
เฉินเหวินหลงหมดคำจะพูด แต่ก็ไม่ได้สนใจนัก เงียบไปพักหนึ่งค่อยเอ่ยว่า “ถ้าสะดวก…”
“สะดวก ปราณสามพันสองร้อยแคล”
ความสามารถในการชิงตอบของฟางผิงไม่ธรรมดาเลย!
เฉินเหวินหลงแทบไม่รู้สึกถูกแทงใจแต่อย่างใด เพียงแค่พึมพำว่า “ถ้านายฝึกเคล็ดวิชาถึงระดับสูงแล้ว แทบไม่จำเป็นต้องมีพวกเรา นายคนเดียวก็เอาชนะพวกเขาทั้งสิบเก้าทีมได้ด้วยซ้ำ”
ไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม!
ปราณสามพันสองร้อยแคล!
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สูงสุดทั่วไปมีขีดจำกัดปราณอยู่ที่สองพันแคลเท่านั้น
ผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกสองครั้งจะสูงขึ้นมาหน่อย สองพันสี่ร้อยแคลขึ้นไป
ผู้ฝึกยุทธ์หลอมกระดูกสามครั้ง ปกติจะไม่เกินสองพันหกร้อยแคล
ฟางผิงมีเท่าไหร่?
สามพันสองร้อยแคล!
ผู้ฝึกยุทธ์ที่เข้าร่วมการแข่งขันครั้งนี้ พวกเหยาเฉิงจวินต่างมีปราณไม่อ่อนด้อย หวังจินหยางและหลี่หานซงอาจจะอยู่ที่ประมาณสองพันหกร้อยแคลหรือสูงกว่านั้นหน่อย
เพราะร่างกายของพวกเขามีการกลายพันธุ์ สามารถรับปราณที่แข็งแกร่งกว่าได้
แต่ไม่อาจเกินสามพันแคลอย่างแน่นอน เรื่องนี้เฉินเหวินหลงมั่นใจ เพราะหากเกินสามพันแคลจริงๆ ตอนที่หลี่หานซงต่อสู้ในการจัดอันดับ เขาคงมองออกแล้ว
ปราณของฟางผิงสูงกว่าพวกเขามาก ทั้งยังทะลวงขีดจำกัดสามพันแคลไปแล้ว
นี่หมายความว่าปราณของฟางผิงแข็งแกร่งกว่าพวกเขาอย่างยิ่ง
พลังจิตใจและพื้นฐานร่างกายแข็งแกร่ง ส่วนอาวุธ ฟางผิงก็เพิ่งเปลี่ยนใหม่ ไม่อาจอ่อนด้อยแน่นอน
ถ้าฟางผิงฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ได้ลึกล้ำ ประกอบกับความได้เปรียบเรื่องฟื้นฟูปราณของเขา เอาชนะสิบเก้าทีมเพียงคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ฟางผิงส่ายหน้าว่า “อย่าประเมินคนพวกนี้ต่ำไป ฉันเป็นอัจฉริยะ พวกเขาก็ไม่อ่อนแอเช่นกัน ทั้งยังอยู่ในระดับนี้มาระยะหนึ่งแล้ว…แต่ถ้าฉันระเบิดความสามารถที่แท้จริงออกมา แม้คนพวกนั้นอยากจะต่อสู้ในระดับเดียวกับฉันก็ต้องครุ่นคิดถึงผลประโยชน์ของมหาวิทยาลัยอยู่ดี ถ้าฉันประลองกับหนึ่งในพวกนั้นล่วงหน้า คนที่เหลือน่าจะทะลวงขั้นห้าในระยะรอยต่อนี้ทันที”
“ขั้นห้าที่เพิ่งทะลวงด่าน…”
“นั่นมันสำหรับคนอื่น คนพวกนี้หากทะลวงขีดจำกัด ความแข็งแกร่งของปราณและร่างกายล้วนไม่อาจอ่อนแอกว่าฉันอีก เข้าใจความหมายของฉันหรือยัง?”
เฉินเหวินหลงพยักหน้า
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่สูงสุดทั่วไป แม้ว่ามีปราณเพิ่มขึ้น พื้นฐานร่างกายแข็งแกร่งขึ้น ฟางผิงก็ไม่ใส่ใจ
แต่หากทะลวงถึงขั้นห้า สาเหตุที่อัจฉริยะเป็นอัจฉริยะก็เพราะพวกเขาไม่เหมือนคนทั่วไป
เหยาเฉิงจวินทะลวงด่าน พลังจิตใจจะเพิ่มมากขึ้น ถึงกระทั่งแข็งแกร่งกว่าฟางผิง
หลี่หานซงทะลวงด่าน ปราณและพื้นฐานร่างกายจะแข็งแกร่งอย่างถึงที่สุด เพราะหลอมกะโหลกตั้งแต่กำเนิด เขามีคุณสมบัตินี้อยู่แล้ว
หวังจินหยางก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่
คนพวกนี้เมื่อทะลวงด่าน ฝีมือจะเพิ่มพูนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่ฟางผิงเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสี่สูงสุด ทั้งยังไม่เสถียรพอ แม้ว่าจะหลอมอวัยวะทั้งห้าแล้ว แต่ก็เสร็จสิ้นแค่เบื้องต้น ยังไม่ได้หลอมลงลึก เวลานี้เขาไม่อาจทะลวงอย่างส่งเดชเช่นกัน ไม่งั้นจะเหลือภัยแฝงไว้ภายหลังได้ง่าย
ระหว่างที่พวกเขาพูดกัน ฉินเฟิ่งชิงก็วิ่งกลับมาด้วยใบหน้าระรื่น เสื้อคลุมตัวนอกนั้นถูกถอดออกมาห่อแผ่นโลหะผสมที่เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ฟางผิงยังไม่ทันอ้าปาก ฉินเฟิ่งชิงก็ชิงพูดก่อน “กลับไปค่อยแบ่ง เดี๋ยวคนของปักกิ่งจะมาแล้ว!”
ฟางผิงมองเขาแวบหนึ่ง เจ้าหมอนี่ไม่คิดจะแบ่งให้เขาตั้งแต่ทีแรกสินะ?
เรื่องนี้เขาเดาได้ตั้งนานแล้ว
แต่ฉินเฟิ่งชิงไร้ประสบการณ์เกินไป
ไม่นานถังเฟิงก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเวที เอ่ยด้วยใบหน้าดำคล้ำอยู่บ้าง “ก่อเรื่องหอมปากหอมคอแล้วก็พอได้แล้ว…”
ฟางผิงคาดเดาได้ล่วงหน้าด้วยซ้ำว่าเขาต้องมา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “อาจารย์ถัง ไม่ได้ก่อเรื่องนะครับ พวกนี้เป็นโลหะผสม ผมคิดดีแล้ว จะเอาเป็นกองทุนสาธารณะให้สมาคมผู้ฝึกยุทธ์บ่มเพาะนักศึกษาใหม่ต่อไป พื้นฐานของปักกิ่งนั้นแน่นหนากว่าพวกเรา พวกเราไม่จำเป็นต้องหน้าบางจนเกินไป ยังไงก็เป็นเรื่องที่นักศึกษาอย่างพวกเราทำอยู่แล้ว เพื่อความแข็งแกร่งของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ พูดจากใจเลยนะครับ ผมไม่สนใจหรอกว่าจะขายหน้าหรือเปล่า เมื่อถึงวันที่นักศึกษาเซี่ยงไฮ้ทั้งหมดแข็งแกร่ง เสียสละและหลั่งเลือดเล็กน้อยในถ้ำใต้ดิน ผมก็พอใจแล้ว ส่วนเรื่องหน้าตา นั่นนับเป็นอะไรกัน วันที่เซี่ยงไฮ้ของเรากำราบถ้ำใต้ดินได้ ใครจะสนใจเรื่องเหลวไหลเมื่อเยาว์วัยของพวกเราอีก? ชั่วชีวิตนี้ของคนไม่อาจคำนึงถึงแต่ตัวเอง ถ้านึกถึงแต่ตัวเอง ตอนนี้ผมจำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนี้ด้วยหรือไง”
ถังเฟิงตะลึงงันไปเล็กน้อย ในใจเป็นความรู้สึกที่พูดไม่ออกอยู่บ้าง
นี่…ถึงจะเป็นตัวตนที่แท้จริงของฟางผิงงั้นเหรอ?
ฟางผิงที่มักจะยิ้มทะเล้นต่อหน้าคนอื่นราวกับไม่สนใจอะไร แท้จริงแล้ว…กลับคิดเพื่อเซี่ยงไฮ้มาโดยตลอด
“ฟางผิง…”
ฟางผิงหัวเราะตัดบทสนทนา “อาจารย์ ผมรู้ว่าคุณมีอคติกับผมอยู่บ้าง ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรู้ว่าคุณปรารถนาดีต่อผม ทั้งปรารถนาดีต่อเซี่ยงไฮ้ด้วยเช่นกัน แต่เส้นทางของคนไม่เหมือนกัน บางทีคุณอาจจะนึกถึงความกล้าหาญเป็นหลัก แต่สิ่งที่ผมนึกถึงอาจจะมากกว่าที่คุณคิดอยู่บ้าง ความแข็งแกร่งของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ความแข็งแกร่งของประเทศจีน ความแข็งแกร่งของมนุษยชาติ…ฟังดูแล้วน่าขำอยู่บ้าง ผมที่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะกังวลขนาดนี้ แต่นี่เป็นเส้นทางของผม ผมคิดจะเดินต่อไปเรื่อยๆ คุณเข้าใจก็ดี ไม่เข้าใจก็ดี บางทีอาจรู้สึกว่าผมทำคุณขายหน้า…”
“ไม่ ไม่ขายหน้า!”
ถังเฟิงเอ่ยอย่างจริงจัง “ทำได้ดีมาก! ฟางผิง บางทีอาจารย์อาจคิดเห็นไม่ตรงกับเธอจริงๆ บางทีรุ่นของพวกเราอาจสายตาไม่กว้างไกลเท่าพวกเธอ ในเมื่อเธอคิดว่าถูก งั้นก็ทำต่อไป ฉันคนนี้เรื่องอื่นอาจไม่ไหว แต่ฝีมือต่อสู้ยังพอมีอยู่บ้าง ทางมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ฉันจะสนับสนุนให้เธอทำต่อไปเอง!”
“ขอบคุณอาจารย์ที่สนับสนุน”
ฟางผิงยิ้มอย่างผ่อนคลาย มองไปทางฉินเฟิ่งชิงที่เผยท่าทีโมโห “ฉินเฟิ่งชิง เดี๋ยวเอาของไปมอบให้สมาคมด้วยล่ะ”
“ฉัน…”
“ฉินเฟิ่งชิง ขึ้นชื่อว่าเป็นนักศึกษาของเซี่ยงไฮ้ เป็นศิษย์หลานของอธิการเฒ่าหรือจะพูดว่าศิษย์ครึ่งหนึ่ง นายไม่อยากจะสนองเจตนารมณ์ของอธิการหรือไง? หนึ่งมหาวิทยาลัยกำราบหนึ่งถ้ำใต้ดิน หรือโลหะเศษเล็กเศษน้อยในมือนายจะเทียบได้กับเรื่องพวกนั้น?”
สีหน้าของฉินเฟิ่งชิงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาไม่หยุด
“ช่างเถอะ นายจะเอาไว้ก็ได้ วันหน้าหากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ของพวกเราตายในสนามรบไกลบ้าน นายอย่าลืมหลั่งน้ำตาให้พวกเราบ้างละกัน นับว่าได้แสดงเจตนารมณ์แล้ว”
“ฟางผิง อย่ามาไม้นี้!”
ฉินเฟิ่งชิงมีโทสะขึ้นมา ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “ได้ เอาให้นายหมดเลย! ฉันรู้อยู่แล้วๆ…”
แม่งเหอะ!
ฉันรู้อยู่แล้ว มีฟางผิงอยู่ ตัวเองตักตวงผลประโยชน์ไม่ได้หรอก นึกไม่ถึงว่ายังใช้มารยาทำให้คนเชื่อในคำพูดอีก!
เจ้าหมอนี่พูดเก่งเกินไปแล้ว
หากตัวเองไม่ให้อีก เพื่อเศษโลหะเล็กน้อยนี้ ภายหลังอาจารย์และนักศึกษาของเซี่ยงไฮ้ตายในสงคราม นั่นคงเป็นความรับผิดชอบของเขาแล้ว!
ฟางผิงไม่สนใจความคับข้องใจของเขา ถอนหายใจว่า “มีฝีมือเท่าไหร่ ภาระเยอะแค่ไหนล้วนไม่มีค่า ชั่วชีวิตผู้ฝึกยุทธ์ของฉันมีทั้งครอบครัวใหญ่และครอบครัวเล็ก ตอนที่ฝีมืออ่อนแอดูแลครอบครัวเล็ก ตอนที่แข็งแกร่งดูแลครอบครัวใหญ่! สิ่งที่ฉันทำมาทั้งหมด ไม่อาจทำให้ทุกคนพอใจหรือเชื่อมั่นได้ แต่ฉันเชื่อว่าต้องมีสักวันหนึ่งที่พวกนายสามารถเข้าใจความหวังดีของฉัน”
พวกนักศึกษาหลายคนรวมถึงถังเฟิงต่างเผยสีหน้าหนักแน่น
มองไปทางฉินเฟิ่งชิง…หลายคนไม่พอใจอยู่บ้าง เพื่อทรัพย์สินเล็กน้อยแค่นี้เนี่ยนะ ยังมีความเป็นผู้ฝึกยุทธ์อยู่หรือเปล่า?
ฟางผิงไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เดินไปก็เอ่ยไปพลาง “ผมพูดคุยกับมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ซีซานและหนานเจียงแล้ว จะเริ่มเชื่อมต่อแพลตฟอร์ม แลกเปลี่ยนอาจารย์ รวมถึงแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาต่อสู้ อาจารย์ถัง ผมหวังว่าคุณจะสนับสนุนผม”
ถังเฟิงขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจรจาแล้ว? พวกเขาตอบรับหรือเปล่า?”
“ครับ ถ้าไม่เหนือความคาดหมาย น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”
ฟางผิงพูดจบก็เอ่ยต่อ “นอกจากมหาวิทยาลัยพวกนี้แล้ว ผมจะเจรจากับสถาบันอื่นอีก เพื่อให้ทุกคนติดต่อแลกเปลี่ยนอย่างลึกล้ำยิ่งขึ้น ตอนนี้ระดับสูงของมหาวิทยาลัยไม่ออกหน้า ให้นักศึกษาอย่างพวกเราจัดการก็เพียงพอแล้ว เป็นแบบนี้หากเกิดปัญหา มหาวิทยาลัยก็จะมีข้ออ้างได้ เป็นความรับผิดชอบของผมทั้งหมด ผมไม่สนใจว่าจะถูกคนนินทาว่าร้ายอะไร หวังว่าพวกอาจารย์จะสามารถเข้าใจ ผมนั้นไม่ได้ทำเพื่อช่วงชิงผลประโยชน์ให้ตัวเอง ผมรู้ดีแก่ใจว่าที่ทำทุกอย่างในตอนนี้ล้วนเพื่อมหาวิทยาลัยทั้งนั้น พวกปรมจารย์เหมือนเป็นครอบครัวของผม เรื่องแย่งชิงอำนาจ เป็นแค่เรื่องตลกเท่านั้น”
———————–