ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 352 บอกไปตั้งนานแล้วว่านายอ่อนแอที่สุด (1)
ตอนที่ 352 บอกไปตั้งนานแล้วว่านายอ่อนแอที่สุด (1)
วันที่ 18 ธันวาคม
มหาวิทยาลัยปักกิ่งพบกับโรงเรียนเตรียมทหารอันดับหนึ่ง
นี่ถือเป็นการแข่งขันรอบรองชนะเลิศเช่นกัน ใครชนะก็จะได้เข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
ส่วนมหาวิทยาลัยหกแห่งอื่นๆ ตอนนี้มีการกำหนดการจัดอันดับออกมาแล้ว ไม่ต้องแข่งขันต่ออีก
โรงเรียนเตรียมทหารจิ่วโจวถูกจัดในอันดับที่ห้า
มหาวิทยาลัยหวากั๋วเพราะเสมอกับมหาวิทยาลัยจิงหนานจึงจัดอยู่ในอันดับหก ในความเป็นจริงมหาวิทยาลัยจิงหนานและมหาวิทยาลัยหวากั๋วมีคะแนนสะสมเท่ากัน แต่มหาวิทยาลัยหวากั๋วฝีมือแข็งแกร่งกว่าจิงหนาน หลังจากกำหนดการจัดอันดับออกมา จิงหนานจึงสามารถเลือกที่จะประลองกับหวากั๋วเพิ่งตัดสินการจัดอันดับหกและเจ็ดได้ แต่อาการบาดเจ็บของหลิวซื่อเจี๋ยฟื้นฟูขึ้นมาก ท้ายที่สุดจิงหนานจึงเลือกยอมแพ้
มหาวิทยาลัยจิงหนานอันดับเจ็ด
มหาวิทยาลัยตงหนานอันดับแปด
มหาวิทยาลัยไท่ซานอันดับเก้า
มหาวิทยาลัยครุศาสตร์หวาตงอันดับสิบ
การจัดอันดับเช่นนี้ แตกต่างจากการคาดเดาของโลกภายนอกอยู่บ้าง
มหาวิทยาลัยที่เป็นม้ามืดที่สุดก็คือมหาวิทยาลัยหนานเจียง ฝ่าเข้าไปถึงรอบรองชิงชนะเลิศ อย่างน้อยต้องถูกจัดในอันดับที่สี่
ส่วนสถาบันที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือโรงเรียนเตรียมทหารอวิ๋นเมิ่ง ไม่ได้เข้าสู่สิบอันดับ
ในพันธมิตรแปดมหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลนยีหวาหนานที่ฝีมือไม่อ่อนด้อยถูกคัดออก ก็ทำให้คนสะท้อนใจเช่นกัน
กลับเป็นครุศาสตร์หวาตงที่มีฝีมือทั่วไปในพันธมิตรแปดมหาวิทยาลัย ท้ายที่สุดกลับฝ่าเข้าในสิบอันดับแรกได้ แม้จะจัดอยู่ในอันดับสุดท้ายก็ตาม
—
หลังจากประกาศหกอันดับ การแข่งขันแลกเปลี่ยนก็ใกล้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายแล้ว
วันที่ 18 ธันวาคม เฉินอวิ๋นซีมาถึงมหาวิทยาลัยปักกิ่งอีกครั้ง
สนามกีฬา
เฉินอวิ๋นซีเอ่ยอย่างตื่นเต้นว่า “ฟางผิง ฉันทะลวงด่านแล้ว!”
“อืม”
ฟางผิงนั่งพิงเก้าอี้ เอ่ยอย่างเกียจคร้านว่า “ไม่เลว ขั้นสามตอนปลายแล้ว เทียบกับจ้าวเหล่ยยังเร็วกว่าอยู่บ้าง ถือเป็นนักศึกษาปีสองคนที่สองในมหาวิทยาลัยศิลที่ปะการต่อสู้ที่เข้าสู่ขั้นสามตอนปลาย ไม่เลวจริงๆ”
“คนที่สามไม่ใช่เหรอ?”
เฉินอวิ๋นซีอดเอ่ยไม่ได้ หานซวี่เร็วกว่าเธออยู่บ้าง
“ฉันไม่นับ”
ฟางผิงเอ่ยอย่างเหนื่อยหน่ายว่า “นับตั้งแต่ฉันเป็นประธาน ฉันก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่นักศึกษาอีกแล้ว”
“ใช่ นายเป็นมิจฉาชีพต่างหาก!”
คำพูดนี้ไม่ได้มาจากเฉินอวิ๋นซีอยู่แล้ว ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างดูแคลน มองไปทางเฉินอวิ๋นซีว่า “อวิ๋นซี เจ้าฟางผิงคนนี้ต่ำช้ายิ่งกว่าหนองใต้ฝ่าเท้าซะอีก อย่าพูดไร้สาระกับเขาเลย มานี่ มานั่งกับรุ่นพี่ รุ่นพี่จะชี้แนะเส้นทางฝึกวิชาให้เธอเอง”
เฉินอวิ๋นซีมองเขาแวบหนึ่ง ไม่คิดปฏิเสธอะไร แต่ยังคงย้ายที่ออกห่างจากเขาเล็กน้อย
ฉินเฟิ่งชิงหมดคำจะพูด ไม่รู้ว่าคิดอะไรได้ เอ่ยด้วยใบหน้าแช่มชื่นขึ้นมาอีกครั้ง “อวิ๋นซี ฉันได้ยินว่าเธอขาดแคลนอาวุธ? รุ่นพี่ก็ไม่ได้มีของดีอะไรหรอก แต่มีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งที่เหมาะกับเธอพอดี รุ่นพี่ไม่เอาเปรียบเธอ ขายให้แปดสิบล้านพอ ตอนแรกมีคนเสนอราคาตั้งร้อยล้านฉันยังไม่ขายเลย”
“รุ่นพี่ฉิน ฉันไม่ได้ขาดแคลนอาวุธ”
เฉินอวิ๋นซีส่ายหัวปฏิเสธ
ฉินเฟิ่งชิงร้อนใจอยู่บ้าง “ไม่ขาดแคลนได้ยังไง? ตอนนี้เธอใช้อาวุธโลหะผสมระดับ C อยู่เลย ไม่นานเธอก็จะขั้นสี่แล้ว เวลานี้อย่างน้อยต้องจะเตรียมกระบี่โลหะผสมระดับ B ไว้ใช้สักอัน…”
“ปู่ฉันเตรียมไว้ให้แล้ว”
ฉินเฟิ่งชิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “งั้นยาบำรุงต้องขาดแคลนบ้างอยู่แล้ว รุ่นพี่มียาบำรุงเลือดและปราณขั้นสามหลายสิบเม็ดเลย ขายให้เธอเม็ดละสองล้าน…”
ฉินอวิ๋นซีเผยสีหน้าขุ่นเคือง ฉันเหมือนคนโง่ขนาดนั้นเลยหรือไง?
มหาวิทยาลัยขายเม็ดละสี่สิบคะแนน ตอนนี้หาคะแนนได้ง่ายขึ้น บอกว่ามูลค่าหนึ่งล้านสองแสน แต่ถ้าค้าขายอย่างลับๆ อาจจะซื้อในราคาหนึ่งล้านได้ด้วยซ้ำ
ฉินเฟิ่งชิงอ้าปากไม่ทันไรก็สองล้านแล้ว ฉันเหมือนคนโง่ขนาดนั้นเลย?
“รุ่นพี่ฉิน ฉันไม่ต้องใช้”
“จะไม่ใช้ได้ยังไง? ใช่สิ รุ่นน้องอวิ๋นซี เรื่องที่เธอติดเงินฉันห้าล้าน ยังจำได้หรือเปล่า? ตอนนี้รุ่นพี่ขาดแคลนเงินเหลือเกิน แต่คนกันเองคิดแค่…”
“รุ่นพี่ฉิน!”
ฉินอวิ๋นซีไม่พอใจอยู่บ้าง โมโหอย่างเห็นได้ชัด “ฉันไม่ได้ติดเงินนาย!”
“ดูพูดเข้า…”
ฟางผิงที่อยู่ด้านข้างอ้าปากหาวออกมา ฉินเฟิ่งชิงบ้าไปแล้วสินะ?
อยู่ดีๆ ทำไมคิดมารีดไถเฉินอวิ๋นซีซะได้?
ฉินเฟิ่งชิงต้องคิดจะรีดไถอยู่แล้ว เศรษฐีชัดๆ!
เมื่อคืนเขาเพิ่งได้ยินคนเล่าว่าเฉินอวิ๋นซีพกหินพลังงานฝึกวิชาขนาดเท่าไข่ไก่ไปฝึกวิชาที่มหาวิทยาลัย ตอนนี้ฝึกเสร็จสิ้น ทะลวงขั้นสามตอนปลายแล้ว แต่หินพลังงานฝึกวิชายังใช้ไม่หมด อาจจะเหลืออีกครึ่งใหญ่
นี่ถือเป็นเศรษฐีอย่างแท้จริง!
ฟางผิงรีดไถคนจนอย่างเขามีประโยชน์อะไร จะหาเป้าหมายก็ควรหาเศรษฐีอย่างเฉินอวิ๋นซีสิ
ทั้งเขายังได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้ฟางผิงเคยขายยาบำรุงให้เฉินอวิ๋นซีเหมือนกัน
ฟางผิงขายได้ เขาต้องขายได้เหมือนกัน
อย่างมากก็ไปกู้เงินเหมามาสักชุดหนึ่ง ตอนนี้หาคะแนนได้ง่ายๆ อยู่แล้ว
ฉินเฟิ่งชิงตื้อไม่หยุด ฟางผิงเห็นว่ามหาวิทยาลัยทั้งคู่จะลงสนามแล้วจึงหงุดหงิดอยู่บ้าง นายคิดว่าจะมีใครหลอกง่ายเหมือนนายอีกหรือไง?
เห็นเขายังพูดไร้สาระ ฟางผิงจึงใช้พลังจิตใจแปลงเป็นเส้นเล็กๆ กระตุกเรียกเฉินเย่าถิงที่อยู่ไกลๆ
เฉินเย่าถิงหันกลับมา เผยสีหน้าดำคล้ำ
ฟางผิงรีบส่งยิ้ม ชี้ไปทางฉินเฟิ่งชิง
เฉินเย่าถิงเห็นแบบนั้นจึงแอบฟังอยู่พักหนึ่ง ก่อนใบหน้าจะค่อยๆ ดำเป็นก้นหม้อ
ทางฉินเฟิ่งชิงยังคงโน้มน้าวขายยาบำรุงของตัวเอง ผลปรากฏว่าเบื้องหน้ากลับมืดไปหมด ครู่ต่อมาฉินเฟิ่งชิงก็พบว่าตัวเองเหมือนไม่ได้อยู่ที่เดิมอีกแล้ว
ส่วนอยู่ที่ไหน ตอนนี้เขายังหาคำตอบไม่ได้ รอบทิศทางมีแต่ความมืดไปหมด
ฟางผิงมองฉินเฟิ่งชิงที่ถูกตอกลงไปใต้ดินแวบหนึ่ง ดีใจที่คนอื่นเดือดร้อนอยู่บ้าง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ในที่สุดก็สงบสักที”
เจ้าหมอนี้พูดมากเกินไปแล้ว
หลอกคนก็คิดจะหลอกง่ายๆ แบบนี้เลย?
คิดว่าคนอื่นเป็นคนโง่หมดหรือไง
หลอกคนนั้นต้องใช้เทคนิค เป็นเรื่องง่ายๆ แบบนั้นที่ไหน ฉินเฟิ่งชิงมักง่ายเกินไป
เฉินอวิ๋นซีถอนหายใจอย่างโล่งอกเช่นกัน ก่อนจะเอ่ยอย่างรู้สึกผิดอยู่บ้าง “รุ่นพี่ฉินไม่เป็นไรสินะ?”
“ไม่เป็นไร ให้เขาพักสักหน่อย”
ฟางผิงไม่สนใจเท่าไหร่ ใช้มือเคาะหัวที่ยังโผล่ออกมาด้านนอกของฉินเฟิ่งชิง หัวเราะว่า “ม่านพลังจิตใจไม่หนาเท่าไหร่ ครึ่งชั่วโมงก็น่าจะออกมาได้แล้ว”
เห็นเขาเคาะหัวฉินเฟิ่งชิงราวกับเคาะแตงโม คนที่อยู่รอบๆ ก็พากันกลั้นขำ อีกเดี๋ยวถ้าฉินเฟิ่งชิงออกมาต้องหาทางจัดการเขาแน่
ฟางผิงไม่สนใจอยู่แล้ว คนกลุ่มหนึ่งจะเข้าใจอะไร เปิดม่านพลังงานออกมาแล้ว ฉินเฟิ่งชิงสับสนมึนงง จะรับรู้เรื่องภายนอกได้ยังไงกัน ตอนนี้ฉี่รดหัวเขา เขายังไม่รู้ว่าใครทำด้วยซ้ำ
ไม่สนใจฉินเฟิ่งชิงอีก ฟางผิงมองเหยาเฉิงจวินและหลี่หานซงที่อยู่บนเวที เอ่ยว่า “ทั้งสองคนเพิ่งจะทะลวงด่านเมื่อคืน ลมหายใจแข็งแกร่งขึ้นไม่น้อย รอถึงรอบชิงชนะเลิศ ดูท่ายังจะแข็งแกร่งกว่านี้ ทะลวงขั้นห้าทำให้ฝีมือพวกเขาเพิ่มขึ้นไปอีกช่วงหนึ่งจริงๆ”
พวกจางอวี่อิจฉาอยู่บ้าง ขั้นห้า พวกเขาก็ปรารถนาเช่นกัน น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังเร็วเกินไป
เฉินเหวินหลงครุ่นคิดเล็กน้อย ถามออกไปว่า “นายคิดว่าใครจะชนะ?”
“เหยาเฉิงจวินล่ะมั้ง”
“เหยาเฉิงจวิน?”
ทุกคนแปลกใจอยู่บ้าง เมื่อวานเหยาเฉิงจวินถูกฟางผิงซัดจนราบคาบ แสดงศักยภาพไม่โดดเด่นเท่าไหร่
กลับเป็นหลี่หานซง แม้ว่าจะแพ้ให้หวังจินหยาง แต่ก็ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บหนักเช่นกัน
เทียบเรื่องอาการบาดเจ็บ หลี่หานซงอาจไม่หนักเท่าหวังจินหยางเสมอไป
เขาได้รับบาดเจ็บที่กะโหลกเท่านั้น ถูกโจมตีจุดที่แข็งแกร่งที่สุด นี่ถึงยอมรับความพ่ายแพ้ ไม่ได้ด้อยไปกว่าหวังจินหยางสักเท่าไหร่
ฟางผิงพยักหน้าว่า “แม้หลี่หานซงจะหลอมกะโหลกโดยกำเนิด ปราณและพื้นฐานร่างกายแข็งแกร่ง แต่เขาทะลวงขั้นห้า ฝีมือไม่ได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนเท่าไหร่ กลับเป็นเหยาเฉิงจวิน…หลังจากทะลวงด่าน พลังจิตใจก็เพิ่มขึ้นมาหนึ่งช่วง ตอนนี้เกรงว่าอาจไม่ด้อยไปกว่าฉัน บางทีอาจจะแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยซะอีก หากเป็นความก้าวหน้าเรื่องฝีมือ เขาจะเด่นชัดกว่า ถ้าตอนแรกทั้งสองคนฝีมือพอๆ กัน งั้นตอนนี้เหยาเฉิงจวินก็ได้เปรียบมากกว่า ฉันเลยคิดว่าเหยาเฉิงจวินมีโอกาสชนะสูง แต่แม้จะเป็นแบบนี้ เอาชนะหลี่หานซงแล้ว โรงเรียนเตรียมทหารอันดับหนึ่งก็มีโอกาสชนะไม่มากเช่นกัน ฝีมือโดยรวมของมหาวิทยาลัยปักกิ่งแข็งแกร่งกว่า เหยาเฉิงจวินเอาชนะเขา อย่างน้อยต้องใช้พลังจิตใจจนเกลี้ยง ไม่แน่ว่ายังจะบาดเจ็บหนักอีก ไม่อาจเอาชนะฉินเจ๋อได้”
ฟางผิงคาดการณ์แบบนี้ ไม่ใช่ว่าไร้หลักฐานอ้างอิง
ถ้าหลี่หานซงพลังจิตใจแข็งแกร่งกว่าหน่อย แม้ว่าจะปลดปล่อยได้เพียงเล็กน้อย เขาคิดว่าหลี่หานซงมีโอกาสชนะมากกว่า
แต่หลี่หานซงยังไม่แตะถึงมาตรฐานนี้ นี่จึงกลายเป็นจุดอ่อน
ในสถานการณ์ที่ฝีมือของทั้งสองพอๆ กัน โอกาสพ่ายแพ้ก็จะมีเยอะ
—
ระหว่างที่ฟางผิงพูด ทั้งสองคนก็เริ่มประมือกันแล้ว
ควรต้องพูดว่าหลังจากทะลวงขั้นห้า เสียงจากการปะทะของทั้งสองคนก็ดังกึกก้องกว่าเมื่อวานซะอีก
ร่างทองของหลี่หานซงเปล่งแสงเจิดจ้ามากขึ้น
ฟางผิงถึงกระทั่งสงสัยว่าเจ้าหมอนี้อาจจะถึงขั้นหกแล้ว หรือไม่ก็สามารถสะสมพลังจนร่างทองกึ่งหนึ่งเหมือนตาเฒ่าหลี่ได้ ไม่สิ บางทีอาจจะก้าวหน้ากว่านั้น!
กะโหลกของเขาแข็งแกร่งยิ่งกว่า!
พลังจิตใจของเหยาเฉิงจวินแข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน ฟางผิงสามารถรับรู้ถึงคลื่นพลังจิตใจของเขาได้อย่างชัดเจน อาการบาดเจ็บเล็กน้อยเมื่อวาน ตอนนี้ก็ฟื้นฟูแล้ว ดูท่าการทะลวงด่านจะมีประสิทธิภาพต่อการฟื้นฟูพลังจิตใจเช่นกัน
เมื่อวานเหยาเฉิงจวินทะลวงด่าน ไม่แน่ว่าอาจจะมีความคิดอยากรักษาอาการบาดเจ็บด้วย
ทั้งขึ้นชื่อว่าเป็นยอดฝีมือขั้นห้า ทั้งสองคนจึงฟื้นฟูเร็วอย่างยิ่ง สะพานฟ้าดินทะลวงถึงกัน อนุภาคพลังงานรอบๆ จึงทะลักเข้าสู่ใจกลางสนามไม่ขาดสาย ถูกสองคนดูดกลืนเข้าร่างกาย
ฟางผิงขมวดคิ้วเล็กน้อย สองคนนี้ฟื้นฟูรวดเร็วทีเดียว คนหนึ่งอาศัยพลังจิตใจเพื่อฟื้นฟูให้เร็วขึ้น อีกคนหลอมกะโหลกทำให้ฟื้นฟูเร็วยิ่งขึ้นเช่นกัน
หลังจากนี้เจอกับพวกเขา ทำสงครามพร่ากำลังคงไม่เกิดประโยชน์เท่าไหร่แล้ว
ทั้งสองคนประมือกัน เสียงดังอึกทึกครึกโครม ปรากฏเป็นฉากที่งดงาม
ท้องฟ้าถูกสะท้อนแสงสีทองครึ่งหนึ่ง เป็นสีสว่างอีกครึ่งหนึ่ง
ในสนามกีฬา นอกจากบนเวทีแล้ว บริเวณที่สองคนปะทะกันอยู่ พื้นดินต่างค่อยๆ ยุบลงไป
————————-