ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 367-2 ย่านตลาดของถ้ำใต้ดิน (2)
ตอนที่ 367 ย่านตลาดของถ้ำใต้ดิน (2)
ท่ามกลางความมืด ฟางผิงยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของหลังคา หากไม่ตรวจสอบอย่างละเอียด คงไม่มีใครตระหนักถึงเขา
ฝั่งตรงข้ามเป็นสิ่งก่อสร้างสูงสองชั้นที่ประตูใหญ่กำลังเปิดอยู่
บ้านในถ้ำใต้ดิน หลักๆ จะสร้างจากหินขนาดใหญ่และไม้ ดูหยาบไปอยู่บ้าง ส่วนมากจะประดับตกแต่งด้วยหนังสัตว์ประหลาด เขาสัตว์ประหลาดหรือเขี้ยวสัตว์ประหลาดอะไรพวกนี้
มองจากจุดนี้ มนุษย์ถ้ำเหมือนกับมนุษย์เผ่าเล็กๆ ในสมัยโบราณเช่นกัน
แต่ว่าสิ่งก่อสร้างไม่แสดงให้เห็นถึงอะไร สไตล์ไม่เหมือนกันเท่านั้น
มนุษย์ถ้ำมีการถ่ายทอดตัวอักษร ศิลปะการต่อสู้ แบ่งระดับชนชั้น มีการสร้างกองทัพทหาร เรื่องพวกนี้สื่อให้เห็นว่ามนุษย์ถ้ำไม่ถึงกับไร้อารยะธรรมเหมือนคนป่า แต่เป็นอารยะธรรมใหม่ที่มีทิศทางการพัฒนาที่แตกต่างออกไป
สิ่งก่อสร้างฝั่งตรงข้ามบางทีอาจจะจัดอยู่ในสถานที่ประเภทคลับบาร์หรือร้านน้ำชาของมนุษย์บนโลก
ตอนนี้โคมไฟสลัวลงเล็กน้อย แต่ข้างในยังมีคนเยอะทีเดียว
แทบจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด!
ระดับชนชั้นของถ้ำใต้ดินแบ่งแยกค่อนข้างชัดเจน ฟางผิงไม่รู้ว่าเป็นเพราะค่าใช้จ่ายสูง คนทั่วไปเข้าไม่ได้หรือเดิมทีก็ไม่อนุญาตให้เข้าอยู่แล้ว มนุษย์ถ้ำไม่กี่คนที่เขาเห็นว่าไม่มีคลื่นพลังงานแทบจะเป็นพนักงานทั้งหมด
คนอื่นๆ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งหรืออ่อนแอต่างมีคลื่นพลังงาน
ในสายตาของฟางผิงต่างอ่อนแอทั้งหมด ส่วนใหญ่แทบไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งขั้นสองของมนุษย์เท่าไหร่ ขั้นสามมีน้อยมาก เห็นแค่คนหนึ่งดื่มสุราอยู่ชั้นสองเท่านั้น ความสามารถเช่นนี้ ฟางผิงไม่จำเป็นต้องลงมือ ระเบิดพลังจิตใจอาจจะสั่นสะเทือนยอดฝีมือไม่ตาย แต่คนอ่อนแอพวกนี้ ตายได้ในพริบตาเดียวเท่านั้น
แน่นอนว่าตอนนี้ฟางผิงไม่ได้มาเพื่อฆ่าคน
ฟางผิงขยับหูเล็กน้อย คนที่หลอมกระดูกหูเรียบร้อยแล้ว ขอแค่ตั้งใจฟัง ภายในรัศมีไม่กี่ร้อยเมตรยังได้ยินเสียงมดไต่ได้ด้วยซ้ำ
พวกผู้ฝึกยุทธ์ฝั่งตรงข้ามนั้น ดื่มสุราไปพลาง…ฟางผิงเดาว่าเป็นสุรา ทั้งยังทำท่าเหมือนกับมนุษย์ที่กำลังพูดคุยสัพเพเหระกันอยู่
ดื่มสุราไปคุยเล่นกันไป
น้ำเสียงหนักๆ ที่ปะปนกัน ฟางผิงฟังครั้งแรกยากจะแยกแยะอยู่บ้าง เมื่อฟังหลายครั้งกลับฟังความหมายบางอย่างออก
ภาษาๆ หนึ่ง เมื่อเข้าใจความหมายพื้นฐานของภาษาบางส่วนแล้วก็สามารถแยกแยะออกได้ รวมกับน้ำเสียง ท่าทางและอารมณ์แล้ว ก็จะสามารถเข้าใจความหมายคร่าวๆ ได้
ข่าวใหญ่ของวันนี้ไม่ใช่เรื่องอื่นใด เป็นเรื่องสงครามใหญ่ตอนกลางวันพอดี!
มีระดับสูงยี่สิบคนต่อสู้ในสนามรบ เกิดขึ้นห่างจากสถานที่นี้ประมาณห้าร้อยลี้เท่านั้น สงครามไล่ล่าภายหลังถึงกระทั่งมีสงครามของขั้นเก้าเกิดห่างจากที่ทุกคนอยู่ไม่ถึงร้อยลี้ พลังของยอดฝีมือสะท้านฟ้าสะเทือนดิน คนเหล่านี้ต่างสัมผัสได้
เวลานี้ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างพวกนี้ต่างถกประเด็นเรื่องสงครามใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนด้วยความสนอกสนใจ
“พี่ตวนมู่ ข่าวสารของนายค่อนข้างรวดเร็ว ตอนกลางวันราชาได้ลงมือด้วยตัวเองหรือเปล่า?”
“พี่ตวนมู่ เป็นเมืองไป๋เอ้อร์ที่บุกทะลวงเข้ามาใช่หรือไม่?”
“ได้ยินว่าสงครามครั้งนี้สูญเสียขุนพลไปไม่น้อย เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า?”
“…”
“ไม่ใช่เมืองไป๋เอ๋อร์บุกเข้ามา แต่เป็นยอดฝีมือต่างแดน!” ในฝูงชน ผู้ฝึกยุทธ์หนุ่มขั้นสองคนหนึ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนก็รู้ดี อาณาจักรหนานจิ่วของพวกเราไม่มีแค่เขตแดนเดียว ครั้งนี้เหมือนเขตแดนจะเปิดออก ยอดฝีมือที่เขตแดนใกล้กับพวกเราอยากจะรุกล้ำเข้ามาในหนานจิ่ว ราชาและท่านอารยะแม่ทัพหลายคนมีการเตรียมพร้อมโจมตีศัตรูตั้งนานแล้ว ยอดฝีมือต่างแดนบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน แม้ว่าเมืองจู้หลิวก็เกิดการสูญเสีย แต่ไม่ได้ร้ายแรงจนเกินไป มีราชาและพวกท่านอารยะอยู่ ยอดฝีมือต่างแดนทำอะไรไม่ได้หรอก ฉันได้ยินพ่อบอกว่าราชาจะส่งคนไปขอความร่วมมือกับเมืองจู้ซงเพื่อสังหารยอดฝีมือขั้นราชาจากต่างแดนคนนั้น ขอแค่สังหารราชาต่างแดนที่ทะลวงเข้ามาได้ เรื่องราวก็เสร็จสิ้นแล้ว”
“ต่างแดนก็มีราชาอย่างนั้นเหรอ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว แม้ราชาของเราจะแข็งแกร่งที่สุดในหมู่ราชา แต่เมืองจู้หลิวก็มีต้นหลิวศักดิ์สิทธิ์อยู่ ราชาต่างแดนไม่กล้าประมือกับราชาในเมืองจู้หลิวเหมือนกัน ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย!”
“พี่ตวนมู่ ได้ยินว่าครั้งนี้ขุนพลยอดฝีมือตายไปไม่น้อย งั้นนายท่านตวนมู่…ครั้งหน้าจะเจอพี่ตวนมู่ได้ บางทีอาจต้องไปที่เมืองหลักสินะ”
“ระวังคำพูดหน่อย…”
“…”
ภายในโรงสุรานั้น คนในชั้นหนึ่งพูดคุยกันอย่างออกรส เพราะไม่ได้รู้สึกกังวลจากเรื่องที่ราชาต่างแดนบุกเข้ามา
มีราชาหลิวอยู่ งั้นคงไม่เป็นอะไร จุดนี้ฝังรากลึกในใจของผู้คนมานานแล้ว
ราชาไป๋เอ้อร์แข็งแกร่งขนาดนั้น ก่อนหน้านี้ประมือกับราชาหลิวยังไม่เป็นฝ่ายได้เปรียบเลย
ความแข็งแกร่งของราชา ทุกคนสัมผัสได้ตั้งนานแล้ว ทั้งมีความเชื่อมั่นอย่างยิ่งต่อราชาหลิวเช่นกัน
—
ตรงข้ามกับโรงสุรา
ฟางผิงยังกำลังแปลความหมายในคำพูดของทุกคนอยู่ ฟังคนอื่นพูดให้มากหน่อย บางคำที่ไม่ค่อยเข้าใจก็จะเริ่มเดาได้อย่างคร่าวๆ
“รุ่นพี่อู๋ไม่เป็นไรจริงๆ ด้วย แต่ว่า…ขั้นเก้าของเมืองนี้เหมือนคิดจะร่วมมือกับขั้นเก้าอีกเมืองล้อมโจมตีรุ่นพี่อู๋ เหล่าอู๋คงไม่ตายหรอกนะ?”
“ทางเดินจะเสถียรครั้งที่สอง อย่างน้อยต้องวันมะรืน ทั้งครั้งที่สองจะมีขั้นเก้าเข้ามาหรือเปล่า พูดยากเหมือนกัน…ยังไงครั้งนี้ก็ไม่มีคนกลับไปส่งข่าว”
ตามแผนเดิมแล้ว หากอารักขาปากทางเดินไว้ได้ ตอนที่ทางเดินเสถียรครั้งที่สอง ฝั่งพวกเขาก็จะส่งคนกลับไปส่งข่าว
แต่ตอนนี้ไม่สามารถอารักขาปากทางเดินเอาไว้ได้ กลับไปส่งข่าวย่อมเป็นเรื่องไร้สาระ
ทางหนานเจียงอาจไม่ให้ยอดฝีมือเสี่ยงอันตรายเสมอไป จากแผนเดิมที่วางไว้อาจจะส่งหน่วยกล้าตายบางส่วนมาสืบเสาะสถานการณ์
หากไม่มีคนมาสนับสนุน…อู๋ชวนเผชิญหน้ากับขั้นเก้าสองคน อาจจะต้านได้ไม่นานเท่าไหร่นัก
“พูดยากเหมือนกัน ครั้งนี้ระดับสูงเข้ามาเยอะขนาดนี้ บางทีกลุ่มที่สองอาจจะมีขั้นเก้าเข้ามาด้วยก็ได้ จุดนี้เหล่าอู๋น่าจะรู้ดี”
ฟางผิงส่ายหัว ตอนนี้แม้ว่าเขาจะเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ แต่ยังไงก็ไม่ใช่ปรมาจารย์ยอดฝีมือ การตัดสินใจบางอย่าง เขาไม่มีอำนาจที่จะรับรู้เช่นกัน
ตอนนี้สิ่งที่เขารู้มีแค่ข้อมูลผิวเผินเท่านั้น
“ต้องเข้าไปปะปนกับระดับสูงสักหน่อย”
ฟางผิงพึมพำในใจ ก่อนจะพยายามจำแนกคำพูดของ ‘ตวนมู่’ ผู้นั้นอย่างละเอียด
แม้จะพยายามฟังก็มีบางคำที่ไม่เข้าใจ แต่ฟางผิงยังคงรู้ว่าเจ้าหมอนี่เหมือนจะเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง จับมาถามข้อมูลดีหรือเปล่า?
แต่จับมาก็ต้องฆ่าคนปิดปาก
ฆ่าคนๆ นี้แล้ว คงจะแหวกหญ้าให้งูตื่นอยู่บ้าง ไม่เป็นผลดีกับการแฝงตัวเข้าไปในเมืองหลังจากนี้เท่าไหร่
“หลายปีมานี้ปรมาจารย์ของมนุษย์ไม่เค้นถามข้อมูลเลยหรือไง? แม้ก่อนหน้านี้จะฟังภาษาไม่ออก แต่ปรมาจารย์จับคนบางส่วนมาคงไม่ใช่เรื่องยาก อยู่บนโลกคนพวกนั้นไม่กลัวตาย แต่ในอาณาเขตตัวเองอย่างถ้ำใต้ดิน พวกเขาก็ไม่กลัวตายเหมือนกันงั้นเหรอ?”
“บางครั้งสอบถามข้อมูลอาจไม่จำเป็นต้องใช้ความเข้าใจของภาษาเสมอไป”
ฟางผิงลูบคางตัวเอง มักคิดว่าเบื้องบนของมนุษย์กำลังปิดบังไว้หลายเรื่อง ความรู้สึกแบบนี้น่าหงุดหงิดจริงๆ
แต่ก็สามารถเข้าใจได้ เหมือนกับฟางผิงที่มีหลายเรื่องปิดบังต่อทุกคนเช่นกัน
ไม่ถึงระดับสูง รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์
เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ในสายตาระดับสูงของมนุษย์อาจมองว่าเคลื่อนไหวได้แค่ใกล้ๆ กับฐานทัพเท่านั้น รู้มากเกินไปไม่เกิดประโยชน์เท่าไหร่ กลับจะทำให้เกิดความหวาดกลัวและสิ้นหวังได้ง่าย
“ช่างเถอะ เรื่องพวกนี้รอกลับไปถึงบนโลกก่อน ฉันค่อยไปหาวิธีคลี่คลายอีกที เรื่องที่สำคัญในตอนนี้ยังคงเป็นการจับคนมาสืบเสาะข้อมูล ทั้งต้องห้ามทำให้เป็นจุดสนใจของคนอื่น”
ฟางผิงกวาดสายตาไปที่จอมยุทธ์คนเดียวบนชั้นสองคนนั้น!
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามน่าจะรู้เรื่องราวไม่น้อยสินะ?
ในหมู่บ้านเล็กๆ นี้ ขั้นสามก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ จู่ๆ หายไปหลายวัน น่าจะมีไม่กี่คนที่สงสัย?
ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำชอบออกไปล่าสัตว์ สำรวจผจญภัยและหาสมบัติข้างนอกอยู่แล้ว
แค่ไม่รู้ว่าคนๆ นี้จะมีเพื่อนสนิทที่ฝีมือร้ายกาจอยู่ในบ้านหรือเปล่า พอรู้ว่าคนหายไป จะเกิดความสงสัยขึ้นมา
“ไม่สนแล้ว!”
ฟางผิงกัดฟัน เขาไม่ได้คิดจะอยู่ที่นี่นานสักหน่อย อีกไม่กี่วันอาจจะกลับไปบนพื้นโลกแล้วก็ได้
จับมาถามก่อน ความแตกในหมู่บ้านเล็กๆ แบบนี้ก็ดีกว่าถูกเปิดเผยในเมืองอยู่แล้ว อย่างน้อยที่นี่ฟางผิงก็ยังมีความหวังหนีรอดออกไปได้
แต่ถ้าเป็นในเมือง คงไม่มีความหวังแล้ว
—
ในความมืด ฟางผิงมีความอดทนอย่างยิ่ง รอคอยอย่างใจจดใจจ่อ
ฟังคนอื่นๆ พูดคุยไปด้วย ทั้งต้องแบ่งสมาธิฟังการเคลื่อนไหวของจอมยุทธ์ชั้นสองคนนั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ คนที่อยู่ชั้นสองถึงเดินลงมา
ในตอนที่เขาเดินลงมา เถ้าแก่และแขกในโรงสุราชั้นหนึ่งต่างเผยสีหน้านอบน้อม ก้มหน้าใช้สายตามองส่งอีกฝ่ายจากไป แม้จะเป็น ‘คุณชายตวนมู่’ คนนั้นก็ไม่เว้นเช่นกัน
แขกชั้นสองเดินตรงดิ่งออกไปด้วยสายตาแน่วแน่ ไม่มีสีหน้าไม่พอใจอะไร
ฟางผิงเห็นสถานการณ์นี้จึงเข้าใจการแบ่งชนชั้นของถ้ำใต้ดินอย่างชัดเจน
ในประเทศจีนแม้ว่าจะแสดงความเคารพนับถือกับผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงก็ไม่ได้ทำถึงขั้นนี้
“เอานายนี่แหละ!”
ภายใต้แสงราตรี ฟางผิงใช้พลังจิตใจเกาะอีกฝ่ายตามออกไปตลอดทาง ต้องหยั่งเชิงสถานการณ์ก่อน
หากเขาเป็นฝ่ายออกไปข้างนอกเองหรือในบ้านไม่มีคนอื่น นั่นก็ลงมือสะดวกแล้ว
“บางทีอาจต้องจับเพิ่มอีกสักคน จะได้ไม่ถูกหลอก”
ฟางผิงคิดคำนวณในใจ เรื่องเกี่ยวพันกับความเป็นความตาย เขาให้ความสำคัญมาโดยตลอด ไม่ได้เอ้อละเหยเหมือนฉินเฟิ่งชิงขนาดนั้น คนแบบนี้จะตายเพราะทำตัวสบายเกินไปเข้าสักวัน
——————–