ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 368 เมืองราชา=แร่พลังงาน (1)
ตอนที่ 368 เมืองราชา=แร่พลังงาน (1)
หลังจากนั้นไม่กี่นาที เรือนใหญ่หลังหนึ่งกลางหมู่บ้าน
เทียบกับสิ่งก่อสร้างธรรมดาข้างนอกหมู่บ้านเล็กๆ แล้ว ฐานะทางสังคมของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามแตกต่างออกไปจริงๆ กระทั่งกำแพงหินยังดูมันวับอยู่บ้าง
กลางเรือนนั้นมืดสลัวไปหมด
ไม่มีข้ารับใช้ เหมือนจะไม่มีครอบครัวคนอื่นๆ เช่นกัน ฟางผิงใช้พลังจิตใจสัมผัสอยู่ครู่หนึ่งค่อยมั่นใจว่าไม่มีคนอื่นอยู่อีกแล้ว
ตอนนี้จอมยุทธ์เดียวดายคนนั้นเปิดประตูใหญ่เข้าไปในลานบ้านแล้ว
ไม่มีท่าทีระแวดระวังมากมาย บางทีอาจจะเพราะคุ้นชินกับตำแหน่งที่สูงของตัวเองแล้ว ไม่ก็ทางถ้ำใต้ดินหนานเจียงน่าจะไม่เคยเกิดสงครามใหญ่อะไรมาก่อน
เทียบกับถ้ำใต้ดินแห่งอื่น พอออกจากเมืองแล้ว ทุกคนต่างมีท่าทีระแวดระวังเป็นพิเศษ
“ชะล่าใจเกินไปแล้ว!”
ฟางผิงส่ายหน้าเบาๆ แต่แบบนี้ก็ดี เพราะการทำตัวสบายๆ ถึงจะทำให้มนุษยชาติสละชีวิตได้น้อยลง
—
ไม่ได้รีบร้อนลงมือ ฟางผิงมองตรวจสอบรอบทิศทาง ใกล้ๆ เรือนใหญ่ยังมีบ้านเรือนอีกหลายหลัง
แต่เหมือนว่าจะไม่มียอดฝีมืออยู่ ในสายตาของฟางผิงต่ำกว่าระดับกลางล้วนไม่นับว่ายอดฝีมือ
มั่นใจแล้วว่ามีความปลอดภัย เวลานี้ฟางผิงค่อยกระโดดเข้าไปในเรือนอย่างเงียบเชียบ ไร้กระทั่งเสียงลม
ในเรือนแบ่งเป็นช่วงด้านหน้าและด้านหลัง
เรือนด้านหน้า อีกฝ่ายดูจะเสวยสุขไม่น้อย ปลูกพืชพรรณดอกไม้สมุนไพรต่างๆ พลังงานอุดมสมบูรณ์…อันที่จริงฟางผิงอยากถอนยัดใส่ช่องเก็บของเช่นกัน แต่พอคิดดูแล้วก็ปล่อยไปก่อน ถอนของพวกนี้จะทำให้คนคิดเชื่อมโยงถึงคนนอกได้ง่าย
—
กลางห้องหนึ่งในเรือนด้านหลัง ตอนนี้จุดโคมไฟสว่างขึ้นมา
ฟางผิงปิดบังลมหายใจ ค่อยๆ คลำผิดคลำถูกเข้าไป
ไม่ได้ลงมือในทันที ฟางผิงมองสอดส่องไปในห้อง ตั้งม่านพลังงานไว้หนึ่งชั้น ป้องกันระดับกลางเป็นเรื่องยาก แต่สามระดับล่างย่อมไม่มีปัญหา
เมื่อมาถึงตอนนี้ฟางผิงค่อยผลักประตูเข้าไปอย่างไม่ลังเล ชั่วพริบตาที่ประตูปิดลง ม่านพลังจิตใจก็ปรากฏขึ้นทันที
ฟางผิงเข้าไปแล้วก็ต้อนรับเขาด้วยขาข้างหนึ่งทันที!
เพื่อไม่ทำลายสภาพแวดล้อมให้เสียหาย ฟางผิงคิดว่าจำเป็นต้องป้องกันเครื่องใช้ภายในห้อง พลังจิตใจพรั่งพรูออกมาโดยพลัน กดดันคนๆ นั้นที่อยู่ตรงข้ามจนนิ่งค้างไป!
“ใจเย็นๆ อย่าวู่วาม”
ฟางผิงใช้ภาษาถ้ำพูดออกไป ไม่รู้ว่าคำนี้ถูกต้องหรือเปล่า แค่พอเข้าใจก็เพียงพอแล้ว
ฟางผิงหาเก้าอี้นั่งลงกลางห้องแล้วก็ยกกาน้ำชาขึ้นมาจากโต๊ะ แววตาเผยความโลภอยากขโมยกลับไป
นี่ทำมาจากหยกสินะ?
ไม่สิ เป็นหยกทั้งก้อนที่คว้านมาทำเป็นกาน้ำชา!
แม่งเหอะ ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำพวกนี้มีเงินขนาดนี้เลย?
เมื่อก่อนไม่เห็นจะรู้เรื่องนี้!
ตอนที่กวาดรังขั้นเจ็ดของถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ ฟางผิงค้นพบว่าของที่อีกฝ่ายใช้เหมือนจะธรรมดาทั่วไปจึงไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้ นึกไม่ถึงว่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามคนหนึ่งจะใช้หยกแบบนี้มาทำเป็นกาน้ำชาได้
ถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ไม่มีวัสดุประเภทนี้ หรืออาจจะมี แต่ถูกมนุษย์ช่วงชิงไปนานแล้ว?
“เงินแค่เล็กน้อย อย่าใส่ใจเลย”
ฟางผิงถอนหายใจ ไม่สนใจของนอกกายพวกนี้อีก ครั้งนี้ที่เขามาก็เพื่อปะปนเข้ามาในเมือง หาหนทางรักษาให้ตาเฒ่าหลี่
อย่างที่สองเพื่อสืบเสาะข้อมูล ช่วยมนุษยชาติให้เข้าใจถ้ำใต้ดินหนานเจียงมากขึ้น
ส่วนผลประโยชน์ส่วนตัวต้องอยู่เป็นอันดับสุดท้าย ฟางผิงคิดว่าตัวเองเห็นแก่ส่วนรวมไม่น้อย
แต่ว่า…ไม่นานฟางผิงก็สงบจิตใจไม่ได้อีก!
ข้างกาน้ำชา เหมือนจะมีของที่คล้ายกับเตาขนาดเล็ก ด้านนอกทำจากโลหะผสม ด้านในนึกไม่ถึงว่าจะฝังหินพลังงงานไว้!
ฟางผิงวางกาน้ำชาไว้ข้างบน ลูบคลำอยู่ครู่หนึ่ง ผ่านไปสักพักจึงเข้าใจกลไกของมัน
มีตัวที่คล้ายกับปุ่มเปิดอยู่ ฟางผิงกดลงไป หินพลังงานก็เริ่มปลดปล่อยพลังงาน จากนั้นน้ำในกาจึงเริ่มร้อนขึ้น
“ช่างหรูหราฟุ่มเฟือยอะไรอย่างนี้!”
ฟางผิงลอบด่าอยู่ในใจ เขาไม่ใช้แก้วน้ำ แต่ดื่มน้ำร้อนจากกาน้ำชาไปตรงๆ สองสามอึก เข้ามาถ้ำใต้ดินยากที่จะเสวยสุขแบบนี้ก็ควรเสวยสุขสักหน่อย
เวลานี้ฟางผิงค่อยมองไปทางผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามที่ถูกเขาสะกดไว้
“พูดมา!”
น้ำเสียงเผยความโหดเหี้ยม รวมกับใบหน้าที่ยังมีรอยแผลประปรายจึงทำให้น่ากลัวเป็นพิเศษ
อันที่จริงเขาใช้พลังจิตใจสะกดอีกฝ่ายไว้ก็ทำให้อีกฝ่ายตกใจจนฉี่จะราดตั้งนานแล้ว
ยอดฝีมือตั้งระดับแม่ทัพ!
เสี้ยวพริบตาที่ฟางผิงคลายพลังจิตใจออก อีกฝ่ายไม่ได้ส่งเสียงขอความช่วยเหลือ แต่รีบคุกเข่ากับพื้นทันที ทั่วร่างเต็มไปด้วยความสั่นเทา “นายท่านอยากรู้อะไร?”
ตอนนี้ฟางผิงไม่ได้ระเบิดพลังปราณ แม้ว่าจะระเบิดออกมา ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามคนนั้นก็อาจไม่สัมผัสได้เสมอไป
ฟางผิงเห็นเขาให้ความร่วมมือจึงไม่ชักช้าอีก รีบเอ่ยว่า “เรื่องทั้งหมดของเมืองจู้หลิว พูดมาให้หมด!”
เมืองจู้หลิว เขาได้ยินคำเรียกนี้มาหลายครั้ง เป็นความหมายเดียวกับที่เขาเข้าใจหรือเปล่า ฟางผิงไม่ได้สนใจเรื่องนั้น
เขาถามมาแบบนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ที่คุกเข่าอยู่ก็ตัวสั่นระริกขึ้นมาทันที!
นี่ไม่ใช่ยอดฝีมือจากเมืองจู้หลิว!
ใคร?
คนของเมืองไป๋เอ้อร์?
คนของเมืองไป๋เอ้อร์คงไม่จับเขาที่เป็นผู้อ่อนแอมาถามแค่เรื่องพวกนี้
งั้นเป็นใครล่ะ?
ยอดฝีมือจากต่างแดน?
แม้ว่าในใจจะมีการคาดเดานับไม่ถ้วนผุดออกมา แต่เผชิญหน้ากับภัยคุกคามระหว่างความเป็นความตาย ชายหนุ่มจึงเริ่มพูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเมืองจู้หลิวออกมาอย่างละเอียด
ฟางผิงไม่ได้ถามเจาะประเด็น เขาจึงตอบค่อนข้างสะเปะสะปะ
บางครั้งที่ฟางผิงไม่เข้าใจก็จะให้เขาพูดซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายครั้ง ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามคนนี้ยิ่งมั่นใจว่ายอดฝีมือระดับแม่ทัพข้างหน้านี้มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นยอดฝีมือต่างแดนที่ทำสงครามกับราชาของพวกเขา
อันที่จริงฟางผิงไม่คิดว่าจะปิดบังได้เช่นกัน
คล้อยหลังจากที่ชายวัยกลางคนอธิบายออกมา ฟางผิงค่อยเข้าใจข้อมูลพื้นฐานบางส่วนในความคิดของพวกเขา
เมืองจู้หลิวคือเมืองราชาของพวกเขา
รอบๆ เมืองราชายังมีหมู่บ้าน เมืองใหญ่และเมืองเล็กๆ อีกมากมาย!
ในถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ ฟางผิงแทบไม่เห็นเมืองเล็กๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่มี ใกล้กับเมืองราชามีเมืองเล็กๆ ที่สร้างขึ้นจากยอดฝีมือระดับสูงบางส่วน โดยอยู่ภายใต้การปกครองของเมืองราชา
การสร้างเมืองเป็นอำนาจของยอดฝีมือระดับสูง เมืองราชาต้องเป็นขั้นเก้าเท่านั้น ซึ่งก็คือราชาจากปากของพวกถ้ำใต้ดิน
ที่ๆ ฟางผิงอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เมืองเล็ก ทั้งไม่มีระดับสูงนั่งรักษาการณ์อยู่ แต่ที่นี่อยู่ใกล้จากเมืองราชาอย่างมาก ในหมู่บ้านมียอดฝีมือระดับกลางคนหนึ่งรักษาการณ์อยู่หรือจะพูดอีกอย่างว่าหมู่บ้านแห่งนี้ก็คือที่ดินที่อีกฝ่ายมอบให้
สำหรับเรื่องนี้ฟางผิงไม่มีความสนใจเท่าไหร่
สิ่งที่เขาสนใจมากที่สุดยังคงเป็นเรื่องของเมืองราชา
ทางเมืองราชา ราชาหลิวก็คือราชาจากเมืองจู้หลิว กองกำลังใต้บังคับบัญชามีอารยะสองคนและแม่ทัพสูงสุดหนึ่งคน อารยะและแม่ทัพสูงสุดต่างเป็นยอดฝีมือขั้นแปด นี่เป็นชนชั้นอย่างหนึ่ง
อารยะนั้นไม่ต่างจากคำยกย่องที่มนุษยชาติเรียกปรมาจารย์สักเท่าไหร่ แม่ทัพสูงสุดกลับเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจสั่งการอย่างแท้จริง คล้ายกับเป็นผู้บัญชาการหน่วยทหารของเมืองราชา
ภายใต้แม่ทัพสูงสุด เมืองจู้หลิวยังมียอดฝีมือระดับแม่ทัพอีกสองคน ส่วนตกลงมีจำนวนเท่าไหร่ ชายคนนั้นไม่กระจ่างชัดเช่นกัน
ต่ำลงไปกว่านั้นก็เป็นยอดฝีมือขุนพลขั้นหก ยอดฝีมือพวกนี้ถึงจะเป็นกระแสหลักของเมืองราชา
พวกเขาอาจจะรวบรวมกองทัพ ก่อตั้งสักนิกาย สร้างเผ่าพันธุ์หรือวงศ์ตระกูลได้
เมืองราชาอยู่ใต้การปกครองของราชา
แต่ว่าอำนาจในเมืองราชาก็มีมากมายเช่นกัน หลักๆ คืออำนาจของวงศ์ตระกูล อำนาจของกองทัพและอำนาจของสำนัก
ฟางผิงไม่ค่อยชัดเจนเท่าไหร่ สำนักของถ้ำใต้ดินจะเหมือนกับมนุษย์หรือเปล่า เขาทำได้แค่ฟังเจ้าคนนี้อธิบาย คาดเดาว่านี่เป็นอำนาจประเภทสำนัก
เมืองจู้หลิวมีการติดต่อกับโลกภายนอกและมีธุรกิจการค้าเช่นกัน
แต่แค่กับเผ่าพันธุ์เยาจื๋อเท่านั้น!
หลังจากฟางผิงถามอย่างละเอียดค่อยเข้าใจความหมายโดยรวม!
“เยาจื๋อและเยามิ่งแบ่งเป็นสองฝั่ง?”
ฟางผิงพึมพำในใจ เบื้องบนของมนุษย์ทราบเรื่องนี้หรือเปล่า? น่าจะรู้สินะ?
ที่แท้ถ้ำใต้ดินก็แบ่งเป็นสองฝ่าย
เยาจื๋อและเยามิ่งสองเผ่าพันธุ์ อันที่จริงจากตราประจำเมืองน่าจะมองออกแล้ว ตราประจำเมืองเป็นพืช นั่นก็นับว่าเป็นเผ่าพันธุ์ของเยาจื๋อ ตราประจำเมืองเป็นสัตว์ นั่นก็เป็นเผ่าพันธุ์ของเยามิ่ง
“เมืองเทียนเหมินและเมืองตงขุยต่างถือว่าเป็นเผ่าพันธุ์เยาจื๋อ จู้หลิวก็เหมือนกัน!”
“เมืองไป๋เอ้อร์จากปากของพวกเขาน่าจะอยู่ในเผ่าพันธุ์เยามิ่ง”
“ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งสองฝ่าย อันที่จริงไม่แตกต่างกันมาก สิ่งที่แตกต่างมากที่สุดอยู่ที่สัตว์ผู้พิทักษ์!”
ฟางผิงตาเป็นประกาย!
ตราประจำเมืองไม่ใช่สิ่งที่ไร้ประโยชน์ทีเดียว!
ต้นหลิวศักดิ์สิทธิ์จากปากของชายคนนั้นก็คือเทพผู้พิทักษ์ของเมืองจู้หลิว อันที่จริงจากความเข้าใจของฟางผิงนับว่าเป็นปีศาจจำพวกพืชมากกว่า
เมืองถ้ำใต้ดินล้วนมีปีศาจระดับสูงคุ้มครองอยู่
ฟางผิงไม่รู้ว่าปีศาจพวกนี้ยินยอมหรือถูกบีบเค้นไร้ทางเลือก?
แต่ปีศาจจำพวกพืช เมื่อถึงระดับสูง โดยทั่วไปฝีมือจะแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ความแข็งแกร่งไม่ได้อยู่ที่ตรงนี้ ปีศาจจำพวกพืชจะสามารถรวบรวมพลังงานมอบให้คนในเมืองราชาฝึกวิชาได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
จุดนี้เป็นสิ่งที่ปีศาจจำพวกสัตว์ยากที่จะทำได้ ทั้งพูดได้ว่าไม่ยินดีที่จะทำ
แต่เผ่าพันธุ์เยาจื๋อมีจุดบกพร่องเช่นกัน สัตว์ผู้พิทักษ์ยากที่จะเคลื่อนย้าย ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้
ทว่าสัตว์ผู้พิทักษ์ของเผ่าพันธุ์เยามิ่งจะสามารถออกไปทำสงครามข้างนอกได้
———————