ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 370 ควรทำเรื่องสำคัญแล้ว (1)
ตอนที่ 370 ควรทำเรื่องสำคัญแล้ว (1)
เดินเลาะตามถนนหินไปทางขวาตลอดทาง
ระหว่างทางสองฝั่งของถนนมีร้านค้าและบ้านเรือนอยู่ประปราย
ด้านในร้านค้ามีขายแทบทุกอย่าง เสื้อผ้า อาวุธและหยูกยา…
ยังมีร้านค้าจำพวกให้บริการยานพาหนะ ด้านนอกมีสัตว์ประหลาดที่หน้าตาคล้ายกับม้าอยู่บางส่วน อันที่จริงในสายตาของฟางผิงนั้นมองเป็นม้าเช่นกัน
แต่ปราณไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ เกรงว่าจะยังไม่ถึงขั้นหนึ่งด้วยซ้ำ
สัตว์ประหลาดพวกนี้ อันที่จริงนับไม่ได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาด
รถม้าพวกนี้เหมาะจะใช้ภายในเมืองเท่านั้น เมืองราชามีต้นหลิวปีศาจอยู่ ต้นหลิวปีศาจไม่ได้ปล่อยลมหายใจออกมากดดันภายในเมือง แต่เป็นด้านนอกเมือง
ดังนั้นภายในเมืองจึงสามารถใช้รถม้าได้ หากออกไปนอกเมือง พอรับรู้ถึงพลังปราณของม้าพวกนี้ ไม่นานก็จะมีสัตว์ประหลาดมาโจมตีทันที
ฟางผิงเดินไปข้างหน้าต่อ ยิ่งเดินเข้าไปคนก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ
รอจนเดินมานับสิบเมตร จู่ๆ สิ่งก่อสร้างเบื้องหน้าก็ว่างเปล่า มีแค่ลานกว้างใหญ่ๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น!
ไม่มีสิ่งก่อสร้างอีกแล้ว คนกลับมีไม่น้อยเลยทีเดียว
ฟางผิงเห็นคนบางส่วนที่อยู่ข้างหน้าเขาพกของมาแล้วก็หาที่ว่าง ก่อนจะวางของพวกนั้นบนพื้น ไม่ได้ตะโกนเรียกอะไร ไม่นานก็มีผู้ซื้อเข้ามาตรวจสอบ
“ตลาดงั้นเหรอ?”
ฟางผิงพอจะคาดเดาประโยชน์ของตลาดใหญ่นี้ได้แล้ว อดตบเหล่าหลี่ที่อยู่ด้านหลังเบาๆ ไม่ได้
มาถึงตลาดจริงๆ แล้ว!
ทั้งยังไม่ใช่ตลาดสดทั่วไป ที่นี่ผู้ซื้อและผู้ขายแทบจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด
สินค้าที่นำมาขายมีอย่างหลากหลาย
มีทั้งซากศพสัตว์ประหลาด หัวใจสัตว์ประหลาด ทั้งยังมีของที่ดูคล้ายกับกิ่งไม้ อันที่จริงเป็นรากและใบของพืชปีศาจ มีคลื่นพลังงานอย่างเข้มข้นเช่นกัน
ฟางผิงเห็นสมุนไพรที่คุ้นตาอยู่บางส่วน ล้วนแต่เป็นประเภทที่มีพลังงานเต็มเปี่ยม
หินพลังงานกลับไม่เห็นเลย
ในถ้ำใต้ดินหินพลังงานเป็นทรัพยากรหลักในการฝึกวิชาของผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำ น้อยครั้งที่จะมีคนเอามาขายกับข้างนอก แม้ว่าจะขาย ก็จะเป็นการแลกเปลี่ยนสินค้ากัน
แร่แท้ที่หายากก็ไม่ค่อยเห็นเช่นกัน
ฟางผิงถึงขั้นจำโลหะบางอย่างได้ สัดส่วนวัตถุดิบของโลหะผสม ฟางผิงก็รู้เหมือนกัน
ในนั้นบางอย่างกระทั่งเป็นโลหะที่ใช้ในโลหะผสมระดับ A
ระหว่างที่ฟางผิงมองสำรวจไปรอบๆ ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนผู้ซื้อคนหนึ่งก็เดินเข้ามาถามว่า “ขายอะไร?”
ฟางผิงเห็นเขาจ้องหนังสัตว์ประหลาดที่ตัวเองห่อไว้ด้านหลังก็รักษาความเงียบต่อ ไม่สนใจเขา
ขายเหล่าหลี่ เหล่าหลี่จะถูกคนเอาไปตุ๋นสินะ?
เห็นฟางผิงไม่ตอบ อีกฝ่ายจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ตอแยต่อเช่นกัน ที่นี่เป็นจุดแลกเปลี่ยนของผู้ฝึกยุทธ์หมู่บ้านรอบๆ
ขาดฟางผิงไปสักคนไม่เป็นไรอยู่แล้ว เขาแค่เห็นว่าอีกฝ่ายพกป้ายสถานะขั้นสาม นึกว่าจะมีของดีอะไรเลยถามออกไป
ฟางผิงก็ไม่ยืนอยู่นาน เดินมองดูสินค้าไปตามทาง อันที่จริงของบางอย่างเขายังอยากขโมยด้วยซ้ำ
ผู้ฝึกยุทธ์ที่นี่ ฝีมือไม่นับว่าแข็งแกร่งอะไร ขั้นสามถือว่าไม่อ่อนแอแล้ว ระดับกลางยิ่งน้อยไปใหญ่
แต่ของดียังมีให้เห็นบ้าง แร่ธาตุหายาก วัตถุดิบหลักของยาบำรุงต่างๆ มีให้เห็นถมเถไป
ส่วนวิธีซื้อขายนั้น…ฟางผิงเห็นมีคนใช้ผลึกหินพลังงานแลกเปลี่ยนกัน
ผลึกหินพลังงานบางทีอาจจะเป็นของไร้ค่า แต่เมื่อกลายเป็นเงินตราแลกเปลี่ยนย่อมมีมูลค่าที่เหมาะสม ขอแค่เมืองราชายอมรับ งั้นของสิ่งนี้ก็มีมูลค่าแล้ว
แต่ก็ไม่ได้เป็นแบบนี้ทั้งหมด มีคนใช้หินพลังงานที่ยังไม่หมดมาแลกเปลี่ยนเช่นกัน แต่ปกติจะเป็นสินค้าที่ล้ำค่าอยู่บ้าง
หินพลังงานก็คือหินแห่งชีวิตจากปากพวกถ้ำใต้ดิน เป็นทรัพยากรหลักในการฝึกวิชาของพวกเขา ทั้งเป็นเงินตราสำคัญที่ใช้แลกเปลี่ยนในชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน
ระหว่างที่ฟางผิงเดินก็ทำหูตั้งไปตลอดทาง ตั้งใจฟังบทสนทนาของผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้
หลังจากที่เขาสมาคมกับพวกถ้ำใต้ดินนานขึ้น ฟังบทสนทนาพวกเขาบ่อยๆ นานเข้า ความหมายบางคำก็พอเดาออกคร่าวๆ แล้ว ไม่เหมือนกับถ้ำใต้ดินอื่นๆ ผู้ฝึกยุทธ์เจอพวกถ้ำใต้ดินก็ทำเพียงสู้เอาเป็นเอาตาย พวกถ้ำใต้ดินเจอกับมนุษย์ก็มีโอกาสพูดคุยน้อยมาก
ถ้ำใต้ดินเปิดใหม่ ทั้งยังเป็นภายในเมืองราชา ผู้ฝึกยุทธ์พวกนี้จึงแทบไม่ได้สนใจเรื่องของผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์เท่าไหร่
“ได้ยินว่าเมืองราชาจะรับสมัครทหาร!”
“รับสมัครทหาร? จะทำสงครามกับเมืองไป๋เอ้อร์งั้นเหรอ?”
“ไม่ใช่ เป็นยอดฝีมือจากต่างแดน! ตอนเช้านายท่านทั้งสองหารือกันในเมือง ฉันบังเอิญได้ยินเข้าพอดี ได้ยินว่าต่างแดนยังจะมียอดฝีมือมาอีก ไม่นานจะทำสงครามกันแล้ว”
“เมืองราชามีทหารนับหมื่น ทั้งยังมีทหารองครักษ์เทพจู้หลิวอีก จำเป็นต้องกลัวคนจากต่างแดนหรือไง?”
“นายน่าจะไม่รู้ อย่าบอกคนอื่นล่ะ ได้ยินว่าเมื่อวานทหารองครักษ์เทพจู้หลิวเกิดความสูญเสียอย่างหนัก ทหารองครักษ์เทพจู้หลิวสามพันคน เมื่อวานตายไปกว่าหนึ่งพันคน!”
“เยอะขนาดนี้เลย? เป็นไปได้ยังไง! ทหารองครักษ์เทพอยู่ขั้นสี่เป็นอย่างต่ำ? ขุนพลก็มีไม่น้อย…”
“จริงๆ นะ เมื่อวานล้อมกำราบยอดฝีมือจากต่างแดน ได้ยินว่าคนของต่างแดนเป็นยอดฝีมือขั้นขุนพลขึ้นไปทั้งหมด ทหารองครักษ์เทพที่อยู่ขั้นขุนพลบุกอยู่แนวหน้า นอกจากรอบนอกไม่กี่คน คนอื่นๆ ตายในสนามรบทั้งหมด!”
“คนจากต่างแดนเก่งกาจขนาดนี้เชียว?”
“ได้ยินว่าร้ายกาจมาก ทั้งยังเป็นประเภทที่ไม่หวั่นกลัวต่อความตาย ขุนพลสิบกว่าคนฆ่าทหารองครักษ์เทพอีกกว่าสิบคน กระทั่งขุนพลบางตระกูลและบางสำนักที่เพิ่งโยกย้ายมาแทบจะตายเกลี้ยงหมด…”
“งั้นพวกเรายังเอาชนะพวกเขาได้งั้นเหรอ?”
“…”
ไม่ได้ถกเถียงแค่ประเด็นนี้ เรื่องโยกย้ายทหารของเมืองราชามีคนรู้ไม่น้อยเช่นกัน
ขุนพลบาดเจ็บล้มตายไปนับไม่ถ้วน แม่ทัพสูญเสียไปถึงสี่คน กระทั่งอารยะยังมีคนตาย
เรื่องใหญ่แบบนี้ แม้จะเป็นราชาหลิวก็ไม่อาจปกปิดได้
ยอดฝีมือพวกนี้มีครอบครัวและวงศ์ตระกูลเช่นกัน
ทหารองครักษ์เทพสามพันคน นี่เป็นกำลังสำคัญที่มีชื่อเสียงสะท้านทั้งใต้หล้าของเมืองจู้หลิว ทั้งยังเป็นยอดฝีมือระดับกลางทั้งสามพันคนอีกด้วย
ไม่เหมือนกับเมืองเทียนเหมิน เมืองเทียนเหมินและมนุษย์รบรากันมาหลายปี ทัพทหารนั้นขยายไปถึงหลายแสนนาย
ทางเมืองจู้หลิว ก่อนหน้านี้ไม่ได้เข้าสู่สงคราม นอกจากทหารองครักษ์เทพหลิวที่เป็นกองกำลังสำคัญ ทหารทั่วไปมีไม่ถึงห้าหมื่นนายเท่านั้น
เมื่อวานแม้พวกตาเฒ่าหลี่จะมีคนน้อย แต่ก็ฆ่ายอดฝีมือไปเยอะเช่นกัน
สุดท้ายตอนที่ตาเฒ่าหลี่ฟันขั้นแปด ประกายดาบสาดกระเซ็นไปทั่ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางรอบนอกแทบจะถูกฆ่าทั้งหมด กระทั่งแม่ทัพพวกนั้นยังไม่สามารถเรียกสติคืนได้ด้วยซ้ำ
ฟางผิงได้ฟังก็เริ่มคาดเดาในใจ
“ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางสามพันคน ทัพทหารสามระดับล่างรวมกลุ่มกันห้าหมื่นคน ไม่สิ ตอนนี้น่าจะมีระดับกลางแค่สามพันคนแล้ว แม้ท่ามกลางห้าหมื่นคนของระดับล่าง ในหนึ่งร้อยคนจะมีแม่ทัพระดับกลางหนึ่งคน ตอนนี้ยอดฝีมือระดับกลางของเมืองจู้หลิว น่าจะมีไม่ถึงสามพันคนเช่นกัน เมื่อวานขั้นหกตายในสงครามไม่น้อย ตอนนี้ในกองทัพน่าจะเหลืออย่างมากห้าสิบคน
แม่ทัพก็คือขั้นเจ็ด เมื่อวานนึกไม่ถึงว่าจะตายไปสี่คน พวกผู้ว่าจางโหดเหี้ยมกันทีเดียว”
ได้ยินว่ายอดฝีมือขั้นแม่ทัพตายไปสี่คน ฟางผิงยังเหนือความคาดหมายอยู่บ้าง
เมื่อวานเขากระโดดขึ้นฟ้า กวาดสายตามองแวบหนึ่งเช่นกัน อีกฝ่ายเหมือนจะเหลืออยู่เจ็ดคน ก็หมายความว่าหลังจากที่เขาไปแล้ว อีกฝ่ายยังรบตายไปอีกสองคน
อย่าลืมว่าเวลานั้นโจวเจิ้งหยางตายไปแล้ว จางติ้งหนานและพวกอธิการหนานเจียงต่างได้รับบาดเจ็บหนัก สถานการณ์แบบนี้นึกไม่ถึงว่าจะฆ่าตายไปอีกสองคน เหนือความคาดหมายอยู่บ้าง
เกรงว่าเมืองจู้หลิวจะยังไม่คุ้นชินกับวิธีต่อสู้จนตายกันไปข้างหนึ่งของมนุษย์ แม้ว่าจะตายก็ต้องลากอีกหลายคนไปตายด้วย นี่เป็นธรรมเนียมที่มนุษย์ใช้ต่อสู้กับพวกถ้ำใต้ดินมาหลายปี
ก่อนหน้านี้แม้ว่าเมืองจู้หลิวจะทำสงครามกับเมืองไป๋เอ้อร์มาหลายปี ในสายตาฟางผิงมองว่าเป็นแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น
ได้ยินว่าทั้งสองฝ่ายทำสงครามมานับร้อยปี เหมือนแม่ทัพแทบไม่เคยตายมาก่อน นี่เรียกว่าสงครามที่สู้ไม่เลิกราได้ด้วยหรือไง?
แต่ตอนนี้เมืองจู้หลิวไม่ได้เหลือขั้นเจ็ดแค่ห้าคน เมื่อวานยังมีหลายคนที่ไม่ได้ออกรบ แต่รั้งตัวอารักขาอยู่ในเมืองจู้หลิว
หลักๆ มีจำนวนเท่าไหร่ ฟางผิงไม่แน่ใจ แต่มากที่สุดน่าจะมีประมาณสิบคน
ขั้นแปดกลับเหลือแค่สองคนจริงๆ
“ขั้นเก้าหนึ่งคน ขั้นแปดสองคน ขั้นเจ็ดน่าจะสิบคน ขั้นหกในเมืองชั้นนอกชั้นในรวมกับพวกพื้นเมือง เดาว่าน่าจะประมาณหนึ่งร้อยคน ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางทั้งหมดรวมเข้าด้วยกันอาจจะเกินห้าพันคน”
ความสามารถแบบนี้เทียบกับเมืองเทียนเหมินช่วงก่อนจะเกิดความสูญเสีย อันที่จริงถือว่าอ่อนแอกว่าไม่น้อย
เมืองเทียนเหมินก่อนที่ขั้นแปดสองคนยังไม่ตาย พลังต่อสู้ของระดับสูงไม่ต่างจากเมืองจู้หลิวเท่าไหร่ แต่ทหารของเมืองเทียนเหมินมีสองแสนคน! ในนั้นมีระดับกลางอย่างน้อยเกือบหนึ่งหมื่นคน!
“ถ้าเมืองจู้หลิวไม่มีทหารมาสนับสนุน อันที่จริงสร้างฐานทัพไม่ได้เป็นเรื่องยาก ไม่จำเป็นต้องให้ขั้นเก้ามาอีก ส่งขั้นแปดมาจำนวนหนึ่งเพื่อสร้างฐานทัพก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
“แต่เมืองจู้หลิวเหมือนจะมีกำลังสนับสนุนแล้ว งั้นหากไม่มีขั้นเก้ามาสมทบ อยากจะสร้างฐานทัพก็ยากแล้ว”
ส่วนต้นไม้ยักษ์ภายในเมือง ฟางผิงไม่ได้สนใจเท่าไหร่
ดูจากขนาดที่ใหญ่มหึมาก็รู้แล้ว ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ง่ายๆ ทั้งต้นหลิวยักษ์ยังอยู่ในเมืองไม่ได้ไปไหนมาโดยตลอด เกรงว่าจะไม่เหมาะเคลื่อนย้ายไปจู่โจมเท่าไหร่ แต่หากใช้ป้องกันกลับถือว่าไม่เลว
“เมืองเทียนเหมินก็เหมือนจะมีต้นไม้ใหญ่อยู่ หรือจะเป็นต้นไม้ปีศาจเหมือนกัน? น่าจะใช่แหละ แต่หลายปีมานี้ไม่เคยเคลื่อนไหวเลย ดูท่าจะไม่อาจเคลื่อนย้ายได้ง่ายจริงๆ”
ในใจครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ ฟางผิงก็ถอนหายใจเล็กน้อย ปากบอกว่าฝีมือของเมืองจู้หลิวเหมือนไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่
แต่อย่าลืมว่านี่แค่เมืองถ้ำใต้ดินแห่งเดียวเท่านั้น!