ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 38 ของมาส่งแล้ว
ตอนที่ 38 ของมาส่งแล้ว!
ฝ่ายบริการขาย
เมื่อมั่นใจว่าฟางผิงต้องการจะซื้อบ้านจริงๆ ผู้จัดการที่ดูแลฝ่ายบริการก็ออกมารับหน้าด้วยตัวเอง
กวนหูหยวนเปิดมาสองปีแล้ว ห้องที่เหลืออยู่มีไม่มาก เจ้าของโครงการก็ไม่อยากให้สิ้นเปลืองกำลังคนตรงนี้มากไป
โดยเฉพาะการซื้อสด สิทธิพิเศษคงไม่น้อยอยู่แล้ว
จ่ายสด ลดห้าเปอร์เซ็นต์
ภาษีที่ดินและค่าส่วนกลางไม่ต้องจ่าย
เมื่อคำนวณเสร็จสรรพแล้ว สุดท้ายผู้จัดการก็ตบโต๊ะ ทำท่าราวกับขาดทุนเต็มประดา
พูดอย่างกล้ำกลืนว่า “ตอนนี้คุณฟางวางมัดจำยี่สิบเปอร์เซ็นต์ก่อน ผมจะยื่นคำขอไปที่เจ้านายให้ลดค่าบ้านลงอีกหน่อย! หลังจากเป็นเจ้าของบ้านแล้ว คุณฟางจ่ายอีกแค่แปดแสนหนึ่งหมื่นก็เพียงพอแล้ว”
เงินแปดแสนหนึ่งหมื่น บ้านหนึ่งร้อยแปดสิบหกตารางเมตรพร้อมตกแต่ง คำนวณแล้ว ก็ตารางเมตรละ 4350
แม้เจ้าของโครงการจะตกแต่งด้วยของราคาธรรมดา แต่ค่าใช้จ่ายของระบบน้ำไฟ พื้นผนังก็ไม่ใช่น้อยๆ เหมือนกัน
ถ้าจะคำนวณจากห้องเปล่า ก็คงราคาต่ำกว่า 4000 ต่อตารางเมตร
ห้องดูเพล็กซ์ราคานี้ไม่ถือว่าสูงมาก เทียบกับย่านธรรมดา ก็ไม่แพงเหมือนกัน
ห้องที่ขายไม่ออกมักจะถูกอยู่แล้ว พื้นที่ของห้องดูเพล็กซ์นั้นรวมสองชั้นจึงดูใหญ่ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
คนที่มีเงินในหยางเฉิงต่างก็อยู่บ้านเดี่ยวแถบชานเมืองกันหมด
คนธรรมดาในเมืองใหญ่ยอมใช้เงินแปดแสนกว่าซื้อห้องมีถมเถไป แต่ถ้าเป็นเมืองเล็กๆ นั้นแทบนับคนได้
แม้ว่าจะอยากซื้อห้องแบบดูเพล็กซ์ แต่ท้ายที่สุดคนหยางเฉิงก็ยอมซื้อห้องชั้นลอยที่คับแคบลงมาหน่อยมากกว่า
ตอนที่ผู้จัดการบอกราคา ฟางผิงกลับใจลอยอยู่บ้าง
เขากำลังนึกถึงหวงปิน
ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นหนึ่งสามเม็ด ราคาเก้าแสน!
ทั้งสำหรับหวงปินที่อยู่ขั้นสอง ยาพวกนี้ก็แค่ใช้บำรุงร่างกายในชีวิตประจำวันเท่านั้น
ถ้าใช้ฟุ่มเฟื่อย เดือนเดียวก็กินหมดแล้ว
กินแบบประหยัด หนึ่งเม็ดต่อหนึ่งเดือน สามเดือนก็ไม่เหลือแล้ว
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองคนหนึ่ง ต้องกินยาหนึ่งชุดต่อเดือนเพื่อบำรุงปราณ เงินจำนวนนี้ชั่วชีวิตของพ่อแม่ฟางผิงคงไม่อาจซื้อบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ได้ด้วยซ้ำ
นี่คือความแตกต่างของผู้ฝึกยุทธ์และคนธรรมดา!
แตกต่างราวฟ้ากับเหว!
โดยเฉพาะผู้ฝึกยุทธ์อย่างหวงปิน ที่แทบไม่เป็นโล้เป็นพายในสายตาผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น
ผู้จัดการเห็นฟางผิงใจลอย ก็กระวนกระวายใจ
ดีที่ไม่นานเขาก็ดึงสติกลับมา เอ่ยว่า “ผมคงไม่ต่อรองเรื่องราคาแล้ว แต่ขั้นตอนหลังจากนี้ผมอยากให้พวกคุณจัดการเสร็จโดยเร็วที่สุด สามารถเซ็นสัญญาวันนี้ได้เลย ผมจะวางมัดจำเงินสองแสนหนึ่งหมื่นก่อน ส่วนที่เหลือ รอดำเนินขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ผมจะจ่ายให้อีกครั้งตอนที่ส่งมอบบ้าน”
พอได้ยินแบบนี้ ผู้จัดการก็คิดเหมือนกันว่า เด็กวัยรุ่นช่างตัดสินใจฉับไวจริงๆ!
ไม่ลังเล ไม่พูดร่ำรี้ร่ำไร ประเด็นสำคัญคือมีเงิน
หากฟางผิงจะต่อรองจริงๆ ก็ยังพอมีโอกาสที่จะขายในราคาแปดแสนถ้วนด้วยซ้ำ
ฟางผิงเห็นว่าผู้จัดการยังต้องยื่นคำร้องเพื่อต่อรองราคา ไปๆ มาๆ แบบนี้คงต้องเสียเวลา
ทั้งตอนนี้ฟางผิงยังมีเรื่องให้ทำอีกมาก เตรียมสอบศิลปะการต่อสู้ วิชาวัฒนธรรม ยังต้องออกกำลังกายอีก
เหลือเวลาไม่มาก เพื่อเงินไม่กี่หมื่นอาจต้องเทียวไปเทียวมาหลายครั้ง
เขาคิดว่านี่จะได้ไม่คุ้มเสีย
ฟางผิงตัดสินใจฉับไวแบบนี้ ผู้จัดการฝ่ายขายก็ดีใจอย่างยิ่ง ซื้อบ้านจ่ายสด ขั้นตอนง่ายดาย ไม่ต้องเสียเวลาดำเนินการผ่อนอะไรอีก
ฟางผิงยังยินดีวางมัดจำยี่สิบเปอร์เซ็นต์ นั่นยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่
ไม่นาน ทั้งสองฝ่ายก็ทำสัญญาซื้อบ้านเรียบร้อย
ไม่ต้องทำการจดจำนอง ฟางผิงแค่ต้องถ่ายสำเนาบัตรประชาชนและทะเบียนบ้านให้เท่านั้น
เขาเตรียมมาตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว ไปค้นทะเบียนบ้านมาจากห้องพ่อแม่ บัตรประชาชนนั้นพกติดตัวไว้ตลอด
ตอนนี้ก็จัดการถ่ายสำเนาไว้หลายแผ่น พอฟางผิงเซ็นสัญญาซื้อขายและสัญญามอบอำนาจแล้ว ก็ควักเงินสดสองแสนหนึ่งหมื่นออกมา…
ทั้งสองฝ่ายต่างทำเวลา ดำเนินขั้นตอนไปอย่างราบรื่น
มีเพียงอุปสรรคอย่างเดียวคือ ผู้จัดการเห็นอายุบนบัตรประชาชนของฟางผิง ก็เริ่มเยิ่นยอเขายกใหญ่
ตอนแรกก็รู้ว่าฟางผิงยังอายุน้อย แต่ไม่คิดว่าจะอายุน้อยถึงสิบแปดปี
เด็กวัยรุ่ยอายุเท่านี้ตัดสินใจซื้อบ้านด้วยตัวเอง คงจะเป็นคนฐานะดี ไม่ก็เป็นคนที่มีความสามารถ ที่บ้านไว้วางใจให้ตัดสินใจเอง แน่นอนว่าแม้จะเป็นอย่างที่สองก็ต้องมีเงินเช่นกัน!
และไม่ว่าจะเป็นอย่างไหน ล้วนแสดงให้เห็นว่าฟางผิงนั้นไม่ธรรมดา อย่างน้อยก็ในเมืองหยางเฉิงแห่งนี้
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ผู้จัดการก็ส่งฟางผิงออกจากประตูด้วยรอยยิ้ม “คุณฟาง พวกเราดูแลกวนหูหยวนมาสองปีแล้ว ไม่ต้องห่วงว่าจะล่าช้า มีหนังสือมอบอำนาจแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องออกหน้าเอง รออีกไม่กี่วัน พอเรื่องโฉนดเสร็จสรรพ คุณก็เข้ามาเอาได้เลยถึงเวลานั้นแค่เตรียมเงินงวดสุดท้าย จัดการส่งมอบ…”
ผู้จัดการย้ำเตือนฟางผิงเรื่องเงิน ส่วนอย่างอื่น ไม่จำเป็นต้องกังวล
สมัยนี้ มีเงินเท่านั้นถึงจะเป็นพระเจ้า
ไม่มีเงิน ต้องผ่อนจ่าย นั่นก็ยุ่งยากแล้ว ยังไม่รู้ต้องเทียวไปเทียวมาธนาคารอีกกี่ครั้ง
แต่ฟางผิงจ่ายสด เรื่องพวกนี้จึงไม่ใช่ปัญหา
ผู้จัดการเดินมาส่งฟางผิง ก่อนจะค่อยหมุนตัวกลับไปอย่างสุขใจ
—
ฟางผิงที่ออกจากฝ่ายบริการขายมาก็อารมณ์ดีเหมือนกัน
ซื้อห้องดูเพล็กซ์ด้วยเงินแปดแสนนิดๆ เขายังพอรับได้
ตอนนี้เขามีเงินติดตัวกว่า หนึ่งล้านสองแสนสองหมื่นหยวน
แม้จะซื้อบ้านแล้ว ก็ยังเหลือเงินอีกสี่แสน ซื้อเครื่องออกกำลังกายเพิ่มสักหน่อย เงินก็น่าจะเหลือใช้อยู่ดี
นอกจากนี้ในมือเขายังมียาบำรุงอีก เพียงพอที่ให้เขาฝึกฝนจนเป็นผู้ฝึกยุทธ์
ก่อนที่จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ฟางผิงไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงิน
นอกจากนี้เขายังได้เปรียบเรื่องระบบ เมื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว ฟางผิงคงไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องเงินอีกต่อไป
—
เมื่อทำเรื่องเสร็จแล้ว ฟางผิงก็ไม่รั้งอยู่ข้างนอกนาน
วันนี้พัสดุของหวังจินหยางอาจจะมาส่งก็ได้ ฟางผิงอดใจรอไม่ไหวอยู่บ้าง
กลับมาถึงบ้าน
ฟางหยวนเพิ่งจะตื่นไม่นาน กำลังนั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา
เห็นฟางผิงกลับมา ฟางหยวนก็ถามอย่างง่วงงุน “ฟางผิง ไปไหนมาเช้าตรู่?”
เพิ่งจะข้ามวัน สาวน้อยก็ลืมเรื่องเมื่อวานเสียแล้ว
คิดไว้ว่า หากยังไม่ได้ถลุงเงินพี่ชายจนหมดกระเป๋า ก็ต้องเรียกเขาว่า ‘พี่’ ไปก่อน
ตอนนี้กลับเรียกชื่อออกมาตรงๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ทันนึกถึงเรื่องนี้
ฟางผิงก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเธอ ตอบไปส่งๆ “ออกไปสูดอากาศมา กินข้าวเช้ารึยัง?”
“ยัง” ฟางหยวนเท้าคาง หาวขึ้นมาอีกครั้ง
“มีของมาส่งหรือเปล่า?”
“เหมือนจะไม่มีนะ” ฟางหยวนสงสัย “นายซื้ออะไร?”
“พวกหนังสือเกี่ยวกับการสอบ”
ได้ยินคำว่าหนังสือ ฟางหยวนก็หมดอารมณ์ทันที เอ่ยอย่างเกียจคร้าน “ตอนกลางวันกินอะไรดี?”
ข้าวเช้าไม่ได้กิน สาวน้อยก็คิดเมนูอาหารกลางวันรอแล้ว
ตอนนี้ฟางหยวนค่อยนึกขึ้นมาได้ว่า ในมือฟางผิงยังมีเงินอยู่
พี่ชายมีเงิน ตอนกลางวันก็ต้องกินอะไรดีๆ ซะหน่อย
ไม่รอให้ฟางผิงตอบ ฟางหยวนก็พูดว่า “ฟางผิง ไปกินเคเอฟซีกันไหม? ฉันยังไม่เคยกินเลย ได้ยินเพื่อนบอกว่า อร่อยมากๆ!”
“อาหารต่างชาติน่ากินตรงไหนกัน”
ฟางผิงไม่เห็นด้วย ปรากฏว่า ประโยคต่อมาของฟางหยวนเกือบทำเขาสำลักตาย “พี่ ไปลองกันเถอะ ฉันเคยได้ยินคนพูดว่า ประธานบริษัทแม่ประเทศอเมริกาของเคเอฟซีอะไรสักอย่าง เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ด นายกินปีกไก่ของพวกเขา อาจจะบรรลุอะไรขึ้นมา กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ก็ได้ใครจะไปรู้…”
“แค่กๆ…”
ฟางผิงนั้นสำลักอย่างจริงจัง ทั้งสองอย่างนี้มันเกี่ยวข้องตรงไหน?
เรื่องประธานบริษัทของอเมริกาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นเจ็ดทำให้ฟางผิงคิดตามไม่ทันอยู่บ้าง
หรือไก่ของคนพวกนั้นจะมีเคล็ดวิชาติดมา กินแล้วก็จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างนั้นเหรอ?
ฟางผิงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ท้ายที่สุดจึงรับปากไป
ไม่ใช่เพราะน้องสาวบอกว่ากินไก่คนอื่นจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ แต่เพราะประโยคก่อนหน้านั้นต่างหาก ‘ฉันไม่เคยกินมาก่อน…’
ปีนี้ฟางหยวนอยู่มัธยมต้นปีสอง อายุสิบสี่ปี
ถ้าเป็นครอบครัวที่มีฐานะดีหน่อย โตป่านนี้ก็คงเคยกินเคเอฟซีไปหลายรอบแล้ว
ตระกูลฟางไม่ได้ร่ำรวย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะซื้อไม่ได้เหมือนกัน
ประเด็นอยู่ที่ ฟางหยวนเป็นคนรู้ความ เธอไม่เคยร้องขอเรื่องนี้กับพ่อแม่เลย แต่มารีดไถเอากับฟางผิงแทน
ก่อนหน้านี้ฟางผิงก็ไม่มีเงินค่าขนมมากมาย ตอนนี้หาเงินได้แล้ว ทั้งฟางหยวนยังคิดว่าเป็นผลงานของเธอเหมือนกัน จึงคิดจะตบทรัพย์จากพี่ชาย
ตอนนี้ฟางผิงมีเงินติดตัวอีกหมื่นกว่า จะพาน้องสาวไปกินอาหารข้างนอกสักมื้อก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเสียหน่อย
—
อยู่บ้านทั้งเช้า ของก็ยังไม่มาส่ง ฟางผิงไม่รอต่อ พาฟางหยวนออกไปกินข้าวข้างนอก
ฟางหยวนได้กินเคเอฟซีเป็นครั้งแรกก็ตื่นเต้นอย่างยิ่ง
กินอะไรล้วนอร่อยไปหมด ฟางผิงที่ไม่อยากอาหารเท่าไหร่ เห็นฟางหยวนแบบนั้นก็พลอยกินเยอะไปด้วย
ทั้งสองพี่น้องกินข้าวมื้อนั้นไปประมาณร้อยกว่าหยวน
สำหรับฟางหยวนแล้ว ถือเป็นเงินที่เยอะทีเดียว
ตอนที่กินไม่ได้คิดมาก ระหว่างทางกลับบ้านก็อดตำหนิตัวเองไม่ได้ “ครั้งหน้าไม่ไปแล้ว ไม่เห็นอร่อยเลย แพงอยู่อย่างเดียว”
“ขนาดไม่อร่อยเธอยังกินไปซะขนาดนั้น?” ฟางผิงแหย่น้องสาว
ฟางหยวนหน้าขึ้นสี “เพราะนายสั่งมาเยอะนั่นแหละ ฉันกลัวจะเสียของ ถึงกินเยอะขนาดนั้น หลังจากนี้ไม่กินอีกแล้ว อีกอย่าง นายฟุ่มเฟือยเกินไป เงินที่เหลือให้ฉันเก็บดีกว่า ถ้านายจะใช้ค่อยมาเอาที่ฉัน…”
ฟางผิงชำเลืองตามองเธอแวบหนึ่ง ยังกล้าพูดออกมานะ?
ถ้าเงินไปอยู่ในมือคนขี้เหนียว ฟางผิงคงไม่มีโอกาสจะเอากลับมาด้วยซ้ำ
แน่นอนว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เด็กแสบจะเอาไปให้พ่อกับแม่
ฟางผิงไม่สนใจเธอ เดินมาถึงใต้ตึกที่เขาอยู่ ก็พบกับรถส่งของพอดี
ฟางผิงรีบเดินเข้าไปหา “มีพัสดุของตึกแถวที่ 6 ห้อง 101 ไหมครับ?”
คนส่งของกำลังจะโทรศัพท์ ได้ยินแบบนี้ก็ถอนหายใจ “เพิ่งไปเคาะประตูบ้าน แต่ไม่มีคนอยู่ กำลังจะโทรหาอยู่พอดี นายอยู่ห้อง 101 สินะ?”
“ใช่ครับ ผมฟางผิง”
“งั้นก็ถูกแล้ว รบกวนเซ็นตรงนี้ให้หน่อย”
เมื่อมั่นใจว่าฟางผิงเป็นเจ้าของพัสดุ คนส่งของก็ยกกล่องใบหนึ่งออกมาจากรถทันที
ฟางผิงเห็นก็แปลกใจอยู่บ้าง หนังสือเล่มเดียวถึงกับต้องใส่กล่องมา?
ฟางผิงเซ็นรับพัสดุ พร้อมกับลองเขย่ากล่องนั้นดู หนักไม่น้อย น่าจะไม่ใช่หนังสือเพียงเล่มเดียว
ตกลงหวังจินหยางส่งอะไรมาให้เขา เพราะหวังจินหยางไม่ได้บอก ฟางผิงเลยไม่ได้ถามอะไร
ดูท่าเหล่าหวังคงจะส่งของอย่างอื่นมาด้วย
ฟางผิงเซ็นเสร็จแล้วก็ยกกล่องเดินเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว
ตอนนี้ฟางผิงนั้นตื่นเต้นยิ่งกว่าซื้อบ้านในตอนเช้าซะอีก
—————