ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 386-2 ต่างคนต่างมีเรื่องราวของตัวเอง (2)
ตอนที่ 386 ต่างคนต่างมีเรื่องราวของตัวเอง (2)
อันที่จริงก็ไม่ใช่ความลับอะไร หวังจินหยางเพิ่งเข้าสู่ขั้นหนึ่ง ขาดแคลนเงินอยู่บ้าง ภารกิจของหนานเจียงมีไม่เยอะ เพื่อหาเงินจึงไปทำงานเสริมเป็นผู้ฝึกสอนที่หอศิลปะการต่อสู้ ถือเป็นวิธีที่ได้เงินไวที่สุดวิธีหนึ่งเช่นกัน
ทั้งหอศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดของหนานเจียงก็เป็นหอศิลปะการต่อสู้เจิ้งหยาง
ช่วงเวลานั้นคนหนุ่มกับคนชราจึงถูกชะตากัน โจวเจิ้งหยางคิดว่าเขาเป็นไม้ที่แกะสลักได้ จึงช่วยขัดเกลาไปไม่น้อย
ก็ไม่นับว่าดูแลจนเกินไป อันที่จริงปรมาจารย์ไม่อาจดูแลอัจฉริยะพวกนี้เป็นพิเศษเช่นกัน
แม้จะเป็นฟางผิง อยู่ที่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ อันที่จริงก็ไม่นับว่าถูกดูแลเป็นพิเศษ อะไรที่ควรให้ก็ให้ อะไรที่ไม่ควรให้ก็ต้องไปช่วงชิงด้วยตัวเอง
สาเหตุที่อัจฉริยะเป็นอัจฉริยะ ไม่ใช่เพราะได้รับอะไรมาฟรีๆ แต่คุณจะได้รับมากกว่านั้น ในสถานการณ์ที่มีเงื่อนไขยุติธรรมเหมือนกัน
ทว่าโจวเจิ้งหยางถูกชะตากับหวังจินหยางเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หวังจินหยางเดินทางลงใต้ในขั้นหนึ่งหรือเดินทางขึ้นเหนือในขั้นสาม โจวเจิ้งหยางล้วนใหความสนับสนุน ลดอุปสรรคให้เขาน้อยลง
ยอดฝีมือขั้นเจ็ดสูงสุดคนหนึ่ง ในมือมีอาวุธวิเศษ อิทธิพลแทบไม่ด้อยไปกว่าขั้นแปดทั่วไป
ไม่งั้นแค่อธิการบดีมหาวิทยาลัยหนานเจียงเพียงคนเดียว อาจไม่สามารถทำให้การเดินทางขึ้นเหนือของเขาราบรื่นได้เสมอไปหรอก
เส้นทางที่ไร้คู่ต่อสู้ มีคนกำลังเดินมากมาย
แต่คนที่เดินในเส้นทางไร้คู่ต่อสู้พวกนี้ เมื่อสังเกตอย่างละเอียดแล้ว คุณจะพบว่าด้านหลังของพวกเขามียอดฝีมือสนับสนุนอยู่
ไม่มียอดฝีมือสนับสนุน นายคิดจะตีใครก็ตีได้หรือไง?
คิดจะล่วงเกินใครก็ล่วงเกินได้?
อยากต่อสู้กับระดับเดียวกัน หรือคนอื่นอยากจะสู้กับนายเหมือนกัน?
นายเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างคนหนึ่ง เอาความมั่นใจมาจากไหน?
โจวเจิ้งหยางไม่ใช่อาจารย์ของหวังจินหยาง ทั้งไม่ใช่ญาติของเขา ทำได้แค่นับว่าเป็นมิตรภาพต่างวัย ยอดฝีมือรุ่นก่อนให้ความดูแลและถูกชะตากับเด็กรุ่นใหม่เท่านั้น
แม้จะเป็นแบบนี้ ตอนที่ได้ยินข่าวการตายของโจวเจิ้งหยาง หวังจินหยางยังรู้สึกเจ็บปวดในใจ
ตายแล้ว!
อาจารย์ของเขาก็ติดอยู่ในถ้ำใต้ดินอย่างเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย
ผู้ใหญ่ที่ใจดีซื่อสัตย์กับตัวเองยังรบตายในถ้ำใต้ดินอีก
อธิการบดีล่ะ?
ผู้ว่าล่ะ?
ปรมาจารย์ใหญ่ของหนานเจียงคนอื่นๆ เป็นยังไงบ้าง?
นี่เป็นความโศกเศร้าของผู้อ่อนแอสินะ?
หางตานั้นปรากฏเงาของฟางผิงขึ้นมา เวลานี้จู่ๆ หวังจินหยางก็อิจฉาและริษยาอยู่บ้าง
เขาแทบไม่รู้ว่าตัวเองกำลังอิจฉาอะไรอยู่!
แตในใจรู้สึกทนรับไม่ได้อย่างบอกไม่ถูก
อาจารย์ของฉันไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย เพื่อนต่างวัยของฉันตายไปต่อหน้ากลับไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้…
“ต้องแข็งแกร่งขึ้น!”
“ฉันยังแข็งแกร่งไม่พอ!”
ช่วงเวลาสั้นๆ นั้นหวังจินหยางก็ปรารถนาที่จะแข็งแกร่งขึ้นมาทันที
ถ้าหากฉันเป็นปรมาจารย์ ถ้าหากฉันอยู่ขั้นแปดขั้นเก้า เวลานั้นอาจารย์คงไม่ติดอยู่ในถ้ำใต้ดิน หัวหน้าโจวคงไม่ตายในสนามรบเช่นกัน…
เสี้ยวนาทีนี้หวังจินหยางก็เงียบไปราวกับภูเขาไฟที่รอการปะทุอยู่
ฟางผิงที่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศผิดปกติก็ไม่พูดขึ้นอีก
แม้เขาจะเป็นคนหนานเจียง แต่เส้นทางผู้ฝึกยุทธ์ของเขาเริ่มต้นจากเซี่ยงไฮ้
ผู้อาวุโสที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อเขาก็อยู่ที่เซี่ยงไฮ้ทั้งหมด
หลี่ฉางเซิง หลู่เฟิ่งโหรวคนพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่เช่นกัน
อารมณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างฉับพลันของหวังจินหยางทำให้เขาเข้าใจว่าบางทีโจวเจิ้งหยางอาจจะมีความสัมพันธ์อันดีต่อหวังจินหยาง หลักๆ เป็นยังไง เขาไม่ได้ถาม
เวลานั้นตาเฒ่าหลี่เกือบตายในสงคราม เขาก็ยากจะรับได้เหมือนกัน
ผู้ฝึกยุทธ์ที่คุณไม่คุ้นเคยตายในสงคราม คุณอาจจะนับถือ อาจจะเห็นใจและเสียใจ แต่จะขาดการเข้าถึงความรู้สึกเศร้าโศกอย่างแท้จริง
ตอนที่ผู้ฝึกยุทธ์ที่คุณคุ้นเคย หรือคนที่สนิทกับคุณตายในสงคราม คุณจะไม่รู้สึกนับถืออีกแล้ว จะมีแค่ความโศกเศร้าที่ไม่อาจช่วยเหลือได้เท่านั้น
—
คล้อยหลังที่หวังจินหยางตกสู่ความเงียบ คนอื่นๆ ก็ไม่พูดอะไรอีก
ฉินเฟิ่งชิงที่เป็นคนพูดมากยังคงเผยท่าทีเอ้อละเหยลอยชายราวกับไม่สนใจสิ่งใด ในหัวกลับปรากฏฉากต่างๆ วาบผ่านขึ้นมา
ความโศกเศร้าเป็นของผู้อ่อนแอเท่านั้น
ฉินเฟิ่งชิงไม่อยากเป็นผู้อ่อนแอ ไม่อยากโศกเศร้าไปตลอดชีวิต
เมื่อนานมาแล้ว พ่อของเขาทำสงครามตายในถ้ำใต้ดิน แม่แทบจะกินน้ำตาแทนข้าว อยู่แบบนั้นมาหลายปี
หลังจากเติบโตเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ เขาก็รับรู้ได้ถึงความโศกเศร้าและจนใจที่มากกว่านั้น
เข้าสู่ถ้ำใต้ดิน หัวหน้าทีมตายในสนามรบ เพื่อนร่วมทีมตายในสงคราม
จวบจนหลังจากอาจารย์ของพ่อเขา หรือก็คืออาจารย์ของเขาครึ่งหนึ่ง ชายชราคนนั้นก็ตายในสงครามเช่นกัน
ความพ่ายแพ้ เสียใจและจนใจครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ฉินเฟิ่งชิงเข้าใจว่าต้นเหตุทั้งหมดนั้นมาจากที่เขาอ่อนแอจนเกินไป
ดังนั้นเขาจึงอยากแข็งแกร่งขึ้น
พยายามทุกวิธีทางที่จะแข็งแกร่งขึ้น!
พรสวรรค์ของเขาไม่นับว่าดีเท่าไหร่ น้อยคนนักที่จะรู้ ฉินเฟิ่งชิงเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่หลอมกระดูกหนึ่งครั้ง ไม่สามารถหลอมถึงสองครั้งได้
แต่เขาที่เป็นผู้ฝึกยุทธ์หลอมกระดูกหนึ่งครั้ง กลับทำเรื่องที่หลายคนทำไม่ได้ทั้งชั่วชีวิตด้วยซ้ำ
ก่อนจบการศึกษาก็แตะขั้นสี่แล้ว
ทั้งยังมีหวังจะเข้าสู่ขั้นห้า!
ความก้าวหน้าเช่นนี้แทบจะทำให้คนลืมไปว่าพรสวรรค์ทางผู้ฝึกยุทธ์ของเขาธรรมดา เขาก้าวหน้าถึงทุกวันนี้ได้ล้วนมาจากการต่อสู้บากบั่นสุดชีวิตของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า
คนนอกรู้แค่ว่าฉินเฟิ่งชิงอวดเก่ง เหิมเกริม ขั้นสามก็กล้าลงลึกไปในถ้ำใต้ดินนับร้อยลี้แล้ว
แต่คนพวกนั้นไม่คิดบ้างว่าเขาสามารถฝึกวิชาจนถึงขั้นสามได้ จะไม่รู้หรือไงว่าลงลึกในถ้ำใต้ดินอันตรายแค่ไหน?
แต่ต้องเข้าไปลึกถึงจะมีโอกาส
ในเซี่ยงไฮ้ ไม่ลงลึกในถ้ำใต้ดิน รอบนอกนั้นไม่มีของดีตั้งนานแล้ว
ไม่เสี่ยงอันตรายเข้าไปลึก บางทีจนถึงตอนนี้เขายังอาจจะอยู่ขั้นสามตอนต้นหรือตอนกลางก็ได้ จะเข้าสู่ขั้นสี่ตอนปลายเร็วขนาดนี้ได้ยังไง
ก่อนที่จะขั้นสาม เขาทะลวงด่านไม่เร็วเท่าไหร่ ปีสองยังคงอยู่ขั้นหนึ่ง
แต่หลังจากขั้นสามแล้ว เขาก็ก้าวหน้าไวยิ่งกว่าก่อนขั้นสาม มีกี่คนกันที่สนใจจุดนี้
ยอดฝีมือผู้ฝึกยุทธ์แต่ละคนต่างก็มีเรื่องราวของตัวเอง ต่างมีที่มาของแรงผลักดันตัวเอง
ตอนนี้ฉินเฟิ่งชิงคุ้นชินที่จะเก็บซ่อนความรู้สึกพวกนี้ไว้นานแล้ว ยอดฝีมือไม่ต้องการให้คนอื่นมารู้สึกเห็นใจ
—
ในความเงียบงัน ตาเฒ่าหลี่ที่ทะยานตัวอย่างว่องไวก็เริ่มเข้าใกล้ทางเดินแล้ว
ฟางผิงที่ปลดปล่อยพลังจิตใจตลอดเวลา จู่ๆ หัวก็สั่นไหวขึ้นมา ตะโกนว่า “หนี!”
สิ้นเสียง เงาสีทองสองสายก็ปรากฏขึ้นในชั่วพริบตา
ตาเฒ่าหลี่เตรียมพร้อมนานแล้ว ไม่ได้คิดจะลงมือปะทะ ร่างกายระเบิดคลื่นพลังงานอย่างแข็งแกร่ง เท้าที่เหยียบอากาศฝ่าทะลวงวงล้อมของขั้นแปดสองคนออกไปในทันที
ข้างหน้านั้นเป็นที่ตั้งของทางเดินแล้ว ขอแค่เข้าใกล้ทางเดินร้อยลี้ ยอดฝีมือถ้ำพวกนี้ย่อมไม่กล้าไล่ตามต่อ เว้นเสียแต่ขั้นเก้าจะมาจู่โจม
พูดถึงเรื่องความสามารถ ตาเฒ่าหลี่อาจจะไม่สามารถทำตามอำเภอใจเท่าขั้นแปดเสมอไป แต่ขอแค่หนีไม่ต่อสู้ ยอดฝีมือขั้นแปดก็ยากจะล้อมฆ่าเขาเช่นกัน
นอกเสียจากจะถูกสกัดไว้จริงๆ
ตาเฒ่าหลี่หนีอย่างไม่คิดสู้ สองคนข้างหลังก็ตามมาอย่างไม่ลดละ คลื่นพลังงานที่แข็งแกร่งเริ่มจู่โจมมาจากข้างหลัง
พวกฟางผิงไม่จมอยู่ในความเงียบอีกแล้ว พากันทยอยเคลื่อนไหว พวกเขากอดกันแน่น รีบเผ่นไปอยู่ข้างหน้าตาเฒ่าหลี่ การจู่โจมของขั้นแปด พวกเขารับไม่ไหว
แผ่นพลังของตาเฒ่าหลี่เปล่งแสงสีทองอย่างแข็งแกร่ง ทะยานไปต่อข้างหน้าอย่างไม่สนใจอะไร
เวลานี้บรรยากาศที่โศกเศร้าอย่างเห็นได้ชัดก่อนหน้านี้สลายไปแล้ว ในความโกลาหลวุ่นวาย ฉินเฟิ่งชิงยังมีใจด่าคน “เจ้าหัวเหล็ก อย่ามาบังฉัน ไปบังฟางผิงนู้น!”
เวลานี้ทั้งสี่คนเกาะกันแน่น ฟางผิงที่อยู่ข้างหน้าสุดกอดเอวเหล่าหลี่ไม่ปล่อย สามคนข้างหลังก็ดึงแขนเขาไว้แน่นเช่นกัน
หลี่หานซงอยู่ไกลมากที่สุด ได้ยินเสียงก่นด่าของฉินเฟิ่งชิงก็เอ่ยอย่างจนใจ “พวกนายเร็วกว่าฉัน ฉันมีทางเลือกที่ไหนกัน”
ฉินเฟิ่งชิงและหวังจินหยางต่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ฟางผิงก็หลบไปอยู่ข้างหน้าแล้ว สองคนนี้รีบตามไปอยู่ข้างหน้า เขาเป็นคนสุดท้าย ไม่อยู่นอกสุดยังจะให้เขาเบียดตัวเข้าไปหรือไง?
ฉินเฟิ่งชิงบ่นพึมพำครู่หนึ่งก่อนจะหยุดไป ช่างเถอะ เจ้าหมอนี่อยู่นอกสุดดีแล้ว หากข้างหน้ามีคนมาอีก คนแรกที่ถูกตีตายก็จะเป็นเขา ถูกบังนิดหน่อยไม่จำเป็นต้องใส่ใจจนเกินไป
ตาเฒ่าหลี่ที่หอบทั้งสี่คนไม่ได้เคลื่อนไหวช้าแต่อย่างใด
สำหรับขั้นเจ็ดขั้นแปดแล้ว น้ำหนักคนพวกนี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่
แม้เจ้าเด็กเวรพวกนี้จะค่อนข้างหนักอยู่บ้างก็ตาม
ระหว่างที่หนี ตาเฒ่าหลี่ก็ปล่อยพลังปราณอย่างแข็งแกร่ง เตือนให้ขั้นเก้าที่ทางเดินรีบเข้ามารับเขา
ไม่นานก็มีปฏิกิริยากลับมา
ข้างหน้านั้นมีพลังกล้าแกร่งปรากฏขึ้นสองสาย อู๋ชวนและจ้าวซิ่งอู่รับรู้ถึงสถานการณ์ทางนี้แล้ว
คล้อยหลังจากการเคลื่อนไหวพลังทั้งสองสาย ทหารที่ตามมาข้างหลังก็ลดความเร็วลง
“ปลอดภัยแล้ว!”
เวลานี้ทุกคนต่างโล่งใจ
ฟางผิงโล่งใจเช่นกัน ตอนที่พลังงานที่แข็งแกร่งสองสายไล่ตามมา ทหารถอยร่นไป ในที่สุดค่าทรัพย์สินของเขาก็มีการเปลี่ยนแปลง นี่หมายความว่าคนพวกนี้ละทิ้งการตามฆ่าแล้วจริงๆ
————————-