ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 415 ขออาศัยสสารไม่แตกดับหน่อย (1)
ตอนที่ 415 ขออาศัยสสารไม่แตกดับหน่อย (1)
……….
เทือกเขาชางซานสาขาย่อย
กลางหลุมลึกขนาดใหญ่
เศษฝุ่นค่อยๆ จางหายไป
เวลานี้ทั่วทั้งภูเขาเกิดความเงียบไร้สุ้มเสียง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ใต้หลุมขนาดใหญ่ที่มีเศษหินปกคุลมอยู่ก็ขยับเขยื้อนเล็กน้อย
หลังจากนั้นสักพัก กะโหลกที่ไม่เป็นรูปร่างก็ปรากฏขึ้นใต้หลุมนั้น
“ฉัน…ไม่ตาย!”
เสียงที่แฝงด้วยความเคียดแค้นดังขึ้น!
ชายกลางคนดิ้นรนปีนออกมาจากหลุม เวลานี้ร่างกายของเขาแหลกเหลวไม่เป็นชิ้นดี ขาสองข้างแทบไม่มีเหลืออีกแล้ว
ในขณะที่เขาพยายามตะเกียกตะกายขึ้นไป ไม่ไกลนั้นเศษหินก็ถูกพลิกขึ้นอีกครั้ง
สิ่งมีชีวิตที่รูปร่างคล้ายโครงกระดูกทองก็สะบัดหัวที่เละเทะไม่เป็นชิ้นดี ปีนขึ้นมาจากกองหิน ส่งเสียงขาดๆ หายๆ ว่า “ยัง…ไม่ตาย…ถือว่าดวงแข็ง…แต่ว่า…อีกไม่นานนี้แหละ!”
ตอนนี้ฟางผิงสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้างเช่นกัน แต่ดีที่ค่าทรัพย์สินยังอยู่ เขากำลังซ่อมแซมอาการบาดเจ็บของตัวเองอย่างต่อเนื่อง
ฟางผิงยังพอว่า ตอนนี้ตายไม่ได้แล้ว
แต่ขุดเศษหินอยู่พักใหญ่…รอจนขุดเจอร่างสะบักสะบอมที่ราวกับศพแยกชิ้นส่วน น้ำเสียงของฟางผิงก็แหบพร่าขึ้นมาทันที “พี่หวัง ขอโทษจริงๆ ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?”
ระหว่างที่พูดในมือฟางผิงก็ปรากฏหินพลังงานระดับสูงหลายชิ้น นี่เป็นหินพลังงานที่เหลืออยู่ทั้งหมดของเขาแล้ว
หินพลังงานถูกกระดูกมือของฟางผิงทุบจนแตก ยัดเข้าไปภายใน ‘ร่าง’ นั้น
ฟางผิงรออยู่สักพัก หลังจากนั้น ‘ร่าง’ ก็ค่อยๆ สั่นไหวเล็กน้อย เอ่ยจนแทบไม่ได้ยินว่า “ตะ…ตายหรือยัง?”
“ยังเลย”
ฟางผิงหันไปมองมนุษย์ครึ่งท่อนที่ยังตะเกียกตะกายอยู่ เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ปีนไปเถอะ ปีนออกไปได้นับว่านายสุดยอดแล้ว”
ชายกลางคนยังไม่ตาย แต่ท่อนล่างถูกระเบิดจนไม่เหลือแล้ว
ท่อนบนก็แหลกเหลวไม่เป็นชิ้นดี ฟางผิงคาดเดาว่าประตูซานเจียวของเขาน่าจะถูกระเบิดจนพินาศแล้ว ตอนนี้บนร่างของหมอนั่นไม่มีแม้แต่คลื่นพลังปราณด้วยซ้ำ
ไม่ตาย นั่นก็ถือว่ามีความปรารถนาอยากอยู่รอดอย่างแรงกล้า
แต่ตอนนี้ไม่ตาย อีกฝ่ายก็อยู่ได้ไม่นานแล้ว
ฟางผิงไม่ตามไปฆ่าคนแต่อย่างใด ตอนนี้เขาไม่มีแรงจะขยับแล้วเหมือนกัน ยังไงอีกฝ่ายก็ปีนออกไปไม่ได้หรอก
หอบหายใจเล็กน้อย ฟางผิงเห็นชายกลางคนยังปีนต่อก็เอ่ยอย่างยากลำบากว่า “จะดิ้นรนไปเพื่ออะไร นายคิดว่านายเป็นเหมือนพวกเรา? ไขกระดูกของพวกเรากลายพันธุ์ นายคิดว่าตัวเองก็กลายพันธุ์? ฆ่าตัวตายให้จบๆ ไปดีกว่า…”
“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์…ไม่อาจ…ปล่อยพวกนายไว้!”
แววตาที่ขมุกขมัวของชายกลางคนเผยความสิ้นหวังออกมา
เขาไม่มีทางรอดแล้ว!
เหมือนที่ฟางผิงบอก บาดเจ็บหนักถึงขั้นนี้ ประตูซานเจียวยังถูกทำลายพังพินาศ แม้ว่าตอนนี้เขาจะหนีออกไปได้ก็ไม่อาจมีชีวิตรอด
นอกเสียจากว่าจะแช่อยู่ในน้ำแร่พลังงาน ซ่อมแซมบาดแผลตัวเอง
แต่ของแบบนั้น กระทั่งขั้นเก้ายังให้ความสำคัญ มองเป็นสิ่งล้ำค่า เขาเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกคนหนึ่ง ไม่พูดถึงลัทธินอกรีตจะมีหรือเปล่า แม้จะมีก็ไม่อาจเอาให้เขาใช้ได้
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใช้แค่จำนวนเล็กน้อยก็สามารถซ่อมแซมได้ บางทีอาจต้องสิ้นเปลืองกว่าหลายจินขึ้นไป
ทั้งมากขนาดนั้น บ่มเพาะขั้นเจ็ดคนหนึ่งยังเหลือเฟือด้วยซ้ำ
“ลัทธิศักดิ์สิทธิ์? ลัทธิศักดิ์สิทธิ์กากเดนอะไรกัน!”
ฟางผิงใช้ค่าทรัพย์สินเติมเต็มปราณและพลังจิตใจของตัวเอง ประคองให้อาการบาดเจ็บไม่แย่ไปกว่านี้ เอ่ยสัพยอกว่า “วางใจเถอะ พวกกากเดนนั้น ไม่ช้าก็เร็วฉันจะส่งไปอยู่กับนายด้วย! กล้าลอบสังหารฉัน ฉันไม่ตาย งั้นพวกนายอย่าคิดว่าจะหนีรอดเลย! ตอนแรกหากพวกนายต่อสู้กันไป ไม่ก่อเรื่องมาถึงฉัน ฉันคงไม่มีเวลาว่างมาสนใจกลุ่มคนต่ำทรามอย่างพวกนายได้หรอก! แต่จะลากเรื่องมาหาฉันให้ได้…รอฉันทำลายล้างพวกนายละกัน!”
ระหว่างที่ฟางผิงพูดก็เอ่ยต่อว่า “ฉันสงสัยว่าลัทธินอกรีตของพวกนายอาจจะมีความขัดแย้งภายในเช่นกัน นึกไม่ถึงว่าจะให้ขั้นหกอย่างนายมาฆ่าฉัน? หรือพวกนายไม่รู้ว่าฉันฆ่าขั้นหกในถ้ำใต้ดินหนานเจียงไปนับไม่ถ้วน? ถ้าไม่อยู่บนโลกมนุษย์ นายคิดว่าขั้นหกคนหนึ่งอย่างนายจะสามารถไล่ต้อนฉันมาถึงตรงนี้ได้งั้นเหรอ? ถ้าลัทธินอกรีตมีแหล่งข่าวในถ้ำใต้ดินหรือมีคนปะปนกับเบื้องบนของมนุษย์ต้องรู้ข้อมูลพวกนี้แน่ อย่าพูดถึงขั้นหกเลย ในถ้ำใต้ดิน ขั้นเก้าก็ยังฆ่าฉันไม่ได้เหมือนกัน”
“นายเป็นแค่ขั้นหก ถามใจตัวเองดู ถ้าไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากให้คนอื่นถูกลูกหลง นายจะบีบเค้นฉันจนถึงขั้นนี้ได้ยังไง? คนชั่วกัดกันเอง ดูท่านายน่าจะล่วงเกินใครเข้าเลยถูกคนจงใจปองร้าย ทำไม่ถึงขั้นหลอมปราณและจิตใจเป็นหนึ่ง กลับคิดจะฆ่าฉัน? ไม่แปลกใจที่จู่ๆ ตอนเย็นก็ได้รับข้อความว่าจะมีคนซุ่มโจมตีฉัน ฉันยังคิดว่าใครเป็นคนบอก เกรงว่าคงจะเป็นศัตรูของนายสินะ?”
ระหว่างที่ฟางผิงพูด แม้ชายกลางคนจะไม่ค่อยมีสติอยู่บ้าง แต่ก็ยังได้ยินเช่นกัน ร่างที่เละเทะนั้นแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ขยับปีนต่ออีก
ร่างของหวังจินหยางที่อยู่ด้านข้างยังยอมแพ้ เจ้าหมอนี้ยังมีเวลามาพูดมากอีก
ตอนนี้เขาแทบขยับไม่ได้แล้ว กลัวว่าโคงสร้างน่าจะพังทลายแล้ว
ฟางผิงหอบหายใจต่อ เอ่ยอย่างเหนื่อยล้าว่า “ดูท่าระดับสูงของลัทธินอกรีตที่ถูกพวกเราฆ่าครั้งก่อนคงมีคนคิดอยากเลื่อนตำแหน่ง ขั้นหกสูงสุดอย่างนายน่าจะมีความคิดแบบนี้เหมือนกันสินะ? ลัทธินอกรีตอยากเน้นบ่มเพาะขั้นหกสูงสุดบางส่วนให้กลายเป็นระดับสูงใช่หรือเปล่า? นายไปขวางทางใครเข้าล่ะ? ฉันได้ยินมาว่าลัทธินอกรีตก็แบ่งเป็นหลายพรรคหลายฝ่าย หรือว่าลัทธิอื่นๆ จงใจทำร้ายพวกนาย? ขั้นหกตายไปสามคน ถ้าเป็นลัทธิของพวกนายทั้งหมด…เกรงว่าลัทธิของพวกนายต้องจบเห่ครั้งนี้แล้ว”
ชายกลางคนราวกับตายไปแล้วจริงๆ นอนอยู่บนพื้น แทบไม่รับรู้ถึงลมหายใจ
ฟางผิงเห็นแบบนั้นก็ไม่สนใจเขา หอบหายใจเอ่ยเสียงแผ่วว่า “พวกลัทธินอกรีตโง่งมกลุ่มนี้ คิดว่าครั้งก่อนระดับสูงถูกฉันฆ่างั้นเหรอ? ไม่ใช่คนของพวกเขาขายกันเองหรือไง ไม่งั้นจะมีระดับสูงตายหลายคนขนาดนั้นได้ยังไง…”
“จิตใจของมนุษย์นั้นน่ารังเกียจอย่างถึงที่สุดแล้ว!”
“ก็ดี ยิ่งตายไปเยอะเท่าไหร่ก็ดีเท่านั้น…”
ตอนนี้จู่ๆ หวังจินหยางก็เอ่ยว่า “ตายแล้ว หยุดหลอกเขาเถอะ”
ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “นายคิดว่าฉันหลอกเขา? ฉันพูดเรื่องจริง ครั้งนี้มีคนเตือนฉันล่วงหน้า ไม่งั้นถูกขั้นหกสามคนซุ่มโจมตี ฉันคงตายจริงๆ แล้ว แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้มีเจตนาดี ถึงช่วงเวลาสำคัญค่อยจะมาเตือนฉัน ดูท่าคงอยากเห็นพวกเราต่อสู้จนตกตายไปด้วยกัน ไม่จำเป็นต้องเดา หากไม่ใช่ลัทธินอกรีตก็คงเป็นคนของสองบริษัทใหญ่ คนอื่นๆ รู้เรื่อง คงไม่เตือนในช่วงเวลากระชั้นชิดแบบนี้หรอก”
“นาย…นายพูดเรื่องจริง?” ตอนนี้หวังจินหยางมึนงงเช่นกัน
ฟางผิงเอ่ยเบาๆ “จริงอยู่แล้ว น่าจะเป็นศัตรูของเขาละมั้ง ไม่ได้แปลกอะไร คนชั่วกัดกันเองเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”
“ก็ถูก”
ทั้งสองคนกำลังพูดกัน ชายกลางคนที่ราวกับตายไปแล้วเมื่อครู่ จู่ๆ ก็เอ่ยอย่างยากลำบากว่า “เจิ้งหยาง…หอศิลปะการต่อสู้เจิ้งหยาง…หลิวเฮ่อ…บริษัทยาบำรุงหนานเจียง…จ้าว…จ้าวอวี่…”
“คนของพวกนาย?” ฟางผิงแววตาเปลี่ยนเล็กน้อย
“ฆ่า…ฆ่าพวกเขา…”
สิ้นเสียงจู่ๆ หัวที่ไม่สมประกอบของชายกลางคนก็พับลงไป
ฟางผิงใช้พลังสัมผัสอย่างละเอียด ผ่านไปสักพักก็เอ่ยว่า “ครั้งนี้ตายจริงๆ แล้ว!”
แม้หวังจินหยางจะอยากหลับอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ยังคงฝืนความปรารถนาที่จะหลับ หอบหายใจว่า “เขา..จะ…จะจงใจพูดมั่วซั่วหรือเปล่า…”
“ไม่รู้ ไว้ค่อยกลับไปตรวจสอบ ต้องมีเบาะแสร่องรอยแน่ สองคนนี้…นายคุ้นเคยหรือเปล่า?”
“ขั้นหกสูงสุด…หนานเจียงมีไม่กี่คน…”
หวังจินหยางหน้าซีดราวกับกระดาษ “หัวหน้าโจวตายในสงคราม…หลิวเฮ่อรับช่วงต่อสำนักศิลปะการต่อสู้เจิ้งหยางแทน!”
ขึ้นชื่อว่าหอศิลปะการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในหนานเจียง ผู้ฝึกยุทธ์ในสังคมหนานเจียง ส่วนมากออกมาจากหอศิลปะการต่อสู้เจิ้งหยางทั้งนั้น
ตอนนี้โจวเจิ้งหยางตายในสงคราม หลิวเฮ่อรับช่วงต่อหอศิลปะการต่อสู้ หากอีกฝ่ายเป็นคนของลัทธินอกรีตจริงๆ เรื่องราวก็ยุ่งขึ้นมาแล้ว
ระหว่างที่พูดฟางผิงก็รับรู้ถึงพลังกล้าแกร่งเทียมฟ้า ละล่ำละลักว่า “อีกเดี๋ยวห้ามพูดอะไร!”
“หืม?”
“ถ้ามีปรมาจารย์ไม่ถึงสองคน ห้ามพูด!”
“ได้”
หวังจินหยางเข้าใจความหมายของเขาทันที ตอนนี้เกรงว่าฟางผิงจะไม่เชื่อใจใครอีกแล้ว ถึงจะเป็นผู้บัญชาการทหารไป๋ก็ตาม
หวังจินหยางยังกำลังครุ่นคิด จู่ๆ ฟางผิงก็เริ่มขยับ มุดเข้าไปในเศษหิน กดเสียงว่า “บอกว่าไม่รู้ว่าฉันอยู่ที่ไหน ถ่วงเวลาสักพัก อย่างน้อยรอให้ปรมาจารย์มาอีกหนึ่งคน!”
หวังจินหยางแทบไม่รู้ว่าควรพูดยังไง เจ้าหมอนี่หรือจะสงสัยว่าผู้บัญชาการทหารเป็นคนของลัทธินอกรีตจริงๆ?
โอกาสแบบนี้เป็นไปได้น้อย
ขึ้นชื่อว่าเป็นหัวหน้าของหน่วยทหาร ถ้าผู้บัญชาการไป๋ไม่มีความน่าเชื่อถือพอ งั้นหนานเจียงคงตกอยู่ในวิกฤตจริงๆ แล้ว
แต่ฟางผิงจะทำแบบนี้ ระวังตัวก็ไม่ใช่เรื่องผิด หวังจินหยางไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน
ไม่นาน ฟางผิงก็มุดไปอยู่ใต้ดิน หวังจินหยางเห็นแบบนั้นจึงขยับเล็กน้อย กำบังบนตำแหน่งที่เขามุดลงไป ใต้ดินนั้นแทบสัมผัสถึงลมหายใจของฟางผิงไม่ได้
ในตอนที่ฟางผิงมุดลงไปไม่นาน ร่างที่สูงใหญ่ก็ร่วงลงมาชั่วพริบตา ผู้บัญชาการทหารไป๋อยู่ในชุดทหาร ใบหน้าเคร่งขรึม มองตรวจสอบรอบทิศทาง เวลานี้ค่อยถอนหายใจเบาๆ รีบเดินไปหาหวังจินหยาง
รอจนเห็นหวังจินหยางหายใจอย่างแผ่วเบา ผู้บัญชาการทหารไป๋ก็รีบควักขวดยาบำรุงออกมา กรอกใส่ปากของเขา ขมวดคิ้วว่า “จินหยาง ฟางผิงล่ะ?”
หวังจินหยางราวกับเพิ่งได้สติ หอบหายใจว่า “มะ…ไม่แน่ใจ…”
“เมื่อกี้ใครเป็นคนลงมือ?”
ผู้บัญชาการทหารไป๋ถามอีกครั้ง หวังจินหยางราวกับพูดไม่ออกอยู่บ้าง ขยับริมฝีปากเล็กน้อย ไม่มีเสียงส่งออกมา
———————