ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 417-2 คนหนุนหลังมาแล้ว (2)
ตอนที่ 417 คนหนุนหลังมาแล้ว (2)
……….
ครั้งนี้คนของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มาไม่น้อย
ตาเฒ่าหลี่ลอยมาอย่างทรงพลัง ไม่ใช่พลังปราณอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นพลังฟ้าดินที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศ เปล่งแสงวับวาวไม่หยุด
เขายังไม่ถึงขั้นปลดปล่อยพลังจิตใจ แต่ช่วงนี้พลังจิตใจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เข้าใกล้ฟางผิงแล้ว เวลานี้ภายใต้การปะทุก็สามารถหลอมรวมกลายเป็นพลังฟ้าดิน
อู๋ขุยซานมาเช่นกัน ลมหายใจของร่างทองเปิดเผยอย่างชัดเจน ข่มขวัญทั่วสารทิศ
บนหัวของถังเฟิงมีปราณพาดผ่านท้องฟ้า ถึงกระทั่งแทบไม่อ่อนด้อยไปกว่าหวงจิ่งที่อยู่ด้านข้าง!
นอกจากหลู่เฟิ่งโหรวและหลิวพั่วพลู่ ระดับสูงของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แทบจะมาทั้งหมดแล้ว
หลู่เฟิ่งโหรวยังคงเข้าด่าน ไม่ได้รับข่าว พวกอู๋ขุยซานมาด้วยตัวเองแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกเธอออกมากลางคันเช่นกัน
“คนล่ะ?”
ตาเฒ่าหลี่ระเบิดพลังออกมาข่มขวัญจนผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนของหยางเฉิงที่อยู่ใกล้ๆ หายใจไม่ทันอยู่บ้าง
ฟางผิงเห็นพวกเขาตามมาอย่างรีบเร่ง บนหัวยังมีเหงื่อชุ่มก็ละล่ำละลักว่า “ลำบากอาจารย์ทุกคนแล้ว คนถูกผมฆ่าไปแล้ว!”
ระหว่างที่พูด ฟางผิงก็เผยสีหน้าโอ้อวด “ขั้นหกสูงสุดหนึ่งคน ขั้นหกตอนกลางหนึ่งคน ขั้นหกตอนต้นอีกหนึ่งคน ผมฆ่าด้วยดาบเดียวทั้งหมด!”
ทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี!
ตาเฒ่าหลี่ตะโกนว่า “พูดความจริง!”
“นี่แหละความจริง!”
ฟางผิงเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ “ผมหลอมกระดูกทองแล้ว!”
จนถึงตอนนี้พวกเขาค่อยมีเวลาสนใจเรื่องนี้ อู๋ขุยซานตรวจสอบพักหนึ่ง เผยสีหน้าขัดแย้งขึ้นมาทันที!
แม่งเหอะ ความรู้สึกที่คุ้นเคย
ยอดฝีมือขั้นแปด ไม่มีใครไม่คุ้นเคยเรื่องนี้
หลอมกระดูกทองแล้วจริงๆ!
ครั้งก่อนแม้ฟางผิงจะเปล่งแสงสีทอง แต่เวลานั้นไม่นับว่าเป็นกระดูกทองอย่างสมบูรณ์
ตอนนี้…ยังคงห่างจากความรู้สึกนั้นอยู่เล็กน้อย
แต่ว่า…อู๋ขุยซานมองตาเฒ่าหลี่แวบหนึ่ง เอ่ยอย่างครุ่นคิด “เหมือนจะแข็งแกร่งกว่าหลี่ฉางเซิง!”
ตาเฒ่าหลี่ใบหน้าดำคล้ำ!
ล้อเล่นอะไรกัน!
ฟางผิงกลับเอ่ยอย่างมีหลักการว่า “แน่นอนอยู่แล้ว อาจารย์หลี่แค่กระดูกกลายเป็นทอง ไขกระดูกยังหลอมไม่ถึง ผมไม่เหมือนกัน นอกจากไขกระดูกกะโหลก ตำแหน่งอื่นๆ แทบจะกลายเป็นทองหมดแล้ว!”
“ฉัน…”
ตาเฒ่าหลี่โมโหจนอยากฆ่าคน เอ่ยอย่างมีน้ำโหว่า “เธอรู้หรือเปล่าว่าฉันถ่อมาถึงที่นี่แทบจะเหนื่อยตายอยู่แล้ว? ไอ้เวรเอ้ย ตอนนี้ยังมาพูดแดกดันฉันอีก?”
ตาเฒ่าหลี่ปะทุโทสะขึ้นมา แม่งทำร้ายตาเฒ่าเกินไปแล้ว!
กระดูกทองของเธอนับเป็นเรื่องอะไรกัน ฉันปิดผนึกประตูซานเจียวแล้วเถอะ เธอล่ะ?
เธอเป็นแค่ขั้นห้าตอนกลาง กระดูกทองแล้วยังไง ไม่ยอมก็มาตัวต่อตัวสิ!
ฟางผิงรีบตีหน้ายิ้ม “ที่ไหนกันล่ะครับ ผมไม่ได้พูดแดกดันอาจารย์สักหน่อย คุณให้ผมพูดความจริงไม่ใช่หรือไง? ผมก็พูดความจริง ผมเป็นคนฆ่า…แน่นอนว่าพี่หวังช่วยผมสกัดอยู่เหมือนกัน ผมเตรียมตัวพักหนึ่งก็ฆ่าอีกฝ่ายได้”
หวังจินหยางที่อยู่ด้านข้าง เวลานี้ค่อยค้อมตัวเล็กน้อย นับว่าเป็นการทักทาย
ในใจกลับรู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง
มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แข็งแกร่งกว่ามหาวิทยาลัยหนานเจียงอย่างมากจริงๆ
น่าอิจฉาชะมัด!
ฟางผิงถูกลอบโจมตี ส่งข่าวไป ยอดฝีมือร่างทองของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็มาถึงสองคน ขั้นเจ็ดหนึ่งคน ถังเฟิงที่อยู่ก่ำกึ่งระหว่างปรมาจารย์ก็มาเช่นกัน
จากความสามารถนี้ ไม่แปลกใจที่ฟางผิงกล้าเหิมเกริมได้
ในทางกลับกัน ครั้งนี้เขาก็เข้าร่วมการต่อสู้ ไม่ใช่มหาวิทยาลัยหนานเจียงไม่อยากส่งคนมา แต่ว่า…ยอดฝีมือขั้นหกสองคนยังกำลังอยู่ระหว่างทางอยู่เลย!
หวังจินหยางแจ้งไปแล้วว่าไม่จำเป็นต้องมา
ขั้นหกสูงสุดสองคนนั้นยังไม่ถึงขั้นหลอมปราณและจิตใจเป็นหนึ่งเลย ถึงมาก็ไม่เกิดผลลัพธ์อะไรเท่าไหร่ หวังจินหยางไม่อยากให้มหาวิทยาลัยหนานเจียงเข้ามาเกี่ยวข้องเรื่องหลังจากนี้เช่นกัน มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีความสามารถมากพอ แต่พวกเขาไม่มี ฟางผิงอยู่ข้างหน้าแบกเรื่องนี้ก็เพียงพอแล้ว
ตาเฒ่าหลี่เอ็ดด่าหลายประโยค ก่อนจะสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย กดเสียงว่า “อาการบาดเจ็บเป็นยังไงบ้าง?”
ฟางผิงมองไปทางอู๋ขุยซาน เอ่ยอย่างน่าสงสารว่า “อธิการ ช่วยแบ่งสสารไม่แตกดับให้ผมหน่อยได้หรือเปล่า ผมแทบจะกลายเป็นโครงกระดูกอยู่แล้ว”
ตาเฒ่าหลี่อ่อนแอเกินไป สสารไม่แตกดับไม่มีด้วยซ้ำ
อู๋ขุยซานมุมปากกระตุก คำพูดของเจ้าเด็กนี้ ทำไมรู้สึกเหมือนอยากโดนอัดยังไงไม่รู้?
พูดอย่างกับขอยืมเงิน ของแบบนี้บอกว่าจะแบ่งก็แบ่งได้ง่ายๆ หรือไง?
หากฟางผิงใกล้ตายก็ว่าไปอย่าง
แต่เจ้าเด็กนี้ยังกระโดดโลดเต้นได้ ไม่มีทีท่าจะหมดลมหายใจด้วยซ้ำ เวลานี้สิ้นเปลืองสสารไม่แตกดับช่วยรักษาอาการบาดเจ็บให้ฟางผิง…เขาไม่ทำหรอก!
เห็นอู๋ขุยซานไม่สนใจตัวเอง ฟางผิงก็อับจนหนทาง ไม่นานก็กระตือรือร้นขึ้นมา กัดฟันว่า “อาจารย์ทุกคน ไปกันเถอะครับ ไปทำเนียบผู้ว่า! ครั้งนี้ถ้าไม่ได้หลายร้อยหลายพันล้าน ไม่เลิกราแน่!”
อู๋ขุยซานขมวดคิ้วขึ้นทันที “เธอจะทำอะไร?”
“หาเรื่อง!”
ฟางผิงเดินไปพลางก็เอ่ยไปพลาง “วางใจเถอะครับ ไม่ได้หาเรื่องอย่างไร้เหตุผล ครั้งนี้มีหลักฐาน!”
ระหว่างที่พูด จู่ๆ ฟางผิงก็ถอดเสื้อผ้า เผยร่างกายที่เละเทะไม่เป็นชิ้นดี พวกเขาสั่นสะท้านอยู่ในใจ นี่ไม่ใช่บาดเจ็บเล็กน้อยแล้ว
“ผมจะไปให้พวกเขาเห็นสภาพนี้แหละ ขนาดนี้ยังฆ่าผมไม่ได้ กลับเป็นขั้นหกสามคนที่ถูกผมฆ่า รอผมฝีมือก้าวไปอีกขั้น ผมจะดูสิว่าจะมีขั้นเก้ามาฆ่าผมหรือเปล่า!”
มีโอกาสแสดงความเกรงขามไม่มาก แต่โอกาสที่จะอเนจอนาถมีสูงกว่า
พวกเขาย่อมรู้ถึงเป้าหมายของฟางผิง ตาเฒ่าหลี่ยังคงขมวดคิ้วว่า “หาเรื่องใคร?”
“สองบริษัทใหญ่!”
“ครั้งนี้เป็นฝีมือของพวกเขางั้นเหรอ?”
“ไม่รู้สิครับ” ฟางผิงส่ายหน้า เอ่ยเสริมว่า “มีหลักฐาน ตอนใกล้ตายขั้นหกสูงสุดคนนั้นบอกชื่อออกมาสองคน ช่างเถอะครับ ยังไม่พูดตอนนี้ รอไปทำเนียบผู้ว่าแล้ว อยู่ต่อหน้าทุกคนผมค่อยพูดอีกที จับกุมสองคนนั่นในที่เกิดเหตุ!”
ตอนนี้สองคนนั้นยังอยู่ที่เจียงเฉิง ตอนนี้เจียงเฉิงมีปรมาจารย์หอการค้าคนหนึ่งนั่งรักษาการณ์อยู่ ช่วยเสริมกำลังจางติ้งหนานที่ได้รับบาดเจ็บ
ฟางผิงวางแผนให้อู๋ขุยซานเข้าไปสักหน่อย ไม่ว่าจะใช่หรือเปล่า จับตัวไว้ก่อนค่อยว่ากัน
ยังไงสองคนนี้ก็ไม่นับว่าเป็นคนขององค์กรรัฐบาล ทั้งไม่ได้มีอำนาจมากมาย หากเป็นคนของหน่วยทหารหรือสถานที่อื่น แค่สงสัยอาจไม่สามารถจับอีกฝ่ายได้เสมอไป
ถึงเวลานั้นถูกตรวจสอบภายใต้หูตาของปรมาจารย์หลายคน หากเป็นการปรักปรำอีกฝ่าย ฟางผิงขอโทษขอโพย ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว
แต่ถ้าไม่ใช่การปรักปรำ…นั่นจะดีที่สุด
ระหว่างที่พูดฟางผิงก็มองไปทางหวงจิ่ง “เรื่องหุ้นของพวกเราสามารถลงมือได้แล้ว”
หวงจิ่งขมวดคิ้วขึ้น อดมองเขาไปทีไม่ได้ กดเสียงว่า “จะใส่ร้ายใครมั่วซั่วไม่ได้!”
เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่นับว่าใส่ร้ายมั่วซั่วจริงๆ พี่หวังเป็นพยานได้ เวลานั้นอีกฝ่ายบอกชื่อสองคนนั้นออกมาหรือเปล่า? แม้ว่าคนๆ นี้จะเป็นพวกของลัทธินอกรีต แต่ยอดฝีมือขั้นหกสูงสุดของลัทธินอกรีตคนหนึ่งเอ่ยชื่อผู้สมรู้ร่วมคิดออกมา แม้จะเป็นเรื่องโกหกจริงๆ ก็ควรต้องตรวจสอบสักหน่อยหรือเปล่าครับ?”
หวังจินหยางที่อยู่ด้านข้างพยักหน้าว่า “จริงๆ ครับ ตอนนั้นผมก็ได้ยิน”
เมื่อคำพูดนี้ออกมา หวงจิ่งก็ไม่พูดอีก
ขอแค่ฟางผิงไม่ได้พูดมั่วซั่ว มีหลักฐานพยาน งั้นก็จำเป็นต้องหาเรื่องสักหน่อยแล้ว
เรื่องนี้จะมองข้ามไม่ได้ ในเมื่ออีกฝ่ายพูดชื่อผู้สมรู้ร่วมคิด ไม่ว่าจะจริงหรือเปล่าก็จำเป็นต้องตรวจสอบลงไป แม้ว่าสุดท้ายจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นการใส่ร้าย นั่นก็แค่พูดขอโทษเท่านั้น
———————-
……….