ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 417-3 คนหนุนหลังมาแล้ว (3)
ตอนที่ 417 คนหนุนหลังมาแล้ว (3)
……….
หยางเฉิง
ทำเนียบผู้ว่า
ตอนที่รับรู้ถึงลมหายใจจากข้างนอก อู๋ชวนก็ถูขมับขึ้นมาทันที นึกไม่ถึงว่าคนจะมาเยอะขนาดนี้ เรื่องนี้หากจัดการไม่ระวังต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
“คนของสองบริษัทใหญ่มางั้นเหรอ?”
ไป๋จิ่นซานที่ฝีมืออ่อนแอที่สุดไม่กล้าพูดขึ้นมาด้วยซ้ำ เป็นผู้บัญชาการเมืองรุ่ยหยางที่รับบทสนทนา เอ่ยอย่างนอบน้อมว่า “ผู้บังคับการ คนของสองบริษัทอยู่ระหว่างทางแล้ว แต่เร่งเดินทางจากปักกิ่ง ยังต้องใช้เวลาอีกนิดหน่อย อีกอย่างผู้บัญชาการโจวหน่วยทหาร รัฐมนตรีหวังกระทรวงการศึกษา ผู้อำนวยการหูหน่วยสืบสวน…อยู่ระหว่างการเดินทางทั้งนั้น พวกหัวหน้าบอกว่ารอพวกเขามาถึงแล้วค่อยดำเนินเรื่องพร้อมกัน”
อู๋ชวนพยักหน้าเล็กน้อย ปีใหม่แท้ๆ มาเกิดเรื่องแบบนี้ได้ เกรงว่าทุกคนคงฉลองปีใหม่ไม่ราบรื่นเท่าไหร่แล้ว อีกอย่าง…ยังมีฟางผิงและหวังจินหยาง เป็นเรื่องที่ควรค่าให้ความสำคัญจริงๆ
คนหนึ่งขั้นห้ากระดูกทอง อีกคนขั้นห้าเกิดสสารไม่แตกดับขึ้นมา
เรื่องนี้ก็ต้องให้ความสนใจเช่นกัน
คนแบบนี้จะมีอีกกี่คนกัน?
เหยาเฉิงจวิน หลี่หานซง…ยังมีหลายคนที่ไม่ถูกค้นพบงั้นเหรอ?
หรือค้นพบแล้ว แต่ถูกปิดบังไว้?
ถ้ามีความพิเศษแบบนี้หมด…งั้นไม่ได้หมายความว่าบางอย่างจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงแล้ว!
คนพวกนี้เป็นยอดฝีมือที่สูงกว่าขั้นแปดขึ้นไปจริงๆ?
งั้นจะเกิดสถานการณ์ที่ฟื้นฟูความสามารถได้อย่างรวดเร็วหรือเปล่า?
บางครั้งยอดฝีมือแปลกหน้าเยอะขึ้น อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
ใครจะรู้ว่าคนพวกนี้ดีหรือเลว มีจุดประสงค์แอบแฝงหรือเปล่า
ทั้งควรจะปฏิบัติท่าทีกับคนพวกนี้ยังไง?
ตอนนี้ดูท่าเหมือนเป็นผู้ฝึกยุทธ์รุ่นใหม่กันทั้งนั้น ฝีมือไม่ได้แข็งแกร่งมาก ประเทศจีนแทบจะมองข้ามการมีอยู่ของพวกเขา ยังไงก็มียอดฝีมือขั้นสุดยอดสามารถควบคุมทุกอย่างได้
แต่คนพวกนี้ล้วนเป็นอัจฉริยะรุ่นใหม่ หากจัดการได้ไม่เหมาะสม จะทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ได้ง่าย
ฟางผิงจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ หลี่หานซงจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เหยาเฉิงจวินจากโรงเรียนเตรียมทหารอันดับหนึ่ง ใครบ้างที่ไม่มีปรมาจารย์หนุนหลังอยู่?
ยิ่งคิดต่อไปเท่าไหร่ อู๋ชวนก็ยิ่งปวดหัวขึ้นมาเท่านั้น
หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ เขาคงไม่มาหรอก ทิ้งเรื่องนี้ให้คนอื่นจัดการก็ดีแล้ว
ตอนนี้เขาเป็นขั้นเก้าเพียงคนเดียวที่มาถึงที่เกิดเหตุ เรื่องราวเกิดขึ้นที่ทางใต้ เขาเป็นผู้บังคับการตั้งมั่นเฝ้าระวังทางใต้ ในนามนั้นยังเป็นผู้นำที่สุดที่สูงของหลายมณฑลทางใต้
อู๋ชวนยังกำลังครุ่นคิดเรื่องพวกนี้ นอกห้องก็รับรู้ได้ถึงลมหายใจที่เข้ามาใกล้แล้ว
หลังจากนั้นสักพัก ฟางผิงที่แทบจะเป็นครึ่งโครงกระดูกก็เดินอาดๆ เข้ามา
อู๋ชวนเห็นสภาพนี้ของฟางผิงก็รู้ทันทีว่าเจ้าเด็กนี้แฝงความคิดชั่วร้ายอยู่แน่ ขมวดคิ้วว่า “สวมเสื้อ!”
ฟางผิงส่ายหน้าว่า “บาดเจ็บหนักเกินไป เสื้อผ้าเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นฟูบาดแผล”
“เธอ…”
อู๋ชวนอยากจะอัดเขาสักชุด แต่ก็กลัวว่าจะทำเจ้าเด็กนี้ตาย
อีกอย่างเขาสงสัยว่าอัดเด็กนี้ตอนนี้ ฟางผิงอาจจะขอให้เขาใช้สสารไม่แตกดับฟื้นฟูตัวเองอีกได้
คนอื่นๆ ไม่พูดอะไร รอจนระดับสูงของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เข้ามา คนพวกนี้จึงค่อยทักทายซึ่งกันและกัน
เห็นอู๋ขุยซานเข้าประตูมา อู๋ชวนกลับไม่นั่งเฉยๆ อีกแล้ว หยัดกายขึ้นผงกหัวให้อีกฝ่ายเล็กน้อย
ขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ แม้เขาจะอยู่ขั้นเก้า การแสดงความเคารพที่เหมาะสมต่ออธิการบดียังคงเป็นเรื่องจำเป็น
อู๋ขุยซานไถ่ถามเป็นมารยาทอยู่สักพัก ก่อนทุกคนจะแยกกันหาที่นั่งให้ตัวเอง
อู๋ชวนรอพวกเขานั่งลงแล้ว เวลานี้ค่อยเอ่ยว่า “รอกันอีกสักหน่อย คนอื่นๆ ใกล้มาถึงแล้ว”
“ได้”
อู๋ขุยซานไม่พูดมาก พวกตาเฒ่าหลี่แทบไม่เอ่ยปากด้วยซ้ำ
เห็นสถานการณ์นี้ อู๋ชวนก็รู้ว่าเรื่องราวไม่อาจคลี่คลายง่ายๆ แล้ว
ส่วนฟางผิงกำลังวางแผนจะทำลายความเงียบโดยการตีซี้กับพวกปรมาจารย์ จู่ๆ ก็หน้าเปลี่ยนสี รีบวิ่งเหยาะๆ ออกประตูไป เอ่ยจากที่ไกลๆ ว่า “อธิการเฉิน คุณมาได้ยังไงครับ?”
เฉินเย่าถิงที่กระโดดลงจากฟ้าเห็นครึ่งโครงกระดูกวิ่งออกมาก็ตกตะลึงเป็นอันดับแรก ก่อนจะเอ่ยด้วยหน้าเปลี่ยนสีว่า “ยังฟื้นฟูได้หรือเปล่า?”
“น่าจะ…ได้มั้งครับ?”
ฟางผิงตอบกลับอย่างไม่มั่นใจเท่าไหร่ รู้สึกว่าจะได้ แต่ต้องสิ้นเปลืองมหาศาลอย่างแน่นอน
“งั้นก็ดี…”
เฉินเย่าถิงถอนหายใจ ถ้าเธอไม่สามารถฟื้นฟู หรือจะให้หลานสาวของฉันคบกับครึ่งโครงกระดูก?
นึกมาถึงตรงนี้ จู่ๆ สีหน้าของเฉินเย่าถิงก็ดูไม่ได้อยู่บ้าง
แม่งเหอะ กินข้าวฉลองขึ้นปีใหม่อยู่ดีๆ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาแทบจะถูกหลานสาวไล่ออกมาแล้ว
หากไม่ใช่ว่าไม่สะดวกพาคนมา หลานสาวคงจะวิ่งโร่มาเองด้วยซ้ำ
บอกไปแล้วว่าเขาอยู่จิงหนาน ไปถึงก็ไม่ทันการอยู่ดี ใกล้ๆ ก็มียอดฝีมือเร่งตามไปแล้ว ผลปรากฏว่าต้องให้เขาตะบึงออกมากลางดึกให้ได้
ไม่สนใจฟางผิงอีก เฉินเย่าถิงเข้าไปในห้องเช่นกัน
เขามา อันที่จริงอู๋ชวนรับรู้ได้เหมือนกัน ทั้งยังคงแปลกใจไม่น้อย เรื่องนี้เหมือนไม่เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยจิงหนานนะ?
เฉินเย่าถิงเป็นอันดับหนึ่งของขั้นเจ็ดในประเทศจีน ร่างทองเป็นเรื่องในอีกไม่ช้า ไม่อาจมองเป็นขั้นเจ็ดทั่วไปได้
เฉินเย่าถิงเห็นอู๋ชวนสงสัยอยู่บ้าง จึงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มาเป็นกำลังเสริมเท่านั้น”
อู๋ชวนพยักหน้าเบาๆ ชำเลืองมองฟางผิงแวบหนึ่ง เจ้าเด็กนี้…เส้นสายเยอะไม่ใช่เล่น
ฟางผิงไม่มองเขา เรื่องนี้พูดได้ยาก
เฉินเย่าถิงมา เขาคาดไม่ถึงเช่นกัน ก่อนหน้านี้ส่งข้อความให้แค่ยอดฝีมือของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ไม่ได้ส่งข่าวให้เฉินเย่าถิง จิงหนานอยู่ไกลจากหนานเจียงเหมือนกัน
เห็นทุกคนต่างกำลังรอ จู่ๆ ฟางผิงก็เอ่ยว่า “หรือจะใช้โอกาสนี้จับสองคนนั้นเข้ามาเลย”
พวกเขาถูกดึงดูดความสนใจทันที ฟางผิงเอ่ยว่า “ก่อนที่ขั้นหกสูงสุดคนนั้นจะตาย ถูกผมล้วงข้อมูลผู้สมรู้ร่วมคิดออกกมาสองคน ตำแหน่งไม่ต่ำต้อย ฝีมือก็ไม่ต่ำต้อยเหมือนกัน!”
อู๋ชวนเอ่ยเสียงดังทันที “ทำไมไม่พูดก่อนหน้านี้?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ผมกลัวว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ครั้งนี้คงต้องรบกวนผู้บังคับการอู๋และอธิการไปหนานเจียง ร่วมมือกันจับคนมาสักหน่อย…”
อู๋ชวนแค่นเสียงในลำคอ เจ้าเด็กนี้น่าจะเป็นโรคขี้ระแวงอย่างหนักแล้ว
จับคนจำเป็นต้องให้ขั้นเก้าและขั้นแปดร่วมกันลงมือด้วยหรือไง?
แต่ในเมื่อฟางผิงคิดแบบนี้ เขาก็ไม่พูดมาก ถามว่า “ใคร?”
“หลิวเฮ่อผู้รักษาการณ์แทนหอศิลปะการต่อสู้เจิ้งหยางและจ้าวอวี่จากบริษัทยาบำรุงหนานเจียง…แน่นอนว่าอาจจะชื่อจ้าวอวี่อะไรสักอย่าง ยังไงจับมาได้ก็น่าจะใช่ ต้องรบกวนทั้งสองคนเดินทางไปเจียงเฉิงแล้ว ส่วนคนอื่นๆ…ไม่ใช่ว่าผมคิดล่วงเกินปรมาจารย์ทุกท่าน แต่ช่วยอยู่รอที่นี่กันก่อนเถอะครับ”
ผู้บัญชาการทหารไป๋สีหน้าดูไม่ได้อย่างยิ่ง ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ฟางผิง แต่เป็นชื่อสองคนนั้น
“ฟางผิง สิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง?”
“จริงอย่างแน่นอน! ประธานหวังสามารถเป็นพยานได้ ผมไม่มีความจำเป็นต้องพุ่งเป้าไปที่คนสองคนซึ่งผมไม่รู้จัก”
“หลิวเฮ่อ…จ้าวอวี่…” ผู้บัญชาการทหารไป๋เผยสีหน้าบิดเบี้ยว ผ่านไปสักพักค่อยเอ่ยว่า “ได้ พวกเราจะไม่ไปไหน รบกวนผู้บังคับการอู๋และอธิการอู๋ด้วย”
ส่วนมีอำนาจจับคนหรือเปล่า อู๋ชวนเป็นผู้นำสูงสุดของทางใต้ เขาลงมือด้วยตัวเอง ไม่อาจพูดอะไรได้แล้ว
อู๋ชวนมองอู๋ขุยซานแวบหนึ่ง ไม่มากความเช่นกัน หยัดกายเดินออกไปข้างนอก
อู๋ขุยซานก็ลุกตามไป หอศิลปะการต่อสู้เจิ้งหยางยังพอว่า แต่จ้าวอวี่…นั่นเป็นผู้ดูแลสูงสุดของบริษัทยาบำรุงหนานเจียง!
ฟางผิงไม่รู้จัก แต่พวกเขายังคงคุ้นเคย
ขั้นหกสูงสุด ไม่ได้อ่อนด้อยแล้ว
ทั้งมณฑลหนานเจียง เดิมทีก็มีขั้นหกไม่เยอะ ขั้นสูงสุดยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ รวมกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ หน่วยทหารและกองการศึกษาแล้วก็มีประมาณสิบคน
เวลานี้ถูกดึงออกมาสองคน นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว
แม้สองคนนี้จะไม่ได้เป็นระดับสูงจากฝ่ายรัฐบาล แต่ก็ไม่อาจประเมินต่ำไปได้
ยอดฝีมือสองคน ไม่นานก็ออกไป จากความเร็วของพวกเขา คงถึงเจียงเฉิงในอีกไม่ช้า
ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงตกสู่ความเงียบทันที เวลานี้ไม่มีใครออกไปไหน ทั้งออกไปไหนไม่ได้เช่นกัน ไม่งั้นคงเป็นการหาเรื่องให้ตัวเองแล้ว
แต่ฟางผิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ส่งสายตาเป็นนัยให้หวังจินหยาง ชี้ไปที่หน้าอก
หวังจินหยางขมวดคิ้วเล็กน้อย เจ้าหมอนี้จะให้เขาเล่นบทน่าสงสาร?
จำเป็นด้วยหรือไง?
เอาเถอะ…อาจจะมีประโยชน์ก็ได้…หวังจินหยางจนใจ ครุ่นคิดแล้วบาดแผลที่ช่องอกก็ปริแตกเล็กน้อย เลือดไหลทะลักออกมาเยอะทีเดียว
เวลานี้ปรมาจารย์หลายคนล้วนเผยสีหน้าแปลกประหลาดอย่างยิ่ง
อย่างอื่นไม่พูดถึง หากจ้าวอวี่ถูกยืนยันว่ามีปัญหาจริงๆ…ครั้งนี้บริษัทยาไม่ทุ่มทุนหน่อย คงคลี่คลายปัญหานี้ไม่ได้แล้ว
แม้ว่าจะไม่เกี่ยวกับระดับสูงของสองบริษัทใหญ่ แต่ตอนนี้ถูกเจ้าเด็กสองคนนี้จับจ้องแล้ว…พวกปรมาจารย์ชักรู้สึกกังวลใจแทนสองบริษัทซะแล้ว
———————-