ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 419-2 หลอกคนเป็นความถนัดของฉัน (2)
ตอนที่ 419 หลอกคนเป็นความถนัดของฉัน (2)
……….
จ้าวอวี่กลับรักษาท่าทีสุขุม มองเจิ้งหมิงหงแวบหนึ่ง ค้อมกายเล็กน้อย “ประธานเจิ้ง”
เจิ้งหมิงหงมองเขา จ้าวอวี่เอ่ยทุ้มลึกว่า “ถูกหรือผิด ให้ทุกคนร่วมตัดสินอย่างเป็นธรรม จ้าวอวี่เป็นลัทธินอกรีตหรือไม่ สามารถรับการตรวจสอบได้ ความจริงต้องปรากฏอย่างแน่นอน…”
เจิ้งหมิงหงไม่พูดมาก บางครั้งตอนที่ผลลัพธ์ยังไม่ออกมา อย่าได้มั่นใจง่ายๆ
จุดนี้เขายังคงกระจ่างใจดี
ตอนนี้พูดด้วยความมั่นใจ หากมีปัญหาจริงๆ จะเป็นการตบหน้าตัวเองเท่านั้น
จางติ้งหนานเอ่ยว่า “หน่วยสืบสวนและทำเนียบผู้ว่าหนานเจียงกำลังดำเนินการสืบสวน ประธานเจิ้ง บัญชีของบริษัทยาบำรุงหนานเจียง รวมถึงบันทึกการซื้อขายล้วนมีคนกำลังตรวจสอบ หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
เจิ้งหมิงหงพยักหน้าเบาๆ “ผู้ว่าจางดำเนินการตามขั้นตอนได้เลย”
เรื่องนี้ไม่อาจเพิกเฉยการตรวจสอบได้จริงๆ เกี่ยวพันถึงการกบฏของระดับสูง อาจจะถูกลัทธินอกรีตแทรกซึมได้ ต้องระวังเอาไว้
ได้ยินคำพูดของจางติ้งหนาน ฟางผิงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดแบบนี้ยังจะตรวจสอบลงไปสินะ?
งั้นต้องรอนานเท่าไหร่?
ครุ่นคิดแล้วฟางผิงก็เอ่ยว่า “ผู้ว่า ลัทธินอกรีตไม่มีลักษณะพิเศษอะไรเลยเหรอครับ?”
จางติ้งหนานไร้คำจะพูดอยู่บ้าง แต่ยังคงอธิบายว่า “เป็นผู้ฝึกยุทธ์เหมือนกัน หรือเธอคิดว่าพวกเขายังจะประทับตราติดหน้าตัวเองตัวใหญ่ๆ ว่าลัทธินอกรีต?”
คำถามของฟางผิงทำให้บางคนหมดคำพูดจริงๆ
นี่ไม่ใช่ละครหลังข่าว เดิมทีลัทธินอกรีตก็ซ่อนเร้นฐานะของตัวเอง ใครจะโง่แสดงสัญลักษณ์ไว้บนร่างกาย
ฟางผิงได้ฟังก็มองอู๋ชวน อู๋ชวนเอ่ยว่า “แค่รอเท่านั้น จริงหรือไม่จริงต้องมีเบาะแสร่องรอยอยู่แล้ว”
อู๋ชวนไม่รีบ หากจ้าวอวี่เป็นสาวกลัทธินอกรีตจริงๆ ต้องตรวจสอบออกมาได้อยู่แล้ว
กำลังของรัฐบาลแข็งแกร่งกว่าที่ฟางผิงคิดไว้
มีเป้าหมายแน่ชัดแล้ว คนก็จับได้แล้ว ตรวจสอบลงไปต้องมีผลลัพธ์อย่างแน่นอน
ฟางผิงถอนหายใจ เอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “ผู้บังคับการอู๋ นี่สิ้นเปลืองเวลาเกินไป ผมคิดว่าพอจะมีวิธีง่ายๆ อยู่”
อู๋ชวนยิ้มคล้ายไม่ยิ้มมองเขา “ว่ามา”
“หลิวเฮ่อน่าจะมีปัญหา…”
หลิวเฮ่อที่ได้รับบาดเจ็บ ร้อนใจขึ้นมาทันที “ปรมาจารย์ทุกท่านเชื่อผม…”
ยังไม่ทันพูดจบ อู๋ชวนก็เคลื่อนไหวพลังจิตใจกดดันอีกฝ่ายจนไม่อาจพูดได้
“หากประธานจ้าวเป็นสาวกลัทธินอกรีต…ผมบอกว่าหาก ประธานจ้าวคงไม่ถือสาที่ผมจะตั้งสมมติฐานสินะครับ?”
จ้าวอวี่เอ่ยเรียบนิ่ง “ไม่อยู่แล้ว ในเมื่อตอนนี้ฉันเป็นผู้ต้องสงสัย อย่าพูดว่าตั้งสมมุติฐานเลย ถึงจะคุมขังฉันจริงๆ ก็เป็นเรื่องสมควรเช่นกัน”
“ประธานจ้าวคุณธรรมสูงส่ง!”
ฟางผิงเอ่ยประจบ ก่อนจะพูดต่อว่า “หากประธานจ้าวเป็นคนของลัทธินอกรีต งั้นก็มีความเป็นไปได้แค่สองอย่างนี้ อย่างแรกสาวกที่คลั่งความเชื่อจะถูกเลี้ยงดูตั้งแต่เล็ก ตั้งใจให้แฝงตัวไปอยู่ในบริษัทยาบำรุงทำนองนั้น มีความคิดเลื่อมใสต่อลัทธิ ไม่นึกเสียดายที่ปะปนเข้าไปอยู่ในบริษัทยาบำรุง อย่างที่สองคือเข้าร่วมกลางคัน ถูกลัทธินอกรีตล่อลวงซื้อตัวไว้”
ทุกคนพยักหน้า แต่นี่แทบจะไร้ประโยชน์
ฟางผิงเอ่ยว่า “ถ้าเป็นอย่างที่สอง ซื้อตัวคนอย่างประธานจ้าวไม่ง่ายเลยจริงๆ ขั้นหกสูงสุด! แน่นอนว่าเริ่มแรกประธานจ้าวอาจไม่มีความสามารถนี้เสมอไป อาจจะถูกซื้อตัวตั้งแต่ช่วงที่ยังอ่อนแอ ประธานเจิ้ง ประธานจ้าวเคยทะลวงขั้นอย่างก้าวกระโดด มีช่วงที่แปลกๆ ไปบ้างหรือเปล่า? อย่างเช่นทำอะไรเหนือขอบเขตความสามารถ ก้าวหน้าในเส้นทางผู้ฝึกยุทธ์อย่างรวดเร็วอะไรแบบนั้น…”
เจิ้งหมิงหงขมวดคิ้ว ผ่านไปสักพักจึงเอ่ยว่า “น่าจะไม่มี”
“ประธานเจิ้งมั่นใจ?”
เจิ้งหมิงหงแค่นเสียงว่า “จ้าวอวี่เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุด แม้จะในบริษัทยาบำรุงก็ไม่มีเยอะขนาดนั้น ฉันต้องเข้าใจอยู่แล้ว!”
“งั้นก็คงฝึกวิชาเป็นขั้นเป็นตอนไป”
ฟางผิงลูบคาง “ฝึกวิชาตามปกติมาจนถึงขั้นนี้…งั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไรให้พูดถึง ในเมื่อเข้าสู่ลัทธินอกรีตกลางคัน นั่นต้องมีเป้าหมายบางอย่าง ในเมื่อไม่ใช่ช่วงเวลาอื่น…งั้นก็เพื่อทะลวงถึงระดับสูง?”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนที่ถูกผมฆ่าก่อนหน้านี้ เกลียดประธานจ้าวเข้ากระดูกดำ ผมคิดว่าทั้งสองคนคงไม่ได้ขัดแย้งกันธรรมดา อาจเพราะเกี่ยวข้องกับการแก่งแย่งโควตาบ่มเพาะเพื่อถึงระดับสูง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือประธานจ้าวหวังจะทะลวงถึงระดับสูงอย่างมาก ทั้งมีแค่การล่อลวงเพื่อถึงระดับสูง ถึงจะทำให้ยอดฝีมือขั้นหกสูงสุดคนหนึ่งเข้าสู่ลัทธินอกรีตได้”
จ้าวอวี่เอ่ยทุ้มลึกว่า “ไม่มีใครไม่หวังทะลวงถึงขั้นปรมาจารย์หรอก ฉันคาดหวังเหมือนกัน แต่ฉันมีขอบเขตของตัวเอง ประธานฟาง ไม่อาจจะทำการคาดเดาอย่างส่งเดชเพียงเพราะฉันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุดได้หรอกมั้ง”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นแน่นอนอยู่แล้ว นี่ไม่นับเป็นเรื่องอะไร อันที่จริงผมก็หวังจะทะลวงเป็นปรมาจารย์เหมือนกัน”
ฟางผิงเอ่ยต่อว่า “งั้นเริ่มพูดจากความเป็นไปได้อย่างแรกก่อน ประธานจ้าวถูกเลี้ยงดูจากสาวกคลั่งความเชื่อตั้งแต่ยังเด็ก”
“อันที่จริงสาวกคลั่งศาสนาแบบนี้ ตัดสินง่ายที่สุดแล้ว!”
ฟางผิงเอ่ยอย่างเริงร่า “ผมได้ยินว่าสาวกคลั่งศาสนาจะมีความคิดเห็นพ้องกับลัทธินอกรีต ปฏิบัติกับเจ้าสำนักราวกับเป็นศาสดาหรือเทพจริงๆ ยอมปฏิบัติตามอย่างจงรักภักดี”
อู๋ชวนพยักหน้า “มีเรื่องแบบนี้จริงๆ”
“งั้นก็ง่ายแล้ว หากปรมาจารย์ทุกท่านไม่ถือสา ตอนนี้ผมจะด่าศาสดาและเทพเจ้าของพวกลัทธินอกรีตสักหน่อย ปรมาจารย์ทุกท่านปล่อยพลังจิตใจสำรวจความผันผวนของอารมณ์ประธานจ้าวดู ผมคิดว่าหากเป็นสาวกลัทธินอกรีตจริงๆ แม้ผู้ฝึกยุทธ์จะควบคุมอารมณ์เก่งแค่ไหน เผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ ต้องมีความผันผวนเกิดขึ้นบ้างอยู่แล้ว”
เมื่อคำพูดนี้ออกมาทุกคนก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย
พูดตามตรง หลายปีมานี้จับสาวกนอกรีตมาไม่น้อย หากไม่ถูกจับคาหนังคาเขา ในสถานการณ์ที่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยก็จะหาหลักฐานพบระหว่างตรวจสอบอย่างลับๆ น้อยครั้งที่จะใช้วิธีแบบฟางผิง
ก่อนที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยัน คนอย่างจ้าวอวี่ไม่อาจถูกจับได้เหมือนกัน
ครั้งนี้เป็นเพราะหลักฐานคำพูดจากฟางผิง เรื่องราวจึงลุกลามใหญ่โต เวลานี้ถึงได้จับอีกฝ่ายเข้ามาโดยที่ไม่มีการพิสูจน์ได้
อู๋ชวนครุ่นคิดเล็กน้อย วิธีของฟางผิงไร้กฎเกณฑ์อยู่บ้าง…แต่ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์เสมอไป
หน่วยสืบสวนและหน่วยทหาร ก่อนหน้านี้ไม่เคยพิจารณาการไต่สวนด้วยวิธีแบบนี้มาก่อน
บางที…บางทีอาจจะสามารถใช้ได้
“ได้ เธอลองดู”
ฟางผิงได้ฟังก็ไม่เกรงใจอีก อ้าปากด่ากราดออกมาทันที “ลัทธิศักดิ์สิทธิ์กากเดนอะไรนั่นของพวกนายก็แค่อุจจาระ ขยะที่หมาไม่คิดจะหันมองด้วยซ้ำ…”
ฟางผิงอ้าปากก็พ่นคำด่าออกมา ด่าอย่างต่อเนื่องแทบไม่ซ้ำคำ
ด่าพระศาสดาและเทพเจ้าจบแล้วก็ด่าความเชื่อขยะของพวกเขาต่อ
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่มีคนด่ากว่าสิบนาทีต่อหน้าปรมาจารย์ยอดฝีมือเกือบยี่สิบคน
ปรมาจารย์ทั้งหมดปลดปล่อยพลังจิตใจออกมา สำหรับความผันผวนของอารมณ์ทั้งสองคนในห้องโถง
ภายใต้การจับสังเกตของปรมาจารย์เยอะขนาดนี้ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างและระดับกลางเป็นเรื่องยากที่จะเก็บซ่อนการเปลี่ยนแปลงของอารมณ์ตัวเองไว้มิด
บนพื้นนั้นหลิวเฮ่อหน้าดำหน้าแดง
กลับไม่อาจเอ่ยปากพูด
ทุกคนสามารถรับรู้ถึงความโมโห เกลียดชังและเคียดแค้นจากเขาได้…
มาถึงขั้นนี้แล้ว อันที่จริงหลิวเฮ่อก็ยากที่จะปิดบังอีก
อู๋ชวนแทบไม่มอบโอกาสพูดให้เขา โอกาสให้หนียังไม่มีด้วยซ้ำ
รับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ อู๋ชวนก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้ว่าฟังฟางผิงด่าคนจะทำให้เขาระคายหูขึ้นมา แต่ประสิทธิภาพ…ยังคงมีอยู่เหมือนกัน
ผ่านไปสิบกว่านาที ฟางผิงก็ด่าจนเหนื่อยแล้ว
เจิ้งหมิงหงถอนหายใจเบาๆ เอ่ยว่า “จ้าวอวี่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่พิสูจน์ได้แค่ว่าประธานจ้าวไม่ใช่สาวกที่เชื่ออย่างบ้าคลั่งงมงาย บางคนมีความเห็นแก่ตัว เชื่อมั่นแค่ตัวเองเท่านั้น ใครจะสนใจพระศาสดาอะไร แต่ด้วยสาเหตุนี้ก็สามารถตัดความเป็นไปได้ที่ว่าประธานจ้าวอาจเป็นสาวกคลั่งลัทธิที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กออกไปได้แล้ว แต่อย่างที่สอง โอกาสที่เข้าร่วมกลางคันยังไม่ถูกตัดออก”
ฟางผิงพูดต่อว่า “ถ้าเข้าร่วมกลางคัน ประธานจ้าวคงไม่เข้าร่วมในช่วงเวลาที่อ่อนแอ ไม่งั้นคงจะเหลือเบาะแสร่องรอยเอาไว้เยอะ ประธานจ้าวเข้าสู่บริษัทยาบำรุง เพื่อให้ตัวเองพยายามปะปนเข้าไปอยู่ในระดับสูงให้เร็วที่สุด ผมคิดว่าลัทธินอกรีตอาจจะลงทุนให้กับประธานจ้าว ประธานเจิ้ง ประธานจ้าวทำงานที่บริษัทยาบำรุงมากี่ปีแล้วเหรอครับ?”
———————–
……….