ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 420 ขึ้นหลังเสือลงยาก (1)
ตอนที่ 420 ขึ้นหลังเสือลงยาก (1)
……….
ฟางผิงไม่ได้จะยืนยันทันทีว่าจ้าวอวี่เป็นคนของลัทธินอกรีตจริงๆ
สองคนที่เขาเอ่ยถึง คนหนึ่งถูกพิสูจน์แล้ว อีกคนตอนนี้ถูกสงสัยอย่างหนัก
ถึงเวลานี้แล้ว เปิดครึ่งหนึ่งซ่อนครึ่งหนึ่งจะดีที่สุด
ฟางผิงพูดอยู่ยกใหญ่ ก่อนจะไม่พูดต่ออีก
เจิ้งหมิงหงสูดลมหายใจเข้าลึก เอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “เรื่องนี้พวกเราจะร่วมมือกับแต่ละฝ่ายตรวจสอบอย่างละเอียด ถ้าหลักฐานถูกพิสูจน์แล้ว ไม่คิดจะปล่อยไว้อย่างแน่นอน!”
ฟางผิงเอ่ยเสียงเบาว่า “ประธานเจิ้ง ผมแค่พูดความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากว่า…สองคนนี้ล้วนไม่ใช่คนของลัทธินอกรีตล่ะ?”
“รวมถึงพวกก่อนหน้านี้ด้วย!”
ทุกคนขมวดคิ้วขึ้นทันที ฟางผิงเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ร่วมมือกันทำสมมติฐานหรือตั้งข้อสงสัยออกมา ผมคิดว่ามีความจำเป็นอยู่ ถ้าหาก ผมบอกว่าถ้าหากคนพวกนี้ไม่ใช่คนของลัทธินอกรีต บางครั้งลัทธินอกรีตอาจจะหาคนมาเป็นแพะรับบาปแทนได้ง่ายๆ อย่างเพื่อนสนิทมิตรสหายของหลิวเฮ่อ รวมถึงตัวเขาเอง จะเกี่ยวข้องกับสองบริษัทใหญ่อย่างนั้นเหรอ? ประธานเจิ้งอย่ารีบไปเลย…”
เห็นเจิ้งหมิงหงกำลังจะอ้าปาก ฟางผิงก็เอ่ยด้วยยิ้ม “ผมแค่ทำการคาดเดาเท่านั้น คาดเดาในสถานการณ์ที่สมเหตุสมผล รวมถึงครั้งก่อนที่รุ่ยอัน มีผู้อำนวยการฝ่ายรายงานข้อมูลถ้ำใต้ดินที่ชื่ออะไรสักอย่างคนหนึ่งมา ผมคิดว่ามีความจำเป็นต้องตรวจสอบเหมือนกันว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคนของสองบริษัทใหญ่หรือเปล่า เพราะคนๆ นั้นก็มาหาเรื่องผม จะคุมตัวผมไปชำแหละที่เมืองหลวงให้ได้…”
“ฟางผิง!”
เจิ้งหมิงหงเอ่ยเสียงดัง “พูดจาเหลวไหล ใครบอกว่าจะชำแหละเธอกัน? ให้ความร่วมมือตรวจสอบเท่านั้น!”
ฟางผิงเอ่ยเรียบนิ่งว่า “ฝ่ายข้อมูลถ้ำใต้ดินเริ่มแบ่งปันข้อมูลกับบริษัทยาบำรุงตั้งแต่เมื่อไหร่? ตกลงบริษัทยาบำรุงเป็นธุรกิจที่ผลิตยาหรือองค์กรรายงานข้อมูลกัน? ความลับที่เกี่ยวพันกับเรื่องสำคัญแบบนี้ สามารถเผยแพร่ต่อภายนอกได้ตามใจชอบงั้นเหรอครับ? แม้ผมจะไม่ใช่บุคคลสำคัญอะไร แต่ครั้งก่อนเรื่องที่จะตรวจสอบเกี่ยวกับวิชาเก็บงำลมหายใจ! เรื่องนี้กระทั่งประธานเจิ้งก็รู้งั้นเหรอ? งั้นตอนนี้ผมก็สามารถเข้าใจได้ว่าประธานเจิ้งทราบข่าวของฝ่ายรายงานข้อมูลมากกว่าองค์กรอื่นๆ สินะครับ!”
เจิ้งหมิงหงหน้าเปลี่ยนสีไม่หยุด
นี่ถือเป็นความความลับบ้าบออะไร
คนที่รู้เรื่องนี้ไม่ใช่แค่คนสองคน เยอะแยะถมเถไป!
แต่บางเรื่อง รู้ก็รู้ไป ฟางผิงพูดไม่ผิด ความลับของฝ่ายรายงานข้อมูล ตามหลักแล้วเขาไม่ควรที่จะรู้
แต่เจิ้งหมิงหงรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ไม่เชื่อก็ถามปรมาจารย์ที่อยู่ตรงนี้ดูได้ มีใครบ้างไม่รู้กัน?
แม้จะต้องล่วงเกินบางคนไปบ้าง แต่เขาไม่ยอมเป็นแพะรับบาปเรื่องนี้หรอก!
เจิ้งหงหมิงเอ่ยทุ้มลึกว่า “คนที่รู้เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ฉันเพียงคนเดียว! ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูง บางเรื่องพวกเราอยากจะเข้าใจ รัฐบาลไม่อาจจะปิดบังมากมายอยู่แล้ว เรื่องเก็บงำลมหายใจเป็นเรื่องใหญ่…”
ฟางผิงตัดบทสนทนาว่า “ผมแค่อยากถามว่าประธานเจิ้งรู้เรื่องนี้จากไหน? คงไม่มีปัญหาสินะครับ? ใครเป็นคนบอกคุณงั้นเหรอ? ในเมื่อคุณรู้ งั้นก็ต้องมีคนที่เกี่ยวข้องบอกคุณ ผมคิดว่าผมไม่ได้เป็นคนบอกคุณ คนที่รู้เรื่องจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็คงไม่บอกเหมือนกัน ก็หมายความว่าข่าวนั้นหลุดมาจากฝ่ายรายงานข้อมูล ข่าวสารที่คุณได้ไปนั้น เรื่องนี้ควรพูดยังไงดี จะว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะว่าเล็กก็เล็ก ผมนั้นไม่เป็นไร ยังไงทุกคนรู้เรื่องนี้ก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว แต่วันนี้กล้าเผยแพร่เรื่องนี้ วันหน้าจะไม่กล้าเผยแพร่ข้อมูลที่ใหญ่กว่านี้เหรอครับ…ผู้บังคับการอู๋ เรื่องนี้ผมคิดว่าร้ายแรงกว่าสาวกลัทธินอกรีตซะอีก!”
ฟางผิงลอบดีใจ เจิ้งหมิงหงติดกับง่ายจริงๆ
เจิ้งหมิงหงหน้าเปลี่ยนสีซ้ำแล้วซ้ำเล่า อันที่จริงปรมาจารย์คนอื่นๆ ต่างรู้สึกว่าเขาควรจะหุบปากได้แล้ว!
แม่งเหอะ เรื่องนี้มีคนรู้ไม่น้อยจริงๆ
คนอื่นไม่พูดถึง แต่จางติ้งหนานรู้อย่างกระจ่างแจ้ง
แน่นอนว่าจางติ้งหนานพอจะเข้าใจได้ เขารู้ตั้งแต่ที่ถ้ำใต้ดินแล้ว
แต่คนอื่นๆ…อันที่จริงทุกคนต่างมีแหล่งข่าวของตัวเอง บางเรื่องไม่ได้แปลกอะไร แต่ตอนนี้ไม่อาจพูดว่าตัวเองรู้ได้ หากรู้ นั่นต้องอธิบายว่ารู้มาได้ยังไง
คนพวกนี้ต่างรู้มาจากเพื่อนพ้องทั้งนั้น นี่หากเปิดปากจะเป็นการขายเพื่อนตัวเองแล้ว
บางทีรัฐบาลอาจจะไม่อะไรกับระดับสูงพวกนี้
แต่เบื้องบนบางส่วนของฝ่ายรายงานข้อมูล เกรงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้ว
อู๋ชวนเผยสีหน้าจริงจังขึ้นมาเช่นกัน โจวติ้งกั๋วเอ่ยเสียงดังว่า “เจิ้งหมิงหง เรื่องของฝ่ายรายงานข้อมูล นายสามารถเข้ามาแทรกแซงได้ตามใจงั้นเหรอ?”
เจิ้งหมิงหงเอ่ยอย่างอัดอั้น “ผู้บัญชาการโจว ฝ่ายรายงานข้อมูลแบ่งปันข่าวสารบางส่วนให้พวกเราทราบเท่านั้น เป็นการอนุญาติของรัฐบาล!”
โจวติ้งกั๋วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “งั้นก็รวมถึงเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างอื่นด้วย? เรื่องของฟางผิง เกี่ยวกับเรื่องนี้หรือเปล่า?”
ครั้งก่อนเขาก็อยู่ในเหตุการณ์เช่นกัน
คำพูดสุดท้ายที่ฟางผิงบอกกับเซวียป้าและหวังอิ่ง เขาก็ได้ยินเต็มสองรูหู แต่เวลานั้นฟางผิงพูดพึมพำกับตัวเอง พูดตามเรื่องตามราวของเขาไป
แต่ตอนนี้เจิ้งหมิงหงสารภาพออกมาเอง…กฏบางอย่างยังต้องรักษาไว้
นายทำแต่ไม่พูด ทุกคนรู้ดีแก่ใจ นั่นก็ไม่มีอะไร
เรื่องที่ฟางผิงถูกร้องขอให้ร่วมมือตรวจสอบมีคนรู้เยอะจริงๆ
แต่ตามกฎแล้ว นี่ไม่ได้รับอนุญาต
ในเมื่ออยู่ในสังคมมนุษย์ ในเมื่อยังมีรัฐบาลอยู่ มีองค์กรอยู่ งั้นก็ต้องรักษากฎเกณฑ์ นอกจากว่านายจะสามารถเมินเฉยต่อกฏพวกนี้ได้
บางคนทำได้ บางคนทำไม่ได้
อย่างน้อยเจิ้งหมิงหงก็ไม่มีคุณสมบัตินั้น!
อู๋ชวนยังอยู่ห่างจากขั้นนี้หนึ่งก้าว ขาดแค่เล็กน้อยเท่านั้น เขาก็ต้องเคารพกฎเช่นกัน
เจิ้งหมิงหงเงียบไปพักหนึ่ง เอ่ยว่า “เรื่องนี้ฉันจะให้คำตอบกับทุกคน!”
ฟางผิงเอ่ยเบาๆ ว่า “ประธานเจิ้งติดตามการเคลื่อนไหวของผมขนาดนี้ กระทั่งผมจะร่วมมือให้ตรวจสอบหรือชำแหละยังรู้อย่างชัดเจน ผมล่ะกลัวจริงๆ ผมเพิ่งจะขั้นห้า คุณเป็นยอดฝีมือร่างทองขั้นแปด พูดตามตรงผมรู้สึกได้รับความโปรดปราณอย่างคาดไม่ถึงจริงๆ ในเมื่อเข้าใจถึงขนาดนี้…งั้นผมออกจากเซี่ยงไฮ้กลับมาหยางเฉิงก็คงไม่ใช่ความลับอะไรแล้วมั้งครับ เรื่องที่ผมกลับจากเซี่ยงไฮ้ มีคนรู้น้อยมาก กลับมาถึงหยางเฉิงก็อยู่ในบ้านไม่ออกไปไหน หากไม่ถูกจับจ้องเป็นพิเศษ ใครจะรู้ว่าผมกลับมาบ้าน?”
เจิ้งหมิงหรงเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ชื่อเสียงของเธอไม่ได้ธรรมดา อย่าถ่อมตัวไป เธอกลับหยางเฉิงมาฉลองปีใหม่ เป็นเรื่องที่คาดเดายากหรือไง? เธอคิดว่าลัทธินอกรีตอยากลอบโจมตีเธอ เรื่องแค่นี้จะไม่รู้เลย?”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็ถูก พูดแบบนี้น่าจะไม่ใช่ข้อมูลที่ประธานเจิ้งปล่อยออกไปแล้ว…”
“เธอรู้หรือเปล่าว่ากล่าวหาผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแปดอย่างส่งเดช จะมีผลลัพธ์ตามมายังไง?” เจิ้งหมิงหงเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ฉันไม่ได้ข่มขู่ เพียงแค่กำลังแสดงให้เห็นความจริงว่าถ้าทุกคนสามารถปล่อยข่าวลือตามใจชอบได้ ภายใต้ความตื่นกลัวของผู้คน ใครยังจะมีใจฝึกวิชา ต่อสู้ด้วยความห้าวหาญอีก?”
ฟางผิงส่ายหัวว่า “ประธานเจิ้งกังวลเกินไป เรื่องที่ไม่มีหลักฐาน ผมคงไม่พูดมั่วซั่ว ผมสงสัยว่าประธานเจิ้งจะไม่มีหลักฐานเลยหรือไง? เรื่องของประธานจ้าว ตอนนี้พูดยากเหลือเกิน อีกอย่างผมพูดอย่างชัดเจนแล้ว ตั้งแต่ก่อนหน้านี้ที่สิบปรมาจารย์เซี่ยงไฮ้ไปปักกิ่ง ได้อำนาจขยับขยายมา พวกเราสองฝ่ายก็เกิดความขัดแย้งกันแล้ว ผลประโยชน์ทำให้คนหวั่นไหว การที่ผมสงสัยคุณ เป็นการสงสัยเกินเหตุอย่างนั้นเหรอ? ผมยอมรับว่าครั้งนั้นผมพยายามร้องขอให้อธิการช่วงชิงมาจริงๆ ประธานเจิ้ง คุณลองพูดมาสิ คุณรู้ว่าเป็นฝีมือผมหรือเปล่า? ตอนนี้พวกผู้บังคับการอู๋อยู่ที่นี่ทั้งหมด คุณกล้าพูดว่าตัวเองไม่รู้เรื่องหรือเปล่า?”
“ฉันรู้”
“ในเมื่อคุณรู้ งั้นการเคลื่อนไหวของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ ส่งผลกระทบต่อผลประโยชน์ของสองบริษัทใหญ่หรือเปล่า? ตอนนี้หากผมจะสงสัยว่าคุณลงมือกับผม ทำให้ผมตาย หรือผมยังพูดเหลวไหลไปเองอีก? เรื่องนี้มีคนของบริษัทยาบำรุงเข้ามาเกี่ยวข้อง…”
“ประธานฟาง ผมไม่ใช่คนของลัทธินอกรีต…”
จ้าวอวี่ยังไม่ทันพูดจบ ฟางผิงก็หันไปตะคอกว่า “หุบปากไปซะ! ใช่ไม่ใช่ ฉันกระจ่างใจกว่านาย! ถ้านายไม่ใช่คนของลัทธินอกรีต นั่นยิ่งน่ากลัวไปใหญ่ ในเมื่อไม่ใช่ลัทธินอกรีตแทรกซึม นั่นหมายความว่าบริษัทยาบำรุงเมินเฉยต่อบรรทัดฐานไปแล้ว ไม่สนใจกฏเกณฑ์ ลงมือกับฉันตรงๆ! หากนายเป็นของลัทธินอกรีต นั่นหมายความว่าคนส่วนมากของบริษัทยาบำรุงเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าไม่ใช่ เหอะ!”
สีหน้าของจ้าวอวี่ดูไม่ได้ทันที จู่ๆ อู๋ชวนก็โบกมือ เอ่ยเสียงดังว่า “พาพวกเขาออกไป!”
ครู่ต่อมา คนของกองตั้งมั่นก็เข้ามาพาตัวทั้งสองคนออกไป
เจิ้งหมิงหงหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง อู๋ชวนเชื่อว่าจ้าวอวี่มีปัญหาอย่างเห็นได้ชัด
ฟางผิงมองไปทางเจิ้งหมิงหง เอ่ยต่อว่า “ประธานเจิ้ง คุณคิดว่าจ้าวอวี่เป็นคนของลัทธินอกรีตหรือเปล่า?”
เจิ้งหมิงหงเอ่ยอย่างเยียบเย็น “ถ้าฉันคิดแล้วมีประโยชน์ยังไง ตรวจผลลัพธ์ออกมาก็จะรู้เอง!”
เพิ่งถูกวางกับดับมาครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เขาไม่อาจหลงกลอีกแล้ว
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็ถูก งั้นพวกเรารอได้ รอจนตรวจสอบละเอียดแล้ว! หากเรื่องกระจ่างชัด สองบริษัทใหญ่ต้องให้คำอธิบายกับผม! ผมยังไม่เท่าไหร่ ตายก็ไม่เป็นไร แต่นี่ไม่ใช่เรื่องของผมคนเดียว วันนี้มีคนลอบโจมตีผมและครอบครัว ยอดฝีมือคนไหนไม่มีญาติสนิทมิตรสหายบ้าง? วันนี้กล้าฆ่าผม วันหน้าย่อมกล้าลงมือกับคนอื่น! ผมถูกลอบโจมตี ไม่ใช่ว่าไม่มีใครรู้เรื่อง คนรู้กันทั่วทั้งหยางเฉิง ขั้นหกสามคนฝีมือไม่ใช่น้อยๆ อยู่แล้ว เบื้องหลังยังซ่อนขั้นหกสูงสุดสองคนนี้ไว้อีก ขั้นหกห้าคน ขั้นสูงสุดสามคน สร้างสถานการณ์ใหญ่ถึงขนาดนี้!”
“แค่กๆ!”
ประธานอาวุโสของบริษัทอาวุธที่อยู่ด้านข้างกระแอมไอเบาๆ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา”
ล้อกันเล่นแล้ว นึกไม่ถึงว่าฟางผิงจะเหมารวมสองบริษัทใหญ่ แม่งเหอะ เธอมองไม่ออกหรือไงว่าจ้าวอวี่เป็นคนของบริษัทไหน!
ฟางผิงค้อมกายเอ่ยขอโทษ “พูดผิด ขออภัยด้วย แต่สายพานการผลิตอาวุธในมหาวิทยาลัยพวกเราก็มีการขยับขยายเหมือนกัน ประธานซุน ผมเชื่อว่าคุณไม่ใช่คนแบบนั้น แต่ก็ไม่แน่ใจว่าสาวกลัทธินอกรีตบางส่วนจะแฝงตัวอยู่ในบริษัทอาวุธหรือเปล่า…”
“นี่นับเป็นการสงสัยอย่างไร้สาเหตุหรือเปล่า?”
ประธานบริษัทอาวุธถามกลับ ฉันไม่มีจุดอ่อนให้จับ บางเรื่องก็ไม่ใช่ว่าเธอตัดสินใจได้
ฟางผิงโค้งตัวอีกครั้ง “งั้นผมต้องขอโทษประธานซุนด้วย แต่พูดกันว่าสองบริษัทใหญ่ไม่แบ่งแยกกัน ตอนนี้ดูท่าบริษัทยาบำรุงและบริษัทอาวุธจะไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว”