ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 420-2 ขึ้นหลังเสือลงยาก (2)
ตอนที่ 420 ขึ้นหลังเสือลงยาก (2)
……….
ประธานซุนสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย บางครั้งความแข็งแกร่งที่ร่วมต่อสู้ไปพร้อมกันถึงจะเป็นจุดกำเนิดความสามารถของพวกเขา
คำพูดนี้ไม่อาจเอ่ยยอมรับได้
ไม่ใช่หนึ่งเดียวกัน งั้นก็หมายความว่าจะขีดเส้นแบ่งเขตกับบริษัทยาบำรุง
แต่มองเจิ้งหมิงหงแวบหนึ่ง เห็นเขาพยักหน้าเบาๆ ประธานซุนก็แค่นยิ้มว่า “แน่นอนว่าเป็นหนึ่งเดียว บริษัทยาบำรุงและอาวุธล้วนเป็นของรัฐบาล หรือเธอยังคิดจะแยกสองบริษัทใหญ่ออกมาจากรัฐบาลอีก?”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “งั้นก็หมายความว่ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ของพวกเราเป็นหนึ่งเดียวกับสองบริษัทใหญ่เหมือนกัน ในเมื่อเป็นหนึ่งเดียวกัน งั้นผมคิดว่าพวกเราขยายสายพานการผลิตต่อ รวมถึงขายยาบำรุงและอาวุธต่อข้างนอกก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล…”
“คิดโยงมั่วซั่วกันไปหมด หรือเธอตั้งใจก่อกวนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว?” ประธานซุนแค่นยิ้ม “เธอพูดว่าเป็นหนึ่งเดียว ฉันไม่ปฏิเสธ มนุษย์ล้วนเป็นหนึ่งเดียว! แต่แบ่งภาระกันอย่างชัดเจน รับผิดชอบหน้าที่ต่างกันไป ถือเป็นการรักษาระเบียบกฏเกณฑ์เช่นกัน ฟางผิง หรือมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ก็ต้องการแทนที่การทำงานของรัฐบาลเหมือนกัน?”
ฟางผิงเลิกคิ้ว เหล่าซุนต่อกรยากจริงๆ
จับจุดอ่อนบริษัทอาวุธไม่ได้ สนทนาค่อนข้างยาก ฟางผิงจึงไม่ทำต่อแล้ว รีบเปลี่ยนประเด็นทันที “หากจ้าวอวี่มีปัญหา ผมแนะนำให้ตรวจสอบบริษัทยาบำรุงอย่างถึงที่สุด! จ้าวอวี่เป็นประธานสูงสุดของบริษัทย่อยหนานเจียง เรื่องเกี่ยวพันกับภาพรวม จะมองข้ามไม่ได้!”
“นั่นเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล!”
เจิ้งหมิงหงตอบกลับอย่างเยียบเย็น
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ใช่ คุณพูดถูก แต่ผมเป็นผู้เคราะห์ร้าย เป็นคนที่เกิดเรื่อง หรือผมไม่ควรเสนอความคิดเห็นของตัวเอง? ตอนนี้ผมเจ็บหนักยังไม่หายดี คุณเพิ่งช่วยรักษาผม น่าจะรู้ว่าผมคิดจะฟื้นฟูตัวเองต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ อีกอย่างไม่มีสสารไม่แตกดับ ผมอาจไม่สามารถรักษาได้เสมอไป ไม่ใช่แค่ผม รวมถึงหวังจินหยางจากหนานเจียงก็บาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน แม้ฝีมือของพวกเราสองคนจะต่ำต้อย บางทีอาจไม่เพียงพอเป็นตัวแทนทั้งมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ แต่คุณก็พูดแล้ว ผมนับว่าพอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง ควรจะให้คำอธิบายและการชดเชยที่สมเหตุสมผลสักหน่อยหรือเปล่าครับ? ลัทธินอกรีตลอบฆ่าผม ผมแนะนำให้รัฐบาลกวาดล้างให้สิ้นซาก! วันนี้สามารถฆ่าผมต่อหน้าประชาชนได้ งั้นพรุ่งนี้ล่ะ?”
“ผู้ฝึกยุทธ์อย่างพวกเราสามารถวางใจกับรัฐบาล วางใจกับความปลอดภัยของครอบครัวได้จริงๆ งั้นเหรอครับ? พวกเราลงถ้ำใต้ดิน ใครจะมาปกป้องครอบครัวของพวกเรา? ตอนที่ความเชื่อมั่นของพวกเราสั่นคลอน ใครจะมารับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้? ตอนนี้บริษัทยาบำรุงมีเบาะแสของสาวกนอกรีตปรากฏขึ้น งั้นผมอยากจะตรวจสอบอย่างละเอียด ทำไมถึงทำไม่ได้? ครอบครัวของคุณปลอดภัยไม่เป็นอะไร คุณมีฐานะเป็นยอดฝีมือขั้นแปด สามารถมองข้ามเรื่องพวกนี้ได้ แต่ผมล่ะ? หรือผมสมควรตาย? ตรวจสอบให้ถึงที่สุด เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างนั้นเหรอ?”
อู๋ขุยซานที่อยู่ด้านข้างเอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “ฉันคิดว่าควรตรวจสอบ ทั้งยังต้องร่วมมือกับแต่ละฝ่ายตรวจสอบให้กระจ่าง ไม่ใช่ตรวจสอบเองแก้ไขเองอยู่ฝ่ายเดียว!”
เจิ้งหมิงหงใบหน้าบิดเบี้ยวอย่างยิ่ง จุดสำคัญอยู่ที่ตรงนี้แหละ!
ขึ้นชื่อว่าธุรกิจที่มีสินทรัพย์เกินสิบล้านล้าน ตรวจสอบอย่างละเอียด…ไม่พูดถึงเรื่องลัทธินอกรีต ยังไงก็ต้องมีปัญหาแฝงภายในอยู่แล้ว
กิจการเก่าแก่อายุแปดสิบปี ทั้งยังเป็นธุรกิจผูกขาด มีกำไรสูง จะไม่มีปัญหาสักเล็กน้อยเลยได้ยังไง?
ใครก็ไม่กล้าพูดทั้งนั้น!
เจิ้งหมิงหงกดความร้อนใจลงไป เอ่ยอย่างเยียบเย็นว่า “นี่ไม่ใช่อำนาจของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้!”
“ฉันในฐานะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นแปด มีอำนาจที่จะแนะนำเรื่องนี้ ฉันจะส่งจดหมายแนะนำให้รัฐบาลกลาง ทั้งลงนามคนที่เห็นพ้องต้องกันไปด้วย!”
อู๋ขุยซานเอ่ยต่อว่า “ตอนที่นักรบพี่น้องร่วมชาติของพวกเราต่อสู้ฝ่าฝันในแนวหน้า หลั่งเลือดสละชีพ พวกเรามีภาระที่ต้องปกป้องความปลอดภัยของครอบครัวพวกเขา! ลอบฆ่าฟางผิง ในความคิดฉันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ลอบฆ่าครอบครัวของเขา นี่ไม่อาจให้อภัยได้ ทั้งเป็นเรื่องใหญ่ที่มองข้ามไม่ได้! ในเมื่อมีผู้ฝึกยุทธ์ในบริษัทยาบำรุงเกี่ยวข้องภายใน งั้นก็ต้องตรวจสอบให้ถึงที่สุด จะปล่อยไปไม่ได้!”
ฟางผิงที่อยู่ด้านข้างไร้คำจะพูดอยู่บ้าง คำพูดนี้…ทำไมรู้สึกเหมือนว่าฉันสมควรถูกฆ่าแล้วล่ะ?
เอาเถอะ ยังไงเหล่าอู๋ก็ยืนอยู่ข้างเขา เขาจะไม่แก้ต่างละกัน
เจิ้งหมิงหงถอนหายใจเบาๆ มองอู๋ขุยซานด้วยแววตาลึกล้ำ พยักหน้าว่า “ได้ งั้นพวกเราจะให้ความร่วมมือ เคลื่อนไหวไปพร้อมกับรัฐบาล”
“ต้องเปิดเผยกับภายนอก”
“อู๋ขุยซาน นายอย่าทำเกินไป!”
อู๋ขุยซานส่ายหน้าว่า “เพื่อปลอบขวัญทุกคน ประธานเจิ้งน่าจะเข้าใจความหมายของฉัน ตอนนี้ทุกคนต่างกำลังรอคอยผลลัพธ์อยู่ ไม่เปิดเผยกับภายนอก จะปลอบขวัญคนอื่นได้ยังไง?”
เจิ้งหมิงหงเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ได้ เปิดเผยกับภายนอก ฉันกลับอยากเห็นว่านายจะสามารถกำเริบเสิบสาน อยากทำอะไรก็ทำได้หรือเปล่า!”
แม้ว่าตรวจสอบแล้วเกิดปัญหา อู๋ขุยซานจะแบกความรับผิดชอบแบบนี้ไหวหรือไม่?
เปิดเผยสถานการณ์ตามตรงกับภายนอกได้จริงๆ เหรอ?
ฟางผิงกลับทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “ชีวิตยังเกือบรักษาไว้ไม่ได้ ผมยังต้องสนใจเรื่องนี้อีก? อย่างมากก็แค่ตาย ประธานเจิ้งคิดว่าผมจะสละชีวิตตัวเองเพื่อสิ่งที่เรียกว่าภาพรวมจริงๆ? แต่ผมตายแล้ว บางคนก็อย่าหวังว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเลย! ผมต้องกลัวอะไร? ตอนนี้ขั้นหกมาฆ่าผม พรุ่งนี้อาจจะเป็นขั้นเจ็ดขั้นแปดก็ได้ ไม่ให้คำตอบสักอย่างหรือหลักประกันอะไรกับผม ใครจะรู้ว่าพรุ่งนี้หัวผมจะหลุดจากบ่าหรือเปล่า! ช่วงนี้ผมจะให้พวกคณบดีหลี่ตามคุ้มครองผม ผมไม่ตาย งั้นก็ต้องมีผลลัพธ์ที่เปิดเผยอย่างยุติธรรม! ทำลายภาพรวม นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของผม อย่างมากก็แค่ตาย ไม่มีอะไรแตกต่าง อาการบาดเจ็บของผมนี้ ผมแทบจะสงสัยแล้วว่ายังจะมีชีวิตรอถึงวันนั้นได้หรือเปล่า”
“เธอกำลังข่มขู่พวกเรา?”
“เปล่าครับ ผมไม่กล้าหรอก ผู้ที่แข็งแกร่งต่างหากเป็นฝ่ายอยู่รอด ผมเป็นแค่ขั้นห้า จะกล้าข่มขู่ยอดฝีมือขั้นแปดได้ยังไง อย่าพูดว่าข่มขู่คุณเลย ผมยังกลัวว่าเรื่องนี้จะทำให้พวกอาจารย์เข้ามาเกี่ยวข้อง จะเป็นการทำให้พวกเขาติดร่างแหไปด้วยหรือเปล่า? บางทีวันนั้นมาถึง มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ของเราอาจจะพังพินาศกันทั้งหมด นั่นก็เป็นไปได้เหมือนกัน ผมตายไม่เป็นไร หากต้องทำให้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ติดร่างแหไปด้วยจริงๆ งั้นคงทำให้ผมตายอย่างไม่สงบสุขแล้ว”
ระหว่างที่พูด จู่ๆ ฟางผิงก็ยืนขึ้น ค้อมกายให้ปรมาจารย์ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ “อาจารย์ทุกคน พวกคุณไม่จำเป็นต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ ผมจะจัดการด้วยตัวเอง ผมตายไปแค่คนเดียว ดีกว่าลากทุกคนมาพัวพันไปด้วยเป็นไหนๆ ผมตายคนเดียว หากสามารถคลี่คลายปัญหาทั้งหมดได้ งั้นก็สมควรแล้ว”
พูดมาถึงตรงนี้ ฟางผิงก็น้ำตาคลอเบ้า เอ่ยเสียงแหบพร่า “ผมไม่รู้จักประมาณกำลังตนเอง ใช้ความสามารถของขั้นห้าคิดทะเยอทะยานงัดผลประโยชน์ของคนบางส่วนออกมา จะมีจุดจบที่ดีได้ยังไง! ผมน่าจะเดาได้ เข้าใจได้ตั้งนานแล้ว รอผมตาย หวังว่ามหาวิทยาลัยจะยกเลิกนโยบายปฏิรูปก่อนหน้านี้ออกไป การผลิตยาบำรุงและอาวุธลดขนาดไปเหมือนก่อนก่อนหน้านี้ นักศึกษาเข้าสู่มหาวิทยาลัยคงจะซาบซึ้งในการกระทำ หลังจากวันนี้ไปอาจารย์ทุกคนต้องรักษาตัวเองให้ดี จะล้างแค้นเพื่อผมไม่ได้เด็ดขาด!”
พูดจบ ฟางผิงก็ค้อมกายต่ำ เช็ดน้ำตาก่อนจะเอ่ยว่า “เรื่องนี้จบเพียงเท่านี้ ผมจะไม่ซักไซ้ไล่เลียงอีก อาจารย์ทุกคนกลับไปเถอะครับ!”
ฟางผิงพูดจบก็หมุนกายเตรียมเดินออกไปข้างนอก
เวลานี้ทุกคนในห้องโถงเผยสีหน้าแปลกประหลาดอยู่บ้าง
แม้ฟางผิงจะพูดเหมือนสร้างกระแส…แต่ว่า…ไม่ได้ไร้เหตุผลเลยทีเดียว
ช่วงเวลาสั้นๆ ทุกคนต่างปิดปากเงียบ ราวกับกำลังรออะไรอยู่
ผลปรากฏว่ารอไปรอมา รอจนฟางผิงแทบจะก้าวออกไปแล้ว เจิ้งหมิงหงก็ยังไม่เอ่ยปาก
ฟางผิงก่นด่าในใจ เจ้าหมอนี่รู้ว่าเขาอยากได้อะไร แต่เขาไม่ยอมเปิดปากเท่านั้น
ตอนนี้ตัวเองขึ้นหลังเสือลงยากแล้ว!
เจิ้งหมิงหงเห็นแบบนั้นก็แค่นเสียงในลำคอ ฟางผิงต้องการอะไร มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ต้องการอะไร เขารู้อยู่แล้ว
แต่ฟางผิงคิดว่าคว้าจุดอ่อนเล็กน้อยนั้นได้ อยากได้อะไรก็สามารถได้จริงๆ อย่างนั้นเหรอ?
เจิ้งหมิงหงทำได้แค่พูดว่าเขาฝันหวานเกินไป
ฟางผิงจะแกล้งเป็นบ้าขอความเห็นใจก็ดี เปิดเผยเรื่องราวให้กระจ่างชัดก็ช่าง สองบริษัทไม่ยอมเอ่ยปาก เขาจะทำอะไรได้?
เห็นฟางผิงตกสู่สถานการณ์ยากลำบาก จู่ๆ อู๋ขุยซานก็หัวเราะขึ้นมา ส่ายหัวเบาๆ ว่า “ฟางผิง วันนี้จำได้ขึ้นใจแล้วสินะ? บางเรื่องไม่ได้ง่ายๆ ขนาดนั้น ไม่ใช่ว่าเธอจะพูดออกมาไม่กี่คำก็เป็นดั่งที่เธอต้องการแล้ว เธอคิดจะช่วงชิงผลประโยชน์ให้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เล็กน้อย อยากทำเรื่องที่คนรุ่นก่อนบางส่วนไม่สามารถทำได้ เธอยังขาดฝีมือไปอยู่บ้าง ทั้งอ่อนแอไปหน่อย”
จู่ๆ ฟางผิงก็หันกลับมา เผยสีหน้าแปลกออกไป “ความหมายของอธิการคือ…”
“เธอพูดกับพวกเขาตั้งมากมายขนาดนี้ เธอเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าคนหนึ่ง ใครจะมองเห็นความสำคัญ? หลักการไม่ต้องพูดออกมาหรอก”
อู๋ขุยซานแค่นยิ้ม “อีกอย่าง อย่ามองอธิการอย่างฉันเป็นของไร้ประโยชน์ อาศัยโอกาสนี้ อาจารย์จะสอนเธอไปด้วย บางครั้งช่วงเวลาที่ต้องแข็งข้อก็ต้องแข็งข้อสักหน่อย พวกเขาไม่ให้ งั้นก็ช่วงชิงมาซะ!”
“อู๋ขุยซาน!”
เจิ้งหมิงหงเสียงดังขึ้นมาทันที อู๋ขุยซานเป็นบุคคลที่ขึ้นชื่อเรื่องความเหี้ยมโหด ตอนนี้จู่ๆ พูดประโยคแบบนี้ออกมา ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก!
อู๋ขุยซานคิดจะทำอะไร?
ช่วงชิง…น่าขำ ช่วงชิงอะไร?
อู๋ชวนอดมองอู๋ขุยซานไม่ได้ เผยสีหน้าระมัดระวัง เอ่ยทุ้มลึกว่า “อธิการอู๋ เอาแค่พอเหมาะพอควร!”
อู๋ขุยซานหัวเราะขึ้นมา พยักหน้าว่า “แน่อยู่แล้ว แบบนี้ละกัน คนอื่นๆ ออกไปก่อนเถอะ ฉันจะเจรจาตามลำพังกับประธานทั้งสองคนสักหน่อยเป็นยังไง?”
ฟางผิงเผยสีหน้าสับสน เอ่ยทันที “อธิการ ผมขออยู่ด้วย!”
อู๋ขุยซานมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ได้ เธออยากเป็นอธิการมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ งั้นก็อยู่ต่อ คนอื่นๆ รบกวนออกไปก่อน เรื่องนี้จะต้องมีคำตอบออกมาให้ได้”
พวกอู๋ชวนต่างขมวดคิ้วมุ่น ตกลงอู๋ขุยซานคิดจะทำอะไร?
ไม่ใช่แค่พวกเขา พวกเจิ้งหมิงหงทั้งสองคนก็สีหน้าดูไม่ได้ อู๋ขุยซานจะทำอะไร?
เจ้าคนอำมหิตนี้ รับมือยากกว่าฟางผิงซะอีก
อย่ามองว่าช่วงนี้เขาไม่ได้แสดงผลงานอะไร แต่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้หลายปีมานี้ ช่วงที่อธิการเฒ่าเพ่งความสนใจกับกิจธุระภายในมหาวิทยาลัย อู๋ขุยซานก็ต้องจัดการเรื่องข้างนอกเช่นกัน
ต่อให้ฟางผิงเจ้าเล่ห์กลอกกลิ้งแค่ไหน เทียบกับอู๋ขุยซานแล้ว อันที่จริงยังนับว่าอ่อนหัดไปหน่อย
ทั้งความสามารถก็แทบเป็นคนละเรื่อง
———————-
……….