ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 426 เกือบจะไม่ฟื้นฟูแล้ว (1)
ตอนที่ 426 เกือบจะไม่ฟื้นฟูแล้ว (1)
…………….
“เส้นลมปราณ…ตกลงต้องขึ้นรูปใหม่หรือเปล่า?”
ภายในห้องฝึกวิชา ฟางผิงมองเนื้อหนังที่ฟื้นฟูด้วยใบหน้าระมัดระวัง
หากจะสร้างเส้นลมปราณใหม่ ตอนนี้เป็นโอกาสที่ดีที่สุดแล้ว
แต่ก่อนหน้านี้ตาเฒ่าหลี่หลอมร่างทอง ไม่ได้สร้างเส้นลมปราณใหม่
จู่ๆ ฟางผิงก็กัดฟัน ไม่สร้างใหม่แล้ว!
ถึงขั้นนี้ ขึ้นรูปเส้นลมปราณใหม่ไม่ได้มีประโยชน์มาก ตาเฒ่าหลี่สามารถใช้เซลล์เนื้อหนังเคลื่อนย้ายพลังปราณได้ เขาก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน
ครู่ต่อมา ฟางผิงก็ดูดกลืนสสารไม่แตกดับจำนวนมากไปตรงๆ ฟื้นฟูเนื้อหนังใหม่ให้สมบูรณ์
ข้างนอกห้อง พวกปรมาจารย์สีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย อู๋ขุยซานเผยท่าทีเช่นเคย ตาเฒ่าหลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ฟางผิงไม่ได้หลอมเส้นลมปราณใหม่
—
“เนื้อหนังฟื้นฟูแล้ว!”
เวลานี้ฟางผิงไม่เป็นโครงกระดูกอีกต่อไป ฟื้นฟูเป็นสภาพปกติเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
แต่กระดูกทองภายในร่างกายยังคงสั่นสะเทือนเนื้อหนังต่อ เนื้อหนังที่เพิ่งฟื้นฟูยังไม่สามารถรองรับพลังของกระดูกทองได้เหมือนเดิม
ฟางผิงขมวดคิ้วแน่น ดูดกลืนสสารไม่แตกดับสีทองต่อไป อีกด้านหนึ่งก็ดูดซับพลังงานจำนวนมากเข้าร่างกายด้วยเช่นกัน
นอกห้อง อู๋ขุยซานไม่ลังเลอีก ควักขวดคริสตัลใสออกมา เทน้ำแร่แห่งชีวิตเข้าไปทั้งขวด
พวกขั้นแปดแทบจะชะงักลมหายใจ แม่งเหอะ ฟุ่มเฟือยจริงๆ!
มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว
เพื่อให้ฟางผิงฟื้นฟูเนื้อหนัง สิ่งที่แลกเปลี่ยนนี้ทำเอาพวกเขาปวดใจแทนมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้
พวกขั้นแปดที่ไม่ลงมือมีคนเอ่ยขึ้นว่า “อธิการอู๋ มหาวิทยาลัยของคุณให้ความสำคัญกับฟางผิงจริงๆ…”
อู๋ขุนซานเผยรอยยิ้มขึ้นมา “เงินของเขาเอง”
ทุกคนต่างอึ้งไปเล็กน้อย อู๋ขุยซานไม่อธิบายต่อ ไอ้หนูนี่มีเงินจะตาย มหาวิทยาลัยยังติดหนี้เขาก้อนโตด้วยซ้ำ
—
ตอนที่พลังงานของน้ำแร่แห่งชีวิตเข้าไปในห้องฝึกวิชา ฟางผิงก็เริ่มดูดกลืนอย่างรวดเร็ว
น้ำแร่แห่งชีวิตที่อ่อนโยนรวมตัวกับสสารไม่แตกดับ เริ่มทำให้เนื้อหนังเขาเสถียรขึ้นมา
ฟางผิงถอนหายใจเบาๆ กลับไม่กล้าวางใจ เขาคร้านจะดูดกลืนพลังจากหินพลังงานในห้องฝึกวิชาแล้ว สิ้นเปลืองเวลาเกินไป ยังจำเป็นต้องแปรสภาพอีก
ครู่ต่อมา ภายในร่างกายของฟางผิงก็แทบจะมีพลังปราณพรั่งพรูออกมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เริ่มสร้างแต่ละเซลล์ขึ้นมา
ตาเฒ่าหลี่นั้นสิ้นเปลืองเวลาหลายปีเพื่อให้เซลล์สามารถรองรับพลังปราณ รวมถึงให้พลังปราณกระจายตัวอย่างหนาแน่น
เพราะขั้นตอนนี้ พลังปราณจะสิ้นเปลืองอย่างหนักจริงๆ
แต่ฟางผิงกลับไม่สนใจ
ตอนนี้ค่าทรัพย์สินของเขายังมีตั้งหนึ่งหมื่นแปดพันล้าน สามารถแลกเปลี่ยนเป็นปราณสิบแปดล้านแคล เทียบเท่ากับจำนวนปราณทั้งหมดของผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหกสูงสุดหนึ่งพันแปดร้อยคน
ก่อนหน้านี้ขีดจำกัดปราณของตาเฒ่าหลี่ก็อยู่ที่หนึ่งหมื่นแคลเหมือนกัน เขาใช้ปราณหมดเกลี้ยง หากจะเพิ่มกลับมา อย่างน้อยต้องใช้เวลาสองสามวัน ทั้งยังสิ้นเปลืองไม่น้อย
เวลาหนึ่งปีตาเฒ่าหลี่สามารถฟื้นฟูปราณหนึ่งล้านแคลก็ถึงขีดจำกัดแล้ว
แต่ในความเป็นจริงตาเฒ่าหลี่ก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้ สิ้นเปลืองเกินไป เขาฟุ่มเฟือยไม่ไหวเช่นกัน
ช่วงหลายปีนั้นเขาก็เว้นช่วงหลอมร่างกายสามถึงห้าวัน ไม่ได้ทำทุกวันแบบนั้น
จากการสิ้นเปลืองของเขา สุดท้ายจะสิ้นเปลืองปราณประมาณหนึ่งล้านแคล
แต่เขาใช้ระยะเวลายาวนาน ตอนนี้ฟางผิงกลับจะทำขั้นตอนนี้ให้เสร็จสิ้นในคราวเดียว
ตอนที่พลังปราณนับไม่ถ้วนทะลักสู่ร่างกายฟางผิง พลังปราณที่เกินพิกัดก็ทำให้เนื้อหนังพังทลาย
สสารไม่แตกดับและน้ำแร่แห่งชีวิตฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเนื้อหนังอย่างไม่ขาดสาย ให้เวลาที่เหมาะสมกับฟางผิงเพื่อหลอมเซลล์ของเนื้อหนัง
ผ่านไปไม่กี่นาที ในตอนที่ฟางผิงกำลังหลอมเซลล์อยู่นั้น จู่ๆ ก็ขมวดคิ้วแน่น
หลังจากนั้นเนื้อหนังที่ถูกเขาหลอมชิ้นนั้นก็พังทลายทันที
“ไม่ไหว!”
ฟางผิงขมวดคิ้วมุ่น นอกห้องนั้นเฉินอวิ๋นซีเอ่ยอย่างร้อนใจ “คณบดี เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอคะ?”
ตาเฒ่าหลี่กดความกระวนกระวายไว้ในใจ เอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่เป็นไร แค่พลังงานมากเกินไป พื้นฐานร่างกายยังไม่แข็งแกร่งพอทำให้เกิดความเสียหาย ปรับตัวสักหน่อยก็ดีแล้ว”
—
“แบบนี้ไม่ได้!”
ฟางผิงขมวดคิ้วมุ่น จู่ๆ ก็ตระหนักอะไรได้ ครู่ต่อมาฟางผิงก็ทำลายเนื้อหนังทั้งหมดไปตรงๆ
นอกห้องนั้นอู๋ขุยซานเอ่ยเสียงดังทันที “ฟางผิง เธอกำลังทำอะไร!”
ไอ้หนูนี้จะรู้หรือเปล่า เพื่อฟื้นฟูเนื้อหนังของเขาต้องสิ้นเปลืองสสารไม่แตกดับและน้ำแร่แห่งชีวิตไปเท่าไหร่แล้ว
ฟางผิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ผมรู้แล้ว อธิการวางใจเถอะครับ!”
พูดจบ บนกระดูกมือของฟางผิงก็มีเนื้อหนังปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ทั้งครั้งนี้ฟางผิงไม่ใช้พลังปราณในการหลอมอีก แต่จู่ๆ ก็รวบรวมพลังฟ้าดินขึ้นมาจำนวนมาก ห่อหุ้มกระดูกมือเอาไว้โดยตรง
เขานึกถึงเรื่องที่หลู่เฟิ่งโหรวฝืนหลอมรวมปราณและพลังจิตใจในครั้งก่อน
พลังฟ้าดินแข็งแกร่งกว่าพลังปราณ!
ตามหลักแล้วกระดูกทองและร่างทองจะสามารถรองรับพลังฟ้าดินได้
เขาอยากให้เนื้อหนังรองรับความแข็งแกร่งของกระดูกทองได้ งั้นก็ต้องสร้างเนื้อหนังที่เพียงพอจะรองรับพลังฟ้าดิน ก่อนหน้านี้เป็นเนื้อหนังที่รองรับได้แค่พลังปราณยังคงอ่อนแอเกินไป
แต่การกระทำนี้ของฟางผิงทำให้ขั้นแปดที่อยู่ข้างนอกต่างงงตาแตก
ชายชราผิวคล้ำจากประเทศสยามอดเอ่ยไม่ได้ “อธิการอู๋ อัจฉริยะของมหาวิทยาลัยคุณ ตกลงอยู่ขั้นแปดหรือขั้นห้ากันแน่?”
นี่เป็นผู้ฝึยุทธ์ขั้นห้าจริงๆ หรือไง?
ปราณไร้ขีดจำกัด หลอมกระดูกทองสำเร็จ พลังฟ้าดินก็รวบรวมออกมาได้ คุณบอกว่าเขาอยู่ขั้นห้า คุณคิดว่าฉันจะเชื่อ?
อู๋ขุยซานไร้คำจะพูด ยอดฝีมืออีกคนที่อยู่ด้านข้างยิ้มเฝื่อนว่า “ขั้นห้าล่ะมั้ง? ฉันเห็นอวัยวะภายในร่างกายเขายังไม่ได้แปรสภาพเป็นทองเลย พลังงานก็พรั่งพรูออกมาข้างนอก น่าจะยังไม่ได้ปิดผนึกประตูซานเจียว…แต่…”
แต่ขั้นห้าแบบนี้ไม่สอดคล้องกับลักษณะของขั้นห้าในภาพจำอย่างสิ้นเชิง
ยอดฝีมือที่มาจากประเทศจีนทำหน้าตื่นตะลึงเช่นกัน ในนั้นมีขั้นแปดผู้หญิงที่สวมชุดสีดำเอ่ยอย่างอิจฉาว่า “มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ให้กำเนิดปีศาจแล้วจริงๆ จากความก้าวหน้านี้ ครั้งนี้หากหลอมร่างทองแล้ว ปิดผนึกประตูซานเจียว บ่มเพาะพลังจิตใจต่อไป เขาคงสามารถแตะถึงขั้นแปดได้อย่างรวดเร็ว”
อู๋ขุยซานแค่นยิ้มว่า “เขาชิงเถียนของพวกคุณก็มีอัจฉริยะมากมายไม่ใช่หรือไง…”
หญิงในชุดสีดำยิ้มเจื่อนว่า “ขั้นห้าในอายุยี่สิบห้า หากเป็นก่อนหน้านี้เขาชิงเถียนของฉันคงยังภาคภูมิใจ แต่ตอนนี้มหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เฟื่องฟูอย่างถึงที่สุด นักศึกษาขั้นสี่ขั้นห้าโผล่ออกมาไม่หยุดหย่อน นอกจากฟางผิงแล้ว ยังมีหวังจินหยางจากหนานเจียง หลี่หานซงจากปักกิ่ง…รวมถึงเฉินเหวินหลงและฉินเฟิ่งชิงจากมหาวิทยาลัยของคุณ…คนพวกนี้ล้วนยังเป็นวัยรุ่น ปีนี้เฉินเหวินหลงอายุยี่สิบสาม ฉินเฟิ่งชิงน่าจะใกล้เข้าขั้นห้าแล้วเหมือนกัน ยังมี…”
หญิงในชุดดำมองพวกเฉินอวิ๋นซีไปแวบหนึ่ง ยิ่งรู้สึกขมขื่นขึ้นไปอีก เอ่ยเสียงเบาว่า “นักศึกษาพวกนี้ยังอายุน้อยเหมือนกันสินะ?”
“เป็นเพื่อนร่วมชั้นของฟางผิงทั้งหมด”
“งั้นก็เป็นนักศึกษาปีสอง?”
ผู้หญิงคนนั้นแทบจะไร้คำพูด!
คนพวกนี้น่าจะอายุเท่าๆ กับฟางผิง ประมาณยี่สิบปี
เฉินอวิ๋นซี จ้าวเหล่ยต่างถึงขั้นสามสูงสุดแล้ว พวกฟู่ชางติ่งหยางเสี่ยวม่านก็น่าจะเร็วๆ นี้เหมือนกัน
ขั้นสี่อีกไม่ไกล ขั้นห้าต้องใช้เวลาสองปีสินะ?
แม้จะสองปี นั่นก็เพิ่งจะยี่สิบสอง
แต่พอเทียบกับมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้ยังห่างไกลอยู่มาก
หญิงคนนั้นไม่เอ่ยถึงเรื่องเขาชิงเถียนมากมายอีก กลับพูดถึงเรื่องอื่นขึ้นมา เอ่ยว่า “ภิกษุฉานจีจากวัดก่วงเซิ่งเข้าสู่ขั้นหกแล้ว เพิ่งจะอายุสามสิบปีเท่านั้น วัดกวงเซิ่งมีความสามารถลึกล้ำจริงๆ”
“เขาหวังอู่ที่มีปรมาจารย์จ้าวอยู่ หลายปีมานี้ก็มีอัจฉริยะออกมาไม่น้อยเหมือนกัน เทียบกับเขาชิงเถียนของฉันยังแข็งแกร่งกว่ามาก”
“ทางวัดว่านซาน…”
พูดถึงวัดว่านซาน จู่ๆ หญิงชุดดำก็ขมวดคิ้ว “ภิกษุเฒ่าวัดว่านซานคนนั้นได้ยินว่ามีคนพบเจอร่องรอยของเขาแล้ว…การจัดอันดับก็มีชื่อของเขา กลับมาแล้วงั้นเหรอ?”
วัดว่านซานก็คือสำนักของภิกษุเจี้ยเซ่อ ภิกษุขั้นสามที่ฟางผิงไปท้าประลองในตอนแรก
ฟางผิงซ้อมเขาชุดใหญ่ ภายหลังเจ้าหมอนั่นก็ยังซ้อมเย่ฉิงเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้วัดว่านซานไม่มีปรมาจารย์
ผู้ดูแลวัดว่านซานคนก่อนติดอยู่ในถ้ำใต้ดินมาหลายปีแล้ว ไม่มีเบาะแสร่องรอยมาโดยตลอด
ช่วงนี้กลับมีข่าวลือว่าภิกษุเฒ่าที่ติดอยู่ในถ้ำใต้ดินคนนั้นกลับมาแล้ว ทั้งการจัดอันดับขั้นเจ็ดอีกฝ่ายก็อยู่ในนั้นด้วย นี่ทำให้หลายคนตกใจอย่างมาก
อู๋ขุยซานพยักหน้าเบาๆ เอ่ยว่า “กลับมาแล้ว แต่บาดเจ็บไม่น้อย ได้ยินว่านั่งเข้าด่านในถ้ำใต้ดินมาโดยตลอด อยากจะหลอมร่างทอง แต่ไม่สามารถทำสำเร็จ”
“ร่างทอง…”
หญิงชุดดำส่ายหัวเบาๆ ร่างทองไม่ได้สำเร็จอย่างง่ายดายขนาดนั้น
เธอหลอมร่างทองแล้วเหมือนกัน อย่ามองว่าเธอดูเหมือนจะสามสิบสี่สิบปี อันที่จริงอายุเกือบร้อยปีเข้าไปแล้ว
ฟางผิงแค่ไม่รู้เท่านั้น ไม่งั้นเกรงว่าจะลอบนินทาในใจแล้วว่ายายแก่อายุเกือบร้อยปีจะแกล้งทำตัวเป็นหญิงสาวเพื่ออะไร
หญิงในชุดดำไม่พูดถึงวัดว่านซานต่อ ครุ่นคิดแล้วก็กดเสียงว่า “หลู่เจิ้นมีข่าวคราวหรือเปล่า?”
อู๋ขุยซานขมวดคิ้วเล็กน้อย ส่ายหัวเบาๆ
หลู่เจิ้น เป็นพ่อตาของเขา
ตั้งแต่ที่ปรากฏตัวเมื่อสองปีก่อน หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย
ตอนนี้การจัดอันดับยังไม่มีชื่อของหลู่เจิ้น
หลู่เจิ้นที่อยู่ขั้นเจ็ดสูงสุด ฝีมือไม่อ่อนด้อยเลย ตกลงเป็นหรือตาย ตอนนี้ยังยากจะคาดเดา
ภิกษุเฒ่าจากวัดว่านซานสูญหายไปหลายปียังกลับมาได้ หลู่เจิ้นอาจไม่ตายเสมอไป
อู๋ขุยซานไม่ได้พูดมาก หลู่เจิ้นและหญิงชุดดำต่างเป็นบุคคลสำคัญในยุคสมัยหนึ่ง นับเขาเข้าไป ลำดับอาวุโสยังต่ำกว่าขั้นแปดพวกนี้ไปหนึ่งรุ่น
แต่ยอดฝีมือมาถึงขั้นนี้ อายุไม่สำคัญแล้ว ขอแค่ไม่มีความเกี่ยวข้องเป็นศิษย์อาจารย์หรือความสัมพันธ์ทางสายเลือด ฝีมือใกล้เคียงกัน ย่อมคบหาเหมือนเป็นรุ่นเดียวกัน
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุย ภายในห้องฝึกวิชา ฟางผิงก็รวบรวมพลังปราณหนึ่งสาย ไม่นับว่าแข็งแกร่งเกินไป น่าจะประมาณห้าหลุน กำลังบีบอัดเนื้อหนังบนมืออย่างไม่ขาดสาย
อู๋ขุยซานมองแวบหนึ่งก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย กดเสียงว่า “ใช้พลังฟ้าดินหลอมร่างกายอย่างเดียวเกรงว่าจะยากแล้ว!”
พูดจบ อู๋ขุยซานก็หันไปหาหวงจิ่ง “ไปเอาเลือดของสัตว์ปีศาจระดับสูงเข้ามา”
หวงจิ่งไม่ได้ขยับทันที เอ่ยลุ่มลึกว่า “ใช้น้อยไปไม่ได้ผล…”
———————–
…………….