ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 429 เศร้าใจ (1)
ตอนที่ 429 เศร้าใจ (1)
…………….
เขตทางใต้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้
นักศึกษาสองคนที่วิ่งหนีนั้น เห็นได้ชัดว่าประเมินฉินเฟิ่งชิงต่ำไป
พวกเขาคิดว่าฉินเฟิ่งชิงคิดจะไปเยาะเย้ยฟางผิงเท่านั้น…
แต่ในความเป็นจริง ตอนนี้ฟางผิงใบหน้าดำคล้ำจนน่าตกใจ เอ่ยเสียงเบา “อธิการ คุณคิดว่าเขาอยากจะทำอะไร?”
หวงจิ่งถอนหายใจเบาๆ “ฉันเดาว่าเขาอยากรนหาที่ตาย”
ทั้งสองคนที่พูดคุยกัน สัมผัสได้ว่าฉินเฟิ่งชิงมาตั้งนานแล้ว
แต่เจ้าหมอนั่นไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น กลับก้มตัวหาที่ซ่อนอย่างว่องไวอยู่แถวข้างหน้าพวกฟางผิง
ฟางผิงและหวงจิ่งปลดปล่อยพลังจิตใจออกไป ค้นพบว่าเจ้าหมอนั่นเหมือนจะอยากลองอะไรสักอย่าง ฉินเฟิ่งชิงยังกำหมัดทุบในอากาศไปหลายครั้ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มอย่างต่ำช้า
หวงจิ่งกวาดสายตามอง ถอนหายใจว่า “นี่คืออยากจะทุบหัวล้านของเธอ?”
ฟางผิงสีหน้าดูไม่ได้ กัดฟันว่า “เขาโดนของมาหรือเปล่าครับ? ผมปลดปล่อยพลังจิตใจได้ จะสัมผัสถึงเขาไม่ได้หรือไง?”
“ฉันถึงบอกว่าเขาอยากรนหาที่ตาย เขาคงคิดว่าพวกเราน่าจะไม่ปลดปล่อยพลังจิตใจภายในมหาวิทยาลัย…แต่เจ้าเด็กนี้ไร้ประสบการณ์ น่าจะไม่เข้าใจสิ่งที่เรียกว่าสัมผัสไว…”
หวงจิ่งกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่บ้าง ฉินเฟิ่งชิงรนหาที่ตายจริงๆ
ดูจากท่าทีของเขาแล้ว หวงจิ่งแทบจะเดาได้ว่าหลังจากนี้เขาจะทำอะไร จู่ๆ คงจะกระโดดออกมาดึงหมวกของฟางผิง ทุบหัวเขาไปสักหมัด
จากนั้น…บางทีอาจจะพูดว่าจำผิดคน!
เจ้าเด็กนี้คิดว่าฟางผิงพูดง่ายขนาดนั้นจริงๆ หรือไง?
อย่าพูดว่าจำผิดคนเลย ถึงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ฟางผิงก็สามารถซ้อมเจ้าหมอนั่นจนฝังกลบดินได้
หวงจิ่งคร้านจะเตือนฉินเฟิ่งชิงแล้ว ฝีเท้ากลับช้าลงเล็กน้อย เอ่ยว่า “อีกไม่กี่วันข้างหน้าถ้าจะลงถ้ำใต้ดิน อย่าเสี่ยงอันตรายเกินไป ช่วยดูแลเฟิ่งชิงด้วย”
ฟางผิงหันมองเขาแวบหนึ่ง หวงจิ่งพึมพำว่า “เด็กนั่นก็ลำบากไม่น้อย เวลานั้นพ่อของเขามีพรสวรรค์อย่างน่าตกใจ ทะลวงถึงขั้นห้าได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็เสียชีวิตระหว่างสงครามจู่โจมครั้งหนึ่ง ตอนนั้นเขายังเด็ก เถ้ากระดูกของพ่อเขา…ฉันและอาจารย์เอาไปส่งด้วยกัน จนถึงตอนนี้ฉันยังจำได้ เจ้าเด็กนั่นไม่ได้ร้องไห้โวยวาย แม่เขาด่าว่าอาจารย์ทำให้สามีเธอตาย ทำให้พ่อของลูกเธอตาย…เวลานั้นอาจารย์เศร้าใจอย่างมาก ยังเป็นเด็กนั่นที่ตามมาทีหลัง บอกว่าโตแล้วจะเข้ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้เหมือนกัน เธอคงไม่รู้ว่าตอนที่อาจารย์ออกมายิ้มอย่างมีความสุขขนาดไหน”
“ภายหลังเขามามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จริงๆ น่าเสียดายที่พรสวรรค์ด้อยกว่าคนอื่น อันที่จริงเขาฝึกวิชาได้ช้า แต่เจ้าเด็กนี้มีนิสัยดื้อรั้น ปรารถนาที่จะแข็งแกร่ง คนอื่นฝึกไม่กี่ชั่วโมง เขาฝึกได้หลายวัน ไม่มีปราณก็ฝึกเคล็ดวิชาต่อสู้ ฝึกอยู่ทั้งวันทั้งคืน อาจารย์สงสารเขา สอนเคล็ดวิชาต่อสู้ให้เขาหลายอย่าง น่าเสียดายที่เวลานั้นอาจารย์ก็มีอาการบาดเจ็บรุมเร้า ส่วนมากจะใช้เวลาในการรักษาตัว ไม่ได้ให้การดูแลเท่าไหร่ แม้จะเป็นแบบนี้ เจ้าเด็กนี้ก็สำนึกในบุญคุณ รออาจารย์จากไปแล้วก็เฮ้อ…”
หวงจิ่งส่ายหัวเบาๆ สะท้อนใจอยู่บ้าง
หลายปีมานี้พบเจออะไรมามากมาย บางเรื่องแทบจะชินชาไปแล้ว
พ่อของฉินเฟิ่งชิงเป็นนักศึกษารุ่นสุดท้ายที่อธิการเฒ่าสั่งสอนดูแลด้วยตัวเอง พ่อของฉินเฟิ่งชิงอายุยังน้อย แม้จะมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ถึงห้าสิบปีเท่านั้น
แต่สิบกว่าปีก่อน พ่อของเขาก็ตายในสงครามของถ้ำใต้ดินแล้ว
หากพ่อของฉินเฟิ่งชิงยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้คงประสบความสำเร็จไม่ด้อยไปกว่าถังเฟิง ทั้งบางทีอาจจะสูงยิ่งกว่านั้น
ฟางผิงค่อยเข้าใจเรื่องราวของฉินเฟิ่งชิงขึ้นมาบ้าง และยังรู้ว่าพ่อของเขาตายในสงครามถ้ำใต้ดิน แต่ฟางผิงยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดูแล นั่นต้องดูแลอยู่แล้ว คุณวางใจเถอะ!”
‘ดูแล’ สองคำนี้ ฟางผิงพูดเน้นหนักเป็นพิเศษ
เจ้าหมอนี่เหิมเกริมอวดดี แทบจะลืมไปแล้วว่าตัวเองแซ่อะไร ฟางผิงรู้สึกว่ามีความจำเป็นต้องสอนเขาสักหน่อยว่าเป็นคนควรต้องทำตัวยังไง
ส่วนเห็นใจนั้น…ฉินเฟิ่งชิงไม่ต้องการความเห็นใจจากเขาอยู่แล้ว
เจ้าหมอนี้ยิ่งเจ็บเท่าไหร่ก็จะยิ่งแกร่งขึ้นเท่านั้น ไม่มีวันยอมแพ้อยู่แล้ว นี่ก็เป็นข้อได้เปรียบใหญ่อย่างหนึ่งของฉินเฟิ่งชิง หรือจะพูดว่าเขาไม่อยากถูกทิ้งห่างมากเกินไป จะถูกคนซ้อมตายได้
ตอนแรกเขาและหวังจินหยางประมือกันครั้งหนึ่ง บาดเจ็บหนักทั้งสองฝ่าย
ผลปรากฏว่าบางคนเศร้าซึม บางคนผิดหวังเสียใจ มีแค่เจ้าหมอนี้ที่ใช้ฐานะผู้ฝึกยุทธ์หลอมกระดูกหนึ่งครั้ง ไล่ตามอย่างขะมักเขม้นเข้าสู่ขั้นสามได้ภายในเวลาสั้นๆ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสิ่งที่ฉินเฟิ่งชิงต้องการไม่ใช่สิ่งอื่นใด แต่เป็นแรงกดดัน แรงกดดันอย่างมหาศาล
เป็นเรื่องยากที่เจ้าหมอนี้จะถูกบดขยี้ได้
ฟางผิงคิดว่าจำเป็นต้องมอบแรงกดดันให้เขาสักหน่อยแล้ว
ระหว่างที่พูด ทั้งสองคนก็เดินมาถึงจุดที่ฉินเฟิ่งชิงซ่อนตัวอยู่
ฉินเฟิ่งชิงเผยสีหน้าวาดหวัง กำหมัดไว้แน่น ฟางผิงทำเป็นมองไม่เห็น เดินไปข้างหน้าอย่างไม่ได้คิดอะไร
หวงจิ่งอยู่ห่างออกไปหนึ่งก้าว ลอบถอนหายใจ ฉินเฟิ่งชิงหาเรื่องใครไม่หา จะหาเรื่องกับฟางผิงให้ได้ รนหาที่ตายชัดๆ ขวางก็ขวางไม่อยู่แล้ว
ครู่ต่อมาจู่ๆ ฉินเฟิ่งชิงก็กระโดดออกมา หัวเราะว่า “เหล่าเฉิน สวัสดีปีใหม่!”
เจ้าหมอนี้ปากพูดออกไปแบบนั้น มือกลับไวกว่า กระโดดออกมาแล้วก็เหวี่ยงหมัดเตรียมจะทุบหัวฟางผิงทันที
‘ปัง!’
ในเวลานี้ฟางผิงกลับหันหน้ามาอย่างกะทันหัน สะสมพลังไว้ที่หมัดนานแล้ว ชกออกไปในทันที!
เสียงดังสนั่นกระจายออกมา!
ฉินเฟิ่งชิงกระเด็นลอยไปนับสิบเมตร ร่วงลงพื้นด้วยใบหน้างุนงง
ฟางผิงชักหมัดกลับอย่างเกียจค้าน เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ที่แท้ก็นายนี่เอง ฉันยังคิดว่าคนของลัทธินอกรีตแฝงตัวเข้ามาในมหาวิทยาลัยเพื่อลอบโจมตีฉันซะอีก”
ระหว่างที่พูด ฟางผิงก็ถอนหายใจ “เหล่าฉิน ครั้งหน้าอย่าเล่นละครห่วยแตกแบบนี้อีกเลย นายคิดว่าตัวเองเป็นนักแสดงหรือไง? ครั้งนี้ฉันชกนายด้วยหมัด ครั้งหน้าหากใช้ดาบฟันออกไป ไม่ใช่ว่าจะถูกฉันฟันเป็นสองท่อนหรือไง?”
ฉินเฟิ่งชิงไม่สนใจเขา ดึงเสื้อของตัวเองดู รอจนเห็นหน้าอกมีรอยหมัดประทับอยู่จนบุ๋มลงไป หน้าใบก็แข็งทื่อ ก่อนจะโมโหเด้งตัวขึ้นมา “สารเลว นายจะอัดฉันให้ตายหรือไง?”
ที่นี่คือเขตทางใต้ จะมีคนของลัทธินอกรีตได้ยังไง ไอ้เวรนี้ลงมือหนักเกินไปแล้ว!
ฟางผิงขมวดคิ้วทันที “พูดดีๆ ฉันแค่ใช้พลังหนึ่งในสิบเท่านั้น เพราะเห็นว่าเป็นนายถึงจงใจออมมือให้”
“หนึ่งในสิบ?”
ฉินเฟิ่งชิงโมโหแทบตาย ไปหลอกกับผีเถอะ?
หนึ่งในสิบ สามารถทำขั้นสี่สูงสุดอย่างเขากระเด็นตัวลอยไปนับสิบเมตร?
นายคิดว่านายเป็นขั้นหกหรือไง?
ฟางผิงถลึงตาใส่เขา จู่ๆ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่เห็นข่าวช่วงนี้หรือไง?”
“อะไร?”
ฉินเฟิ่งชิงยังคงไม่พอใจอยู่บ้าง จ้องหัวของเขาอย่างไม่ลดละ น่าเสียดาย เมื่อกี้เคาะไม่โดน
“เรื่องที่ฉันฆ่าขั้นหกรวมถึงขั้นหกสูงสุดไม่กี่วันก่อน นายไม่รู้เรื่อง?”
“หา?”
ฉินเฟิ่งชิงงุนงงเป็นอันดับแรก ก่อนจะยิ้มอย่างดูแคลน “ฉันก็เคยฆ่าขั้นหก ขั้นหกนับเป็นอะไรกัน”
ฟางผิงแค่นยิ้ม “งั้นเหรอ? แต่ฉันฆ่าขั้นหกสูงสุดคนนั้นตัวต่อตัว…ใช่สิ การจัดอันดับขั้นห้าเห็นหรือยัง? ฉันอยู่อันดับหนึ่งของขั้นห้าแล้ว”
“แค่กๆ…”
ฉินเฟิ่งชิงไอขึ้นมา ฉันไม่เชื่อ!
“อีกอย่างฉันขั้นห้าสูงสุดแล้ว”
“แค่กๆๆ!”
“ใช่สิ ฉันหลอมกระดูกทองและเข้าสู่กึ่งร่างทองแล้ว คำนวณดูน่าจะไม่ด้อยกว่าขั้นหกสูงสุดทั่วไปเท่าไหร่ หากทุ่มสุดพลัง อีกฝ่ายอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฉันเสมอไป”
“ฮ่าๆ วันนี้อากาศดีจริงๆ…”
ฉินเฟิ่งชิงไม่อยากจะเชื่อ ทั้งรู้สึกว่าไม่ควรเชื่อ นายคิดว่าฉันจะเชื่อนายหรือไง?
ปีก่อนเขาอยู่ขั้นสี่สูงสุด ฟางผิงอยู่ขั้นห้าตอนกลาง นี่เพิ่งจะกี่วันเอง?
ตอนนี้นายบอกฉันว่านายอยู่อันดับหนึ่งของขั้นห้า ทะลวงขั้นห้าสูงสุด สังหารขั้นหกสูงสุด นายคิดว่าฉันจะเชื่อจริงๆ?
ฟางผิงแค่นยิ้ม “อย่าน้อยเนื้อต่ำใจเกินไป ไม่เป็นไร ยังมีอีก หลายวันนี้นายน่าจะไม่ได้ติดตามข่าวเลย เมื่อวานหวังจินหยางเพิ่งทะลวงขั้นห้าตอนกลาง”
“หา?”
“จางอวี่ขั้นสี่สูงสุดแล้ว”
“ฮ่าๆ…”
“เซี่ยเหล่ยใกล้จะขั้นสี่ตอนปลายแล้วเหมือนกัน”
“อ่อ”
“คณบดีถังใกล้จะเข้าสู่ขั้นปรมาจารย์แล้ว”
“เกี่ยวอะไรกับฉัน!”
ฉินเฟิ่งชิงกัดฟันแน่น นายพูดเรื่องพวกนี้เกี่ยวอะไรกับฉันกัน!
ฟางผิงกลับไม่สนใจว่าเขาจะพูดอะไร เอ่ยต่อว่า “กระทั่งเฉินเฮ่าหรานก็ยังเข้าสู่ขั้นสี่สูงสุดแล้ว”
“จะเป็นไปได้ไง!”
ฉินเฟิ่งชิงกัดฟันแทบหัก นายหลอกฉันแน่ๆ!
เฉินเฮ่าหรานจากจิงหนาน เดือนธันวาคมเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นสี่ตอนปลาย จะทะลวงขั้นสี่สูงสุดเร็วขนาดนั้นได้ยังไง หยุดพล่ามได้แล้ว!
นึกถึงตัวเอง เพื่อเข้าสู่ขั้นสี่สูงสุดแล้วยังถูกพวกถ้ำไล่ฆ่าจนแทบไร้ทางหนี
ฟางผิงยิ้มบางๆ “ปู่ของเขาแทบจะขั้นแปดแล้ว เห็นว่าหลานชายตามไม่ทัน หินพลังงานขนาดเท่าหัวคนนั่นก็เอามาให้ใช้ราวกับกินแทนข้าว”
“เป็นไปไม่ได้!”
ฉินเฟิ่งชิงคิดว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง ต่อให้เฉินเย่าถิงมีเงินแค่ไหนก็ไม่อาจสิ้นเปลืองถึงขนาดนี้
ฟางผิงพูดโจมตีว่า “นี่เป็นเรื่องจริงทั้งหมด ไม่เชื่อนายก็ถามอธิการหวงดู ฉินเฟิ่งชิง ยอมรับความจริงเถอะ นายเป็นนักศึกษาปีสี่เพิ่งจะขั้นสี่สูงสุด คิดว่าตัวเองเจ๋งมากแล้วหรือไง?”
“ทางมหาวิทยาลัยปักกิ่งฉันไม่ได้ถาม แต่ได้ยินมาว่าปีก่อนหานซวี่ทะลวงขั้นสี่แล้ว หลิงอีอียัยเตี้ยนั่นก็เข้าสู่ขั้นสี่ตอนปลายเหมือนกัน ยังมีเจ้าหลี่หัวเหล็กตอนนี้น่าจะใกล้ขั้นห้าตอนกลางแล้ว”
“ฉินเฟิ่งชิงเอ๋ยฉินเฟิ่งชิง นายมีจิตใจทะเยอทะยาน ชะตาชีวิตต่ำต้อย ยังไม่เข้าใจอีก นายที่ยังอยู่ในขั้นสี่ตอนปีสี่มีอะไรให้น่าภาคภูมิใจกัน?”
“มหาวิทยาลัยอื่นคงไม่พูดถึงแล้ว อย่างมหาวิทยาลัยเรา เฉินอวิ๋นซี จ้าวเหล่ย ฟู่ชางติ่งที่อยู่ปีสองพวกเขาแทบจะเข้าสู่ขั้นสี่แล้ว เพิ่งจะปีสองเอง! รอถึงปีสาม ไม่แน่ว่าอาจจะขั้นห้าแล้ว…ปีสี่…ช่างเถอะ ไม่อยากทำร้ายจิตใจนายแล้ว”
——————–
…………….