ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 430 ยุคสมัยของผู้ฝึกยุทธ์ (1)
ตอนที่ 430 ยุคสมัยของผู้ฝึกยุทธ์ (1)
…………….
วันที่ 24 กุมภาพันธ์
ผ่านปีใหม่มาสิบเอ็ดวันแล้ว
เวลานี้นักศึกษาที่กลับไปฉลองปีใหม่แทบจะกลับมหาวิทยาลัยกันหมดแล้ว
วันนี้นักศึกษาทุกคนต่างได้รับข้อมูลว่าเช้าของวันที่ยี่สิบห้าจะมีการประชุมใหญ่ของอาจารย์และนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัย
ปีใหม่ผ่านไปแล้ว มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีการเคลื่อนไหวครั้งใหม่เช่นกัน
—
วันที่ 25 กุมภาพันธ์
สนามกีฬาหมายเลขหนึ่ง นักศึกษาและอาจารย์ทั้งหมดมารวมกันที่นั่น
ตอนนี้นักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ รวมด้วยกันแล้วมีทั้งหมดเกือบเจ็ดพันห้าร้อยคน
ในสนามกีฬาแน่นขนัดไปด้วยผู้คน แต่เวลานี้สายตาของใครหลายคนกลับจับจ้องไปยังคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าสุด…หัวล้านบาดตาจริงๆ
ข้างหน้าสนามกีฬา
จางอวี่มองฉินเฟิ่งชิงอยู่เนิ่นนาน อดไม่ไหวจริงๆ กระแอมไอว่า “เหล่าฉิน นี่นาย…”
ฉินเฟิ่งชิงหัวเราะอย่างดูแคลน เอ่ยอย่างเรียบนิ่งว่า “โกนผมเพื่อแสดงความมุ่งมั่น ถ้าทำลายถ้ำใต้ดินไม่ได้ก็จะไม่ไว้ผม!”
“ฉัน…”
จางอวี่แทบไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี!
นายเป็นโรคประสาท?
จางอวี่ทำหน้าหมดคำจะพูด คร้านจะสนใจเจ้าหมอนี้ เสียสติไปแล้ว!
อยู่ดีๆ มาโกนหัวล้าน ดูดีมากหรือไง?
ก่อนหน้านี้ฉินเฟิ่งชิงยังหล่อเหลาไม่น้อย แต่ตอนนี้…แทบจะดูไม่ได้
จางอวี่ไม่อยากสนใจเขา จ้าวเหล่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างกลับมองอย่างเห็นใจอยู่บ้าง เอ่ยเงียบๆ ว่า “ประธานฉิน นายฟังคำแนะนำจากฟางผิงเลยโกนผมสินะ?”
ฉินเฟิ่งชิงแค่นเสียงขึ้นจมูก “จะเป็นไปได้ยังไง!”
จ้าวเหล่ยเห็นใจขึ้นมาอีกครั้ง ถอนหายใจว่า “หัวล้านของเขาไม่ใช่ว่าเขาอยากโกน เป็นเพราะก่อนหน้านี้ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บ สสารไม่แตกดับมีไม่เพียงพอ เขาไร้ทางเลือกถึงเหลือหัวโล้นเกลี้ยง”
“…”
ฉินเฟิ่งชิงร่างแข็งทื่อขึ้นมาทันที ฟู่ชางติ่งที่อยู่ข้างหลังถอนหายใจว่า “ประธานฉิน ครั้งหน้าคิดให้มากกว่านี้หน่อยเถอะ”
ฉินเฟิ่งชิงโมโหปนเขินอาย กัดฟันว่า “ไสหัวไป! ฉันอยากโกนหัวอยู่แล้ว เกี่ยวอะไรกับเขา!”
ทุกคนต่างไม่พูดอะไร พากันมองเขาด้วยความเห็นใจ
โง่อะไรอย่างนี้!
เห็นได้ชัดว่าถูกหลอก โกนหัวจนโล้นเกลี้ยงยังจะปากแข็งอีก
พวกเขาคร้านจะสนใจแล้ว จางอวี่ก็ไม่พูดพร่ำต่อ โจวเหยียนที่เพิ่งกลับมหาวิทยาลัยมองไปรอบๆ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงซับซ้อนอย่างพูดไม่ออกอยู่บ้าง “ประธาน มหาวิทยาลัยเปลี่ยนไปเยอะจริงๆ”
ตั้งแต่จางอวี่ออกจากตำแหน่งประธานสมาคม เธอก็ออกจากมหาวิทยาลัยไปฝึกงานที่บริษัทแห่งหนึ่ง
ก่อนออกไป ความสามารถของเธออยู่ที่ขั้นสามสูงสุด
แต่ครั้งนี้กลับมามหาวิทยาลัย จู่ๆ โจวเหยียนก็พบว่าแทบจะมีการเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมด
ฟางผิงเข้าสู่อันดับหนึ่งของขั้นห้า ความสามารถของคนอื่นก็เพิ่มขึ้นมาก ก่อนหน้านี้ขั้นสี่มีแค่ไม่กี่คน เวลานี้กลับมีอย่างกลาดเกลื่อน รอบๆ ตัวเธอมีผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่กว่าสี่คนแล้ว
ขั้นสามยิ่งพบเจอได้ง่าย นับได้หลายร้อยคน!
ขั้นสองยิ่งไม่ต้องพูดถึง เธอกวาดสายตามอง เหมือนว่านอกจากปีหนึ่งที่น้อยไปหน่อยแล้ว นักศึกษาชั้นปีอื่นๆ แทบจะขั้นสองขึ้นไปทั้งนั้น
มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ไม่เหมือนเดิมแล้วจริงๆ!
นี่เพิ่งห่างเป็นเวลาแค่ครึ่งปีเท่านั้น กลับให้ความรู้สึกเหมือนสรรพสิ่งเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนแปลงไป
จางอวี่เอ่ยเสียงเบา “ครั้งนี้กลับมา อย่าไปอีกเลย อยู่ที่มหาวิทยาลัยเถอะ”
“ประธาน…”
โจวเหยียนเผยแววตาซับซ้อน เอ่ยเสียงแผ่วว่า “ฉันไม่ชอบเขา ฉันยอมรับว่าเขาแข็งแกร่ง ทั้งยังเป็นคนนำทีมมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คว้าตำแหน่งมหาวิทยาลัยชื่อดังอันดับหนึ่งมาได้ แต่ตอนนั้นเขาขับไล่นาย…”
สิ่งที่โจวเหยียนไม่อาจรับได้คือตอนแรกฟางผิงบังคับไล่จางอวี่ลงจากเวที
หลายปีที่ผ่านมานี้ถือเป็นครั้งแรกของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ที่มีการขับไล่ประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ออกจากตำแหน่ง
จนถึงตอนนี้เธอก็ยังจำฉากที่จางอวี่ออกไปจากมหาวิทยาลัยอย่างเงียบๆ ได้อย่างฝังใจ
ทั้งเพราะเป็นแบบนี้หลังจากที่จางอวี่จากไป ไม่นานเธอก็ออกไปจากมหาวิทยาลัย ไม่ได้กลับมาโดยตลอด
จางอวี่ยิ้มบางๆ ว่า “เรื่องผ่านมาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นฉันทำได้ไม่ดีเท่าเขาจริงๆ”
“บางทีเธออาจคิดว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้มาจากผลงานของเขา แต่ความเป็นจริง ไม่มีเขา ตอนนี้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้คงไม่อาจเป็นแบบนี้ได้”
จางอวี่เอ่ยอย่างสะท้อนใจ “เธอไม่เข้าใจ ตัวอย่างที่ดี ผู้นำที่เก่งกาจ แม้ว่าจะไม่ทำอะไรเลยก็นำความเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่มาอยู่ดี เขาเข้าสู่อันดับหนึ่งของขั้นห้า สังหารยอดฝีมือขั้นหกสูงสุด ตอนนี้อาจารย์และนักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยล้วนใช้เขาเป็นตัวอย่าง มองเขาเป็นเป้าหมาย เรื่องนี้ฉันทำไม่ได้”
“ถ้าหากเวลานี้ฉันยังเป็นประธานสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ เป้าหมายที่สูงสุดของนักศึกษามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก็คงเป็นฉัน กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ไม่ได้คิดไปไกลกว่านั้น ไม่ใช่แค่มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ แต่มหาวิทยาลัยอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ตอนนี้ยอดฝีมือของแต่ละมหาวิทยาลัย รวมถึงอาจารย์บางส่วนต่างกำลังไล่ตามอย่างขยันขันแข็ง นอกจากแรงกดดันจากภายนอกแล้ว ยังมีแรงกดดันจากภายใน แรงกดดันประเภทนี้มาจากฟางผิงทั้งนั้น ตอนที่ถูกลูกศิษย์ตัวเองล้ำหน้า ถูกเพื่อนรุ่นเดียวกันทิ้งห่างไว้ข้างหลัง ไม่มีใครยินยอมหรอก! ดังนั้นแม้เขาจะไม่ทำอะไรเลย ไม่สร้างผลงานให้มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ แค่ใช้พลังบดขยี้ อันที่จริงก็เป็นแรงกระตุ้นยิ่งใหญ่ที่ทำให้นักศึกษาและอาจารย์ของมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ก้าวไปข้างหน้าเหมือนกัน”
โจวเหยียนเผยสีหน้าซับซ้อนอย่างเห็นได้ชัด เอ่ยเสียงแผ่วว่า “นายก็ถูกเขากระตุ้นเหมือนกัน?”
“อืม”
จางอวี่หัวเราะเบาๆ “หากไม่เป็นแบบนี้ เกรงว่าตอนนี้ฉันคงจะยังอยู่ในขั้นสี่ตอนปลายไม่ไปไหน เข้าสู่ขั้นสี่สูงสุดเร็วขนาดนี้ไม่ได้หรอก”
ระหว่างที่พูดก็เอ่ยต่อว่า “ตอนแรกฉันคิดว่าก่อนเรียนจบคงไม่มีหวังทะลวงขั้นห้าแล้ว แต่ตอนนี้อาจไม่แน่เสมอไป บางทีฉันอาจจะทะลวงขั้นห้าก่อนเรียนจบก็ได้”
“ประธาน…”
ทั้งสองคนยังกำลังคุยกัน ฉินเฟิ่งชิงที่ใบหน้าดำคล้ำก็เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พูดเยิ่นเย้ออยู่นั่นแหละ แค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามคนเดียว จะอยู่หรือไม่อยู่ มันวิเศษตรงไหน! พวกนายอย่ามาจีบกันต่อหน้าฉันได้หรือเปล่า ศัตรูกำลังรออยู่ข้างหน้า ความรักของชายหญิงน่ารำคาญจะตายไป!”
โจวเหยียนโมโหขึ้นมาทันที เอ่ยอย่างมีโทสะว่า “นายลองพูดเหลวไหลอีกสิ!”
“ทำไม? เธอจะกัดฉัน?” ฉินเฟิ่งชิงไม่คิดใส่ใจ เบ้ปากว่า “ผู้ฝึกยุทธ์หญิงมีแต่พวกปากมาก น่ารำคาญ หุบปากไปดีกว่า!”
“นาย!”
“นายอะไร ลองเรียกนายอีกสิ ฉันจะโกนหัวเธอ!”
โจวเหยียนแทบจะโมโหเจียนตาย จางอวี่ก็มีโทสะเช่นกัน “ฉินเฟิ่งชิง นายอย่าเอาความโกรธจากฟางผิงมาระบายใส่คนอื่นสิ!”
ไอ้เวรนี้ชอบรังแกคนอ่อนแอกลัวคนแข็งแกร่ง ทุกครั้งที่เสียเปรียบจากฟางผิงก็คิดจะเอาคืนจากคนอื่นอยู่ตลอด
ระหว่างที่พูดจางอวี่ก็เอ่ยว่า “ทางที่ดีนายทำตัวสงบเสงี่ยมหน่อยเถอะ คณบดีถังใกล้จะออกจากด่านแล้ว หากออกมา บัญชีที่ยังไม่ได้คิดกับนายก่อนหน้านี้ต้องมาเอาคืนแน่!”
ฉินเฟิ่งชิงใบหน้าดำคล้ำ บ่นอุบอิบออกมา
นายคิดว่าฉันกลัวพวกเขา?
แต่ความสามารถต่ำเกินไปอยู่บ้างจริงๆ ขั้นสี่สูงสุด ก่อนหน้านี้ยังพอจะอวดเบ่งในมหาวิทยาลัยได้ ตอนนี้เหมือนว่าทุกคนจะแข็งแกร่งกว่าเขากันหมด ทั้งยังเป็นศัตรูของฉันอีก จะให้ใช้ชีวิตต่อไปยังไงล่ะ
“ขั้นห้า…ไม่สิ อย่างน้อยต้องขั้นหก!”
ฉินเฟิ่งชิงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ฉันต้องทะลวงด่านติดต่อกัน ขั้นห้าไม่พอแล้ว อย่างน้อยต้องขั้นหกถึงจะมีพลังปกป้องตัวเองได้
โลกนี้อันตรายเกินไป!
ระหว่างที่พวกเขาพูดคุยกัน บนแท่นประธาน ฟางผิงก็เดินออกมา ไม่ได้สวมหมวกปิดบังอะไร กลับไม่ใช่หัวล้านอีกแล้ว
ฉินเฟิ่งชิงตกตะลึงไปเล็กน้อย คนอื่นๆ ต่างกลั้นขำไม่ส่งเสียง จะถูกฉินเฟิ่งชิงกระทืบเอาง่ายๆ
“ผมปลอม?”
ฉินฟิ่งชิงงุนงงอยู่บ้าง ไม่ไกลนั้น เฉินอวิ๋นซีเอ่ยเสียงเบาว่า “ไม่ใช่ผมปลอม ฉันเห็นเมื่อวานเขาไปหาอธิการอู๋ ขอให้อธิการอู๋ช่วยเขาฟื้นฟู”
“หา?”
ไหนบอกว่าถ้ำใต้ดินไม่ถูกทำลาย นายจะไม่ไว้ผมยาวไง?
เฉินอวิ๋นซีไม่สนใจเขาอีก
เมื่อวานเธอเห็นฟางผิงไปหาอู๋ขุยซาน ทั้งยังตามตอแยไม่เลิกราแนวนั้น ถูกเตะออกมาหลายครั้งก็ยังดึงดันเข้าไปไม่หยุดหย่อน
อู๋ขุยซานน่าจะทนเขาไม่ไหว ท้ายที่สุดจึงช่วยฟื้นฟูให้
แต่เรื่องนี้พูดละเอียดเกินไปจะขายหน้าคนอยู่บ้าง เฉินอวิ๋นซีเลยตัดสินใจไม่พูดออกไป
ด้านฉินเฟิ่งชิง เวลานี้ใบหน้าแข็งทื่อเป็นหินไปแล้ว
แม่งเหอะ ไอ้เวรฟางผิง ตอนนี้เขาอยากอัดหมอนั่นให้ตายชะมัด!
—
ฟางผิงที่อยู่บนเวทีไม่สนใจว่าฉินเฟิ่งชิงจะคิดยังไง
กวาดสายตามองรอบหนึ่ง เห็นหัวโล้นสว่างวาบนั่นของฉินเฟิ่งชิง ฟางผิงก็เผยรอยยิ้มพอใจออกมา ทรงผมนี้ของฉินเฟิ่งชิงหล่อจริงๆ
ไม่มองแววตาราวกับศัตรูที่เขาส่งมา ฟางผิงกระแอมไอเบาๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ทุกท่าน นักศึกษาทุกคน ภาคเรียนใหม่เริ่มต้นแล้ว ปีใหม่บรรยากาศใหม่ ขอกล่าวสวัสดีปีใหม่กับทุกคนก่อนละกัน!”
ทักทายเป็นพิธีแล้ว ฟางผิงก็พุ่งสู่ประเด็นหลักทันที “ปัจจุบันอาจารย์และนักศึกษาของเซี่ยงไฮ้มีทั้งหมดเจ็ดพันสี่ร้อยหกสิบคน นักศึกษาหกพันห้าร้อยเจ็ดสิบห้าคน อาจารย์แปดร้อยแปดสิบห้าคน ภาคเรียนใหม่ยังมีอาจารย์อีกสามสิบคนที่ไม่ได้เข้ามา อีกไม่กี่วันเข้าสู่ตำแหน่ง อาจารย์ก็จะเกินเก้าร้อยคนแล้ว”
“เจ็ดพันสี่ร้อยหกสิบคน ขั้นแปดสองคน ขั้นเจ็ดสองคน ขั้นหกสามสิบห้าคน ขั้นห้าสามร้อยคน ขั้นสี่สองร้อยแปดสิบสองคน ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางและระดับสูงในมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มีเกินกว่าหกร้อยคน! แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม รวมถึงอาจารย์มีทั้งหมดหกร้อยกว่าคนเช่นกัน! ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสองเกือบสามพันคน! ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งประมาณสามพันคน ส่วนคนธรรมดา…น่าจะไม่ถึงสามร้อยคน”
ระหว่างที่ฟางผิงพูด ด้านล่างเวที คนที่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์บางส่วนก็รู้สึกอายจนแทบอยากจะมุดแผ่นดินหนีอยู่บ้าง
มหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้ใกล้จะเข้าสู่ยุคสมัยของผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดแล้ว แต่ตอนนี้ยังมีบางส่วนที่ไม่สามารถกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ได้ ทั้งยังครองสัดส่วนเป็นจำนวนน้อยอีก นี่ทำให้พวกเขาอับอายขายหน้าจริงๆ
แต่จนถึงตอนนี้หลายคนเพิ่งจะตระหนักได้ว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้มาถึงขั้นนี้แล้ว
ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางเกินหกร้อยคนไปแล้ว ก่อนหน้านี้ไม่ได้เยอะถึงขนาดนี้ อาจารย์และนักศึกษารวมกันก็แค่สี่ร้อยกว่าคนเท่านั้น
ผ่านมาครึ่งปี นึกไม่ถึงว่าจะมีคนเกือบสองร้อยคนเข้าสู่ระดับกลาง
ฟางผิงไม่ได้สนใจว่าทุกคนจะคิดยังไง ยิ้มแผ่วบางว่า “ที่ฉันพูดเรื่องพวกนี้ไม่ได้จะพิสูจน์ว่ามหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แข็งแกร่งขนาดไหน นอกจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้จะไม่แข็งแกร่งแล้ว ยังอ่อนแออย่างมาก! ยอดฝีมือระดับปรมาจารย์ ตอนนี้มีแค่สี่คน แม้คณบดีถังและคณบดีหลู่จะใกล้ทะลวงด่านแล้ว แต่ถึงจะอย่างนั้นก็แค่หกคนอยู่ดี! หกคน? เยอะหรือเปล่าล่ะ?”
———————
…………….