ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 431 วัยรุ่นสมัยนี้ (1)
ตอนที่ 431 วัยรุ่นสมัยนี้ (1)
…………….
สมาคมผู้ฝึกยุทธ์
ฟางผิงถูกฉินเฟิ่งชิงมองจนรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง เอ่ยอย่างโมโหว่า “ถ้านายยังมองฉันอีก จะชกนายให้ตายคอยดู!”
“นายชดใช้ผมฉันมา!”
ฉินเฟิ่งชิงทำสีหน้าขุ่นเคือง ฉันอุตส่าห์เชื่อนาย!
ฟางผิงเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “ชดใช้อะไร นายโกนผมนายเอง เกี่ยวอะไรกับฉัน? ฉันเอามีดไปโกนหัวนายหรือไง?”
“ก่อนหน้านี้นาย…”
ระหว่างที่ฉินเฟิ่งชิงพูด จู่ๆ ก็เงียบไป เผยสีหน้ารันทด แค่นเสียงในลำคอกลับไม่พูดออกมาอีก
จะพูดอะไรได้?
เขาดึงดันจะโกนผมเอง หรือจะให้พูดว่าถูกฟางผิงหลอก?
ประเด็นอยู่ที่ว่าไม่ใช่แค่เรื่องโกนผม เขาปวดใจที่ไม่เหลือไว้แม้แต่ตอผม
เงียบไปพักหนึ่ง ก่อนฉินเฟิ่งชิงจะเอ่ยอย่างกลัดกลุ้มว่า “อธิการอู๋ยังอยู่ในมหาวิทยาลัยหรือเปล่า?”
“น่าจะอยู่มั้ง”
ฟางผิงชำเลืองมองเขา รู้ว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่ยังคงพูดโจมตีว่า “นายไป อาจจะถูกซ้อมตายก็ได้ ฉันไร้ทางเลือกถึงเป็นแบบนี้ นายอยู่ดีๆ หาเรื่องใส่ตัวเอง ยังจะให้อธิการใช้สสารไม่แตกดับ นายเห็นเขาเป็นพ่อตัวเองหรือไง”
ฉินเฟิ่งชิงหน้าดำเป็นก้นหม้อ แต่ยังคงแค่นเสียงอย่างรวดเร็ว “ช่างเถอะ ฉันขี้เกียจจะหาเรื่องนายแล้วเหมือนกัน อันที่จริงฉันก็ไม่ได้อยากฟื้นฟูเท่าไหร่ ฝึกวิชาได้เร็วขึ้นจริงๆ ลดการสิ้นเปลืองไม่น้อย”
“เห็นไหมล่ะ ฉันไม่ได้หลอกนาย?” ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม พยักหน้าว่า “ลดการสิ้นเปลืองได้หลายแคลก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน ช่วงเวลาสำคัญสามารถรักษาชีวิตได้ เป็นหลักการนี้หรือเปล่า?”
ฉินเฟิ่งชิงเงียบไม่ส่งเสียง เวลานี้หวงจิ่งสาวเท้าเข้ามาแล้ว
เห็นหัวโล้นของฉินเฟิ่งชิง หวงจิ่งก็ถอนหายใจ ไม่รู้ว่าความเป็นพ่อคนกำเริบหรือเปล่าถึงยื่นมือไปลูบหัวล้านของเขา หวงจิ่งถอนหายใจว่า “ครั้งหน้าอย่าโง่แบบนี้อีก”
ฟางผิงเห็นยังขนลุกขนพอง เหล่าหวงอยากลูบหัวเขา พูดตรงๆ ก็ได้ ยังจำเป็นต้องแสร้งเอ่ยปลอบใจด้วยหรือไง
ฉินเฟิ่งชิงซาบซึ้งเป็นอันดับแรก ก่อนหน้าจะเปลี่ยนสี แค่นเสียงในลำคอ!
ตาแก่นิสัยเสีย!
ก่อนหน้านี้ฟางผิงหลอกตัวเอง เขาก็ยืนอยู่ข้างๆ ทำไมไม่เห็นบอกอะไรเลย?
ตอนนี้มาทำตัวเป็นคนดี!
ฉินเฟิ่งชิงสะบัดหัวไม่เปิดโอกาสให้หวงจิ่งลูบต่อไปอีก
หวงจิ่งเสียดายอยู่บ้าง หัวล้านลูบลื่นมือจริงๆ ไม่แปลกใจที่ก่อนหน้านี้หลี่ฉางเซิงลูบหัวฟางผิงไม่ยอมปล่อย
ฟางผิงไม่ชักช้าเช่นกัน เห็นหวงจิ่งมาแล้วจึงคว้าแผนที่ถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ออกมาว่า “ปักหมุดสถานที่ออกมา สถานการณ์หลักๆ อธิบายให้ชัดเจน ตกลงสัตว์ปีศาจอยู่ระดับไหน ฝีมือเป็นยังไง รอบๆ ยังมีสัตว์ปีศาจตัวอื่นหรือเปล่า นายบอกมาให้หมด”
ระหว่างที่พูด ฟางผิงก็เอ่ยอย่างจริงจัง “อย่าบอกข้อมูลมั่วๆ ฉันไม่ได้กลัวอะไร แต่ครั้งนี้อธิการหวงจะไปกับพวกเราด้วย นายทำอธิการตายก็ครุ่นคิดเอาเองเถอะ!”
หวงจิ่งได้ฟังแทบไม่รู้ว่าเป็นความรู้สึกยังไง
สรุปแล้วมีแค่ฉันที่ตาย?
แล้วเธอล่ะ?
ฉินเฟิ่งชิงยังจะคิดยังไงอีก? เขายังตายเลย ฉินเฟิ่งชิงยังจะมีชีวิตรอด?
จากความหมายของคำพูดฟางผิง ฟางผิงและฉินเฟิ่งชิงน่าจะตายไม่ได้ ความเป็นไปได้มากที่สุดน่าจะเป็นเขาที่จบเห่ก่อนใคร
จู่ๆ หวงจิ่งก็ไม่อยากเข้าไปกับพวกเขาแล้ว ถอนหายใจว่า “หรือจะรอให้หลี่ฉางเซิงออกจากด่านมาก่อน”
“อย่าสิครับ”
ฟางผิงเอ่ยทันที “อาจารย์หลี่ยังไม่รู้ว่าจะเข้าด่านถึงเมื่อไหร่ ฉวยโอกาสที่ว่างนี้ดีกว่า พวกเราคงจะปล่อยเวลาไปเฉยๆ ไม่ได้เหมือนกันมั้งครับ”
หวงจิ่งถอนหายใจ ฉันไม่ได้ว่างขนาดนั้นเถอะ?
ฟางผิงเห็นแบบนั้นก็เอ่ยว่า “ครั้งนี้ฆ่าสัตว์ปีศาจเพื่อสร้างอาวุธวิเศษหนึ่งชิ้น อธิการ ถ้าคุณมีอาวุธวิเศษ ความสามารถก็จะเพิ่มขึ้นด้วยสินะครับ? ก่อนหน้านี้การจัดอันดับขั้นเจ็ดทั่วโลก คุณอยู่อันดับที่เจ็ดร้อยยี่สิบห้า ลำดับจะต่ำไปแล้ว คุณดูอธิการเฉินสิ อยู่อันดับสามของทั่วโลก ความแตกต่างนี้…ผมว่าอยู่ที่อาวุธวิเศษชัดๆ”
หวงจิ่งเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “เขาอยู่ขั้นเจ็ดสูงสุด ฉันเพิ่งจะตอนกลาง เหมือนกันได้หรือไง?”
“อธิการ ขั้นเจ็ดตอนกลางกับตอนต้นแบ่งกันยังไงเหรอครับ?”
“พลังจิตใจและการหลอมกะโหลก” ตอนนี้หวงจิ่งไม่เกี่ยงที่จะอธิบายกับเขาให้มากหน่อยเช่นกัน “ขั้นเจ็ด เธอน่าจะรู้ว่าทะลวงด่านยังไง ปิดผนึกประตูซานเจียว หลอมพลังจิตใจและปราณเป็นหนึ่ง พลังจิตใจจับต้องได้ หากพลังจิตใจถึงขั้นนั้นแล้ว ความแข็งแกร่งจะเพิ่มขึ้น เวลานี้หลอมรวมกับพลังปราณ กลายเป็นพลังฟ้าดิน นั่นก็จะยิ่งแข็งแกร่งไปอีก”
ระหว่างที่พูด หวงจิ่งก็มองฟางผิง “พลังฟ้าดินของเธอยังไม่แข็งแกร่งพอ”
“ทำไมเหรอครับ?”
ฟางผิงนิ่งไปเล็กน้อย หวงจิ่งอธิบายว่า “พูดแบบนี้แล้วกัน เธอสามารถใช้พลังฟ้าดินเป็นอาวุธที่แหลมคมชิ้นหนึ่ง อย่างเช่นดาบตั้งโค่วได้…”
“ดาบผิงล่วน”
“ได้ ผิงล่วนก็ผิงล่วน ดาบผิงล่วนในมือเธอ เธอจะสามารถปล่อยพลังได้เท่าไหร่? หากอยู่ในมือของคนธรรมดา จะแสดงพลังได้เท่าไหร่?”
หวงจิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น พลังฟ้าดินที่เธอหลอมตอนนี้ ก็คือพลังฟ้าดินเหมือนกัน ต้นกำเนิดเหมือนกับพวกเรา แต่อานุภาพกลับแตกต่างออกไป เธอถ่ายทอดพลังฟ้าดินในห้องฝึกวิชานั้นทำได้ ต้นกำเนิดพลังงานอยู่ที่นั่นไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ใช้พลังฟ้าดินต่อสู้ หากฉันระเบิดพลังฟ้าดินหนึ่งร้อยหลุน สามารถฆ่าขั้นเจ็ดได้ แต่เธอล่ะ?”
ฟางผิงขมวดคิ้วทันที ครั้งก่อนเขาระเบิดขั้นหกสูงสุดคนนั้นก็ใช้ประมาณหนึ่งร้อยหลุน ผลปรากฏว่าขั้นหกสูงสุดไม่ได้ถูกระเบิดตาย
อย่าพูดถึงขั้นเจ็ดเลย เขาระเบิดถังเฟิงน่าจะไม่ตายเหมือนกัน
หวงจิ่งไม่พูดเรื่องนี้ต่อ เอ่ยว่า “ตอนที่เธอเข้าสู่ขั้นเจ็ด อันที่จริงการฝึกวิชาจะแบ่งเป็นสองขั้นตอน หนึ่งคือฝึกพลังจิตใจ สองคือการหลอมกระดูก พูดแบบนี้เถอะ เพิ่งเข้าสู่ขั้นเจ็ด พวกเราไม่ได้หลอมกะโหลก แต่ตั้งใจฝึกพลังจิตใจโดยเฉพาะ หลังจากหลอมรวมพลังจิตใจและปราณแล้ว พวกเราจะสามารถอาศัยความแข็งแกร่งของปราณมาบ่มเพาะพลังจิตใจ พูดง่ายๆ พลังจิตใจหนึ่งพันเฮิรตซ์เป็นอีกขั้นหนึ่ง หนึ่งพันเฮิรตซ์ถึงสองพันเฮิตรซ์ นั่นคือขั้นเจ็ดตอนต้น สองพันเฮิรตซ์ถึงสามพันเฮิรตซ์คือตอนกลาง ส่วนตอนปลาย พลังจิตใจอยู่ที่สามพันเฮิรตซ์ขึ้นไป ในเวลานี้พวกเราจึงจะเริ่มหลอมกะโหลก อันที่จริงขอแค่เริ่มหลอมกะโหลกก็สามารถถือเป็นขั้นเจ็ดสูงสุดได้แล้ว แต่ว่าบางคนหลอมมาก บางคนหลอมน้อย ความแตกต่างของขั้นเจ็ดสูงสุดก็จะอยู่ที่ตรงนี้แหละ ตอนที่หลอมกะโหลกเสร็จสิ้นทั้งหมด พวกเขาจะก้าวเข้าสู่ขั้นแปด ไขกระดูกหลอมโดยอัตโนมัติ สร้างร่างทองโดยตรงกลายเป็นยอดฝีมือร่างทองอย่างแท้จริง!”
“ขั้นเจ็ดสูงสุดเพิ่งจะหลอมกะโหลก?”
ฟางผิงแปลกใจอยู่บ้าง ลูบคางว่า “ผมเจ๋งจริงๆ!”
หวงจิ่งคร้านจะสนใจเขา เอ่ยว่า “หลี่หานซงจากมหาวิทยาลัยปักกิ่ง หากเข้าสู่ขั้นเจ็ด เขาก็จะสามารถประหยัดขั้นตอนสูงสุดไปได้ ฝึกแค่พลังจิตใจ จากนั้นพลังจิตใจแตะถึงสามพันเฮิรตซ์ จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายอย่างหนึ่ง ชักนำให้กะโหลกฟื้นตัวเข้าสู่ขั้นแปดได้โดยตรง”
“ทำไมถึงต้องทำให้พลังจิตใจแตะถึงขั้นนี้เหรอครับ?”
หวงจิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อันที่จริงพลังจิตใจเป็นตัวจุดชนวนอย่างหนึ่ง ตัวจุดชนวนที่ทำให้ร่างกายมนุษย์เกิดการพัฒนา พลังจิตใจของเธอไม่ถึงขั้นนี้ นั่นคงไม่สามารถเสร็จสิ้นขั้นตอนพัฒนานี้ได้ ไม่สามารถชักนำไขกระดูกให้หลอมโดยธรรมชาติ การหลอมของร่างทอง…”
“แต่ผมสร้างร่างทองแล้ว? อาจารย์หลี่ก็ไม่ต่างกัน…”
หวงจิ่งเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ “อย่าเอากรณีพิเศษมาเป็นตัวอย่าง พวกเธอสองคนต่างมีปัญหา รู้ไว้ซะว่าคนอื่นไม่สามารถทำแบบนี้ได้…”
“อ่อ”
หวงจิ่งเอ่ยต่อ “ดังนั้นหลังจากเธอปิดผนึกประตูซานเจียว จะเข้าสู่ขั้นเจ็ดหรือกลายเป็นขั้นแปดที่ผิดปกติ ตอนนี้ยังพูดได้ยาก”
“ขั้นแปดที่ผิดปกติ?”
ฟางผิงทำหน้าหมดคำพูด หวงจิ่งเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต่างจากหลี่ฉางเซิงอะไรเทือกนั้น แต่เธอน่าจะเข้าใกล้ความจริงมากกว่าเขา หากฉันเดาไม่ผิด ไขกระดูกที่กะโหลกของเธอยังไม่ได้หลอม…”
“เรื่องนี้คุณก็รู้?”
“เหลวไหล หากหลอมจริงๆ เธอคงไม่เป็นเหมือนตอนนี้หรอก…” หวงจิ่งครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยว่า “การชักนำของพลังจิตใจ อันที่จริงก็คือชักนำให้ไขกระดูกกะโหลกฟื้นตัว ทำให้ไขกระดูกจุดอื่นเคลื่อนไหว เรื่องนี้อธิบายยาก เธอถึงขั้นนั้นก็จะเข้าใจเอง หากพลังจิตใจเธอไม่ถึงสามพันเฮิรตซ์ น่าจะไม่สามารถชักนำได้ นี่อาจจะเกี่ยวข้องกับแกนสมองด้วย พลังของแกนสมองอ่อนแอเกินไป”
ฟางผิงเอ่ยอย่างลุ่มลึก “ก็หมายความว่าพลังจิตใจของผมไม่แข็งแกร่ง ไขกระดูกของกะโหลกยังไม่ถึงขั้นถูกหลอม หรือจะพูดว่าขาดแคลนการชักนำ ทำได้เพียงเป็นขั้นแปดปลอมๆ?”
หวงจิ่งพยักหน้าว่า “เหมือนหลี่ฉางเซิง พลังจิตใจของเขาอย่าพูดว่าสามพันเฮิรตซ์เลย หนึ่งพันเฮิรตซ์ยังไม่ถึงด้วยซ้ำ ดังนั้นเขาแทบนับเป็นขั้นแปดไม่ได้ แต่หลังจากหลอมปราณและจิตใจ พลังจิตใจจะเพิ่มเร็วอย่างมาก พลังปราณของเขาแข็งแกร่งเกินกว่าสามหมื่นแคล สถานการณ์แบบนี้ ความเร็วในการบ่มเพาะพลังจิตใจจะเร็วกว่าขั้นหกสูงสุดทั่วไปหลายสิบเท่า ดังนั้นอีกไม่นานเขาก็จะทำถึงขั้นพลังจิตใจแตะถึงหนึ่งพันเฮิรตซ์ ส่วนจะก้าวเข้าสู่ขั้นแปดอย่างแท้จริงเมื่อไหร่ ต้องรอดูสถานการณ์อีกที”
——————–