ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 433 ออกเดินทาง (1)
ตอนที่ 433 ออกเดินทาง (1)
…………….
เมืองความหวัง
ฟางผิงและฉินเฟิ่งชิงราวกับเป็นอันธพาล เดินไปที่ไหน คนที่นั่นก็แทบจะหายเกลี้ยง
ฟางผิงไม่สนใจ เดินไปยิ้มไปว่า “จุดที่พวกเราต้องไป ยังต้องเดินไปทางตะวันออกห้าหกร้อยลี้ เกือบถึงป่าราชันเจี่ยวแล้ว จะออกเดินทางวันนี้หรือว่ารอก่อนดี?”
ฉินเฟิ่งชิงอยากจะพูดอะไรสักอย่าง จู่ๆ กลับตระหนักถึงความผิดปกติ เอ่ยอย่างระแวดระวังว่า “นายรู้ได้ยังไง? เหล่าหวงจะนิสัยเสียเกินไปแล้ว พอกลับไปก็บอกนายเลยหรือไง?”
เขายังไม่ได้บอกสถานที่หลักๆ กับฟางผิง แต่บอกหวงจิ่งไปแล้ว
หวงจิ่งไม่ได้มากับพวกเขา คงไม่อาจให้เหล่าหวงวิ่งสะเปะสะปะไปทั่วได้อยู่แล้ว
แต่ฟางผิงรู้ได้ยังไง?
ฟางผิงหัวเราะอย่างดูแคลน คร้านจะรับบทสนทนา ก่อนหน้านี้ฉันก็รู้ตั้งนานแล้วเถอะ
หากไม่ใช่ว่าหาสถานที่หลักไม่ได้ รวมทั้งเจ้าหมอนี่จะตามมาให้ได้ ฟางผิงแทบไม่คิดจะพาเขามาด้วยซ้ำ
รวมกับฉินเฟิ่งชิงเคยพูดถึงสภาพแวดล้อมรอบๆ ฟางผิงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ป่าร้อยอสูรต้องไปทางตะวันออกแปดร้อยกว่าลี้ แต่ระหว่างทางจากป่าร้อยอสูรไปถึงเมืองความหวัง ยังมีสถานที่อันตรายที่ค่อนข้างปลอดภัยแห่งหนึ่ง…เขาสุนัขเม่น สาเหตุที่เรียกว่าเขาสุนัขเม่นเพราะว่ามีคนเจอสัตว์ประหลาดคล้ายฉงฉีที่มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ซานไห่[1]บนเขาแห่งนี้ รูปร่างคล้ายวัว มีขนเหมือนเม่น เสียงเห่าหอนเหมือนสุนัข แต่ฉงฉีที่บันทึกในคัมภีร์ซานไห่มีปีกหนึ่งคู่ ส่วนสัตว์ปีศาจที่พบบนเขาสุนัขเม่นตัวนั้นไม่มีปีก ดังนั้นจึงเรียกว่าสุนัขเม่น”
ระหว่างที่ฟางผิงพูดก็ลูบคางว่า “จะว่าไปแล้ว คัมภีร์ซานไห่อาจจะไม่ใช่เรื่องเหลวไหลเสมอไป เจี่ยวที่อยู่ในป่าราชันเจี่ยวก่อนหน้านี้ก็เหมือนจะมีส่วนคล้ายกับปีศาจเจี่ยวที่บันทึกไว้ในนั้นเช่นกัน ไม่แปลกใจที่ฝั่งพวกเราจะเรียกว่าเจี่ยว”
ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำใต้ดินเรียกเจี่ยวว่าปีศาจเขาทอง
แต่ไม่ว่าจะเรียกยังไง นั่นก็เป็นเรื่องพวกเขา เจี่ยวตัวนั้นเกรงว่าจะไม่สนใจหรอกว่าจะเรียกอะไร กินได้ก็เพียงพอแล้ว
ฟางผิงพูดไปก็พึมพำเบาๆ “ก่อนหน้านี้ฉันยังไม่ได้ครุ่นคิดอะไรมากมาย ตอนนี้มาคิดดู คัมภีร์ซานไห่ยังมีพวกสัตว์ปีศาจและสัตว์พาหนะในตำนาน มนุษย์เป็นคนคิดจินตนาการออกมาหรือว่าเคยเจอมาก่อนจริงๆ กันแน่? ฉันเคยได้ยินมาก่อน ยอดฝีมือขั้นเก้าบางส่วนมีสัตว์ปีศาจเป็นพาหนะ ยอดฝีมือสมัยนี้ถ่อมตัวกันมาก มีสัตว์พาหนะปกติก็จะเลี้ยงไว้ในถ้ำใต้ดินเหมือนกัน แต่ยอดฝีมือสมัยก่อนอาจไม่เป็นแบบนั้นเสมอไป หากเลี้ยงสัตว์พาหนะไว้ แทบจะขี่ออกมาโอ้อวดเป็นเรื่องปกติ งั้นพูดแบบนี้…”
ยิ่งพูดฟางผิงก็ยิ่งรู้สึกว่าตำนานเรื่องเล่าของประเทศจีน มีความลับมากมายซ่อนเร้นอยู่ภายในจริงๆ ผู้ฝึกยุทธ์สมัยโบราณและถ้ำใต้ดินเคยสมาคมกันหรือเปล่า?
สัตว์เทพ สัตว์ประหลาดในตำนานพวกนั้น ตกลงออกมาจากถ้ำใต้ดินหรือกำเนิดบนพื้นโลกอยู่แล้ว?
ถ้าหากมี ทำไมภายหลังถึงไม่มีร่องรอยหลงเหลืออยู่เลย?
พันปีก่อนตกลงมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ของผู้ฝึกยุทธ์หรือเปล่า?
ถ้ามี ทำไมในบันทึกจนถึงตอนนี้ ระหว่างกลางยังมีช่วงรอยต่อขนาดใหญ่ที่ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ตกสู่ในช่วงตกต่ำล่ะ?
ฟางผิงจำได้ว่าในคลาสเรียนอาจารย์เคยพูดว่าก่อนที่จะเกิดมหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หรือนานกว่านั้นไปอีก ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามก็เพียงพอที่จะเปิดสำนัก เรียกตัวเองเป็นประมุขได้แล้ว
มีช่วงเวลาหนึ่งที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางแทบจะสามารถเป็นหัวหน้าใหญ่ในแวดวงสำนักได้แล้ว
“บางทีสำนักที่สืบทอดมาหลายพันปีพวกนั้นอาจจะมีความลับบางอย่างซ่อนอยู่จริงๆ ก็ได้”
ฟางผิงพึมพำต่อ แทบจะลืมแล้วว่าพูดอะไรกับฉินเฟิ่งชิงไป
ฉินเฟิ่งชิงกลับสีหน้าเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก!
เหล่าหวงต้องบอกแน่ๆ!
ใช่แล้ว แหล่งแร่เล็กๆ ที่เขาค้นพบนั้นอยู่ใกล้ๆ กับเขาสุนัขเม่น
แน่นอนว่าเขาสุนัขเม่นค่อนข้างกว้าง ขนาดพอๆ กับเมืองเซี่ยงไฮ้
สถานที่ใหญ่ขนาดนั้น อยากหาแหล่งแร่เล็กๆ แม้จะเป็นยอดฝีมือขั้นเจ็ดขั้นแปด ใช้พลังจิตใจเสาะหาก็ต้องใช้เวลาหลายวันอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้นในถ้ำใต้ดิน ยอดฝีมือทั่วไปไม่กล้าจะใช้พลังจิตใจค้นหาอย่างส่งเดช
“เหล่าหวงไม่ใช่คนดีอะไรจริงๆ!”
ฉินเฟิ่งชิงลอบด่าอยู่ในใจ นี่เป็นความลับของเขา อย่างน้อยก็เป็นความลับกับฟางผิง
ฟางผิงเจ้าคนใจแคบนี้มีความคิดจะทิ้งเขา เขาก็รู้เหมือนกัน
ในเมื่อไม่มีประโยชน์ ทำไมยังต้องพาเขาไป?
เขาพูดกับเหล่าหวงแล้วว่าไม่อนุญาตให้บอกฟางผิง เขาจะพาฟางผิงไป อย่างน้อยก็เป็นเพื่อนร่วมทาง แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นในการคงอยู่ของเขา พิสูจน์คุณค่าของเขา
ตอนนี้ยิ่งแล้วใหญ่ เหล่าหวงขายเขาซะแล้ว!
“ตาเฒ่ายังมีหน้าบอกว่าตัวเองเป็นรุ่นพี่ของอาจารย์ฉัน ไม่น่าเชื่อถือสักนิด!”
ฉินเฟิ่งชิงโมโหแทบตาย จ้องมองฟางผิงอย่างไม่ลดละ ไอ้เวรนี้คงไม่ทิ้งเขาวิ่งไปคนเดียวหรอกนะ?
ฟางผิงใช้หางตาแลมองเขา แค่นหัวเราะว่า “มองอะไร ฉันแค่เดา นายคิดว่าเรื่องแค่นี้ ฉันยังจำเป็นต้องไปถามอธิการหวง?”
ฉินเฟิ่งชิงทำหน้าไม่เชื่ออย่างยิ่ง
“นายบอกฉันเอง ลืมไปแล้วหรือไง?”
“ฉันเคยบอกนายเมื่อไหร่?”
“นายลืมจริงๆ ด้วย ครั้งก่อนบอกว่าจะไปขุดแร่ด้วยกันไง นายเป็นคนบอกฉันเอง?”
ฉินเฟิ่งชิงหวนคิดเล็กน้อย ผ่านไปค่อนวันค่อยเอ่ยอย่างไม่มั่นใจว่า “ฉันพูดงั้นเหรอ?”
ครั้งก่อนเขาบอกฟางผิงไป?
ไม่ใช่มั้ง!
เขาไม่ใช่คนโง่สักหน่อย จะบอกฟางผิงได้ยังไง เรื่องแบบนี้เขายังเก็บเป็นความลับกับตัวเองแทบไม่ทันด้วยซ้ำ
ฟางผิงคร้านจะโจมตีเขาแล้ว เดินไปสักพักก็หันมองพวกเฉินอวิ๋นซี “พวกนายไปรายงานตัวกับหน่วยทหารเถอะ ฟังแผนจากหน่วยทหารแล้วก็เคลื่อนไหวกันเอง”
นักศึกษามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้เข้าถ้ำใต้ดิน ไม่ใช่ว่าอยากไปไหนก็ไปได้ หน่วยทหารจะวางแผนจัดการให้บางส่วน
แต่ไม่ไปก็ไม่เป็นไร ตัวเองอยากตระเวนไปทั่ว ไม่กลัวตายก็ได้เหมือนกัน
ไปให้หน่วยทหารจัดสรรหน้าที่ให้ จะปลอดภัยกว่าเท่านั้น
ได้ฟังเขาพูดแบบนี้ เหลียงเฟิงหวาพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยกำชับว่า “ระวังตัวด้วย!”
“เข้าใจแล้ว”
เฉินอวิ๋นซีเห็นว่าจะแยกกันแล้ว จู่ๆ ก็ถอดสร้อยคอเส้นหนึ่งยัดใส่มือฟางผิง ก่อนจะหมุนตัววิ่งไปทันที
ฟางผิงตะลึงไปเล็กน้อย ตะโกนตามหลังว่า “อวิ๋นซี เธอเอามาให้ฉันทำไม!”
“กลัวนายไม่มีเงินใช้”
ฉินเฟิ่งชิงเผยสีหน้าดูแคลน หัวเราะว่า “กลัวนายจะหิว ให้สร้อยทองเส้นหนึ่ง อาจจะเอาไปแลกอาหารในถ้ำใต้ดินได้หนึ่งมื้อล่ะมั้ง”
ฟางผิงถลึงตาใส่เขา เห็นเฉินอวิ๋นซีวิ่งไปไม่เห็นเงาแล้ว ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปหาเหลียงเฟิงหวาว่า “รุ่นพี่ คืนให้เธอแทนผมที”
“รุ่นน้องฟาง นี่…”
เหลียงเฟิงหวาลำบากใจอยู่บ้าง กดเสียงว่า “เป็นความตั้งใจของรุ่นน้องเฉิน นายรับไว้ก่อนเถอะ เธอจะได้ไม่กังวลใจ…”
ฟางผิงส่ายหัว เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “นี่ไม่ใช่สร้อยคอธรรมดา”
“หืม?”
เหลียงเฟิงหวาอึ้งไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจอยู่บ้าง ฟางผิงชี้ไปที่จี้ของสร้อยคอ ขมวดคิ้วว่า “กลิ่นอายพลังชีวิตเข้มข้นอย่างมาก อาจจะเป็นของจำพวกยารักษาชีวิตหรือผลไม้พลังงาน ผมไม่ได้ใช้หรอก ปู่เธอน่าจะมอบให้เธอ ช่วยคืนเธอแทนผมที”
เหลียงเฟิงหวาเข้าใจทันที ฉินเฟิ่งชิงที่อยู่ด้านข้างกลับตาลุกวาว กลืนน้ำลายอึกใหญ่ หวั่นไหวอยู่บ้าง
ของที่รักษาชีวิต?
ฉันขาดแคลนสิ่งนี้แหละ!
แต่เห็นฟางผิงวางมือที่ดาบผิงล่วน ราวกับว่าถ้าเขากล้าแตะต้องจะฟันเขาให้ตายทันที ฉินเฟิ่งชิงจึงทำได้แค่มองเหลียงเฟิงหวารับสร้อยกลับไป
“สิ้นเปลืองจริงๆ!”
“เฮ้อ ผู้หญิงแบบนี้อันที่จริงฉันชอบไม่น้อย”
“อ่อนโยนใส่ใจ ประเด็นอยู่ที่ยังมีเงิน…”
ฉินเฟิ่งชิงพึมพำยกใหญ่ ก่อนจะหันไปมองโจวฉีเยวี่ยที่อยู่ข้างหลังแวบหนึ่ง จู่ๆ ก็ตะโกนว่า “แม่เสือร้าย บ้านเธอมีเงินหรือเปล่า?”
เพื่อพัฒนาความสามารถ แลกผลประโยชน์โดยไม่สนวิธีการก็ไม่เป็นไร แค่เสียเปรียบนิดหน่อยก็เท่านั้น
โจวฉีเยวี่ยที่กำลังเล่าการกระทำเลวทรามของฉินเฟิ่งชิงให้พวกรุ่นน้องฟัง สีหน้าแทบจะดูไม่ได้
เจ้าหมอนี่เรียกเธอว่าอะไรนะ?
เธอยังไม่ทันตอบ ฉินเฟิ่งชิงก็ถอนหายใจก่อน “ดูท่าแล้วไม่เหมือนคนมีเงิน ช่างเถอะ ไม่ถามดีกว่า”
“นาย!”
“ไปล่ะ จำไว้ว่าอย่าวิ่งไปทางตะวันออก ครั้งนี้ฉันจะไปป่าร้อยอสูรทางตะวันออก หลอกล่อสัตว์ปีศาจระดับสูงสักหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะออกมาเป็นสิบๆ ตัว พวกเธออย่ารนหาที่ตายล่ะ!”
ทิ้งคำพูดนี้แล้ว ฉินเฟิ่งชิงก็วิ่งไปทันที
เดิมทีโจวฉีเยวี่ยยังอยากด่าสักหน่อย พอได้ฟังก็นิ่งไปเล็กน้อย
เจ้าหัวโล้นนี้พูดเล่นหรือจริงจัง?
ระหว่างที่โจวฉีเยวี่ยตกอยู่ในภวังค์ ฟางผิงก็วิ่งตามขึ้นไปเช่นกัน
ไม่นานเงาของทั้งสองคนก็หายวับไปจากประตูทางเหนือ
ครู่ต่อมาภายในเมืองความหวังก็มีข่าวแพร่สะพัด
ฉินเฟิ่งชิงและฟางผิงตัวหายนะพวกนี้ไปป่าร้อยอสูรแล้ว!
—
ฝ่ายสั่งการเมืองความหวัง
ตอนที่สวี่โม่ฟู่ได้รับข่าวแทบจะนิ่งไปพักใหญ่ อดเอ่ยไม่ได้ “จริงหรือเปล่า?”
ทหารที่มารายงานข่าวเอ่ยทันที “ฉินเฟิ่งชิงเป็นคนพูด จริงหรือไม่จริงพูดยาก แต่เขาจะไปป่าร้อยอสูรจริงๆ…”
“รนหาที่ตาย?”
สวี่โม่ฟู่อดด่าไม่ได้!
อันที่จริงก่อนหน้านี้ป่าร้อยอสูรไม่ได้เรียกว่าป่าร้อยอสูร ชื่อเรียกนี้เพิ่งจะเรียกอย่างแพร่หลายไม่นานมานี้
ก่อนหน้านี้ที่นี่เรียกป่าร้อยอสูรว่าป่าหมื่นปีศาจต่างหาก!
ป่าร้อยอสูรเป็นสถานที่แห่งหนึ่งในถ้ำใต้ดินเซี่ยงไฮ้ที่มีสัตว์ปีศาจและพืชปีศาจเยอะที่สุด ในนั้นมีปีศาจระดับสูงมากที่สุด ถึงกระทั่งเคยมีสัตว์ปีศาจขั้นเก้าสำแดงฤทธิ์มาก่อน ผู้ฝึกยุทธ์เมืองความหวังแทบไม่ไปที่นั่น ทั้งไม่กล้าไปด้วย
ไม่พูดถึงระดับกลางและระดับล่าง ยอดฝีมือขั้นเก้าก็ไม่ไปเช่นกัน
หากทำให้ปีศาจในป่าร้อยอสูรเคลื่อนไหวขึ้นมา ขั้นเก้าอาจจะคุมสถานการณ์ไม่ได้เสมอไป
ภายในป่าร้อยอสูรตกลงมีระดับสูงอยู่เท่าไหร่ ตอนนี้พูดได้ไม่ชัดเจนเหมือนกัน
———————
[1]คัมภีร์ซานไห่ เป็นหนังสือที่บันทึกเกี่ยวกับเรื่องราวของสัตว์ประหลาด รวมถึงตำนานเรื่องเล่าเหนือธรรมชาติของจีน
…………….