ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 434 ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำใสซื่อดีจริงๆ (1)
ตอนที่ 434 ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำใสซื่อดีจริงๆ (1)
…………….
‘ปัง!’
กลางป่ารกร้าง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าที่กำลังประมือกับฉินเฟิ่งชิงเผยสีหน้างุนงง ตอนที่ใกล้ตายยังพยายามบิดหัวไปมองข้างหลังอีกครั้ง
ฟางผิงชกหมัดทะลุหลังของเขา สั่นสะเทือนอวัยวะภายในพังทลาย ตอนนี้เอ่ยด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “นายท่าน เมืองเยามู่ของเราร่วมมือกับผู้ฝึกยุทธ์ดินแดนแห่งการเกิดใหม่แล้ว อย่าถือสากันเลย”
ผู้ฝึกยุทธ์ผมยาวเผยสีหน้าสับสนอย่างไม่กล้าเชื่อ ก่อนคอจะพับไปอีกฝั่ง สิ้นลมหายใจ
ฉินเฟิ่งชิงรีบคลำศพทันที เอ็ดด่าไปพลาง “นายนี่มันใจเหี้ยมจริงๆ!”
เจ้าหมอนี้คนใกล้จะตายอยู่แล้ว นายยังจะหลอกเขาอีก ใจเหี้ยมอำมหิตจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว!
ฟางผิงแค่นหัวเราะ “เดิมทีฉันก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์เมืองเยามู่อยู่แล้ว ฉันโกหกหรือไง?”
“นาย…”
ฉินเฟิ่งชิงยอมแล้วจริงๆ
คนตายไปแล้ว นายยังจะสวมบทบาทอีก?
แม้จะพูดอย่างนั้น เขากลับเคลื่อนไหวมืออย่างรวดเร็ว เก็บสินสงครามทั้งหมดยัดใส่กระสอบของตัวเอง
ฟางผิงไม่สนใจเช่นกัน เว้นเสียว่าเจ้าหมอนี้จะมีแหวนเก็บของ ไม่งั้นเอากลับไปก็ซ่อนเขาไม่ได้อยู่ดี ปล่อยให้เขาทำงานหนักไปก่อนก็ไม่ต่างกัน
ฆ่าขั้นห้าคนนี้แล้ว ฟางผิงก็ถอนหายใจว่า “ผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำใสซื่อจริงๆ ฉันบอกว่ามาจากเมืองเยามู่ พวกเขาก็เชื่อแล้ว ฉันเรียกนายท่านไม่กี่คำ คนพวกนี้ก็เชื่อเป็นจริงเป็นจัง ไอคิวช่าง…”
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างเหนื่อยใจ “นายแกล้งเป็นขั้นสาม คนเขาไม่เชื่อได้หรือไง? ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามอย่างนาย ยังจะลูกไม้แพรวพราวอีก?”
ผู้ฝึกยุทธ์เมืองเยามู่ปรากฏตัวขึ้นแถวนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
ตอนนี้ทั้งสองเมืองต่างกำลังทำสงครามกับเมืองความหวัง ทางตะวันออกก็เริ่มมีผู้ฝึกยุทธ์เมืองเยามู่เคลื่อนไหวแล้ว
หากฟางผิงอยู่ระดับกลาง คนพวกนี้อาจจะระวังตัวอยู่บ้าง แต่เขาแกล้งเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม อีกฝ่ายอยู่ขั้นห้าย่อมมั่นใจตัวเองอยู่แล้ว ต่อให้ฟางผิงคิดจะวางแผนกับพวกเขาก็ไม่มีความสามารถทำอะไรได้อยู่ดี
ผลปรากฏว่ามั่นใจจนเกินไป ฟางผิงล่ออีกฝ่ายไปหาฉินเฟิ่งชิง มนุษย์ถ้ำหมายจะฆ่าคน เดิมทีก็แทบนึกไม่ถึงว่าฟางผิงจะลอบจู่โจมเขาอย่างเงียบเชียบ
ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นห้าตอนต้นแถมยังเป็นการลอบโจมตี อีกฝ่ายแทบสัมผัสไม่ได้จึงฆ่าง่ายเป็นพิเศษ
ฉินเฟิ่งชิงไม่สนใจเหมือนกันว่าเขาจะใจอำมหิตขนาดไหน ยังไงก็ฆ่าคนไปแล้ว ได้รับของมาก็เพียงพอแล้ว
คำนวณส่วนแบ่งของตัวเองแล้ว ฉินเฟิ่งชิงก็ลูบคางว่า “หรือจะลองล่อขั้นหกมาฆ่าสักสองสามคนดี คนพวกนี้จนเกินไปแล้ว”
“นายต้านไหวหรือไง?”
ฟางผิงเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหก หมัดเดียวอาจไม่ตายเสมอไป ฆ่าไม่ตายก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว”
“ช่างเถอะ ไว้ค่อยว่ากัน ไปเขาสุนัขเม่นก่อนดีกว่า”
ระหว่างที่พูด ฉินเฟิ่งชิงก็เดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
เวลานี้ฟางผิงกลับไม่มีแรงกดดัน ทั้งไม่ทำตัวลับๆ ล่อๆ แล้วเช่นกัน เดินไปข้างหน้าอย่างเปิดเผย ฉันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำ เว้นเสียแต่ว่าผู้ฝึกยุทธ์ถ้ำจะลอบโจมตีเขา ไม่งั้นไม่จำเป็นต้องกังวลผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ด้วยซ้ำ
ผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์ไม่ค่อยเข้ามายุ่งเกี่ยวทางนี้เท่าไหร่
แม้ว่าทางตะวันออกจะไม่ใช่ที่ตั้งของเมืองเยาขุย แต่ทางนี้ก็นับว่าเข้ามาลึกในเขตใจกลางเมืองเยาขุย ตอนนี้ผู้ฝึกยุทธ์มนุษย์แทบไม่อาจย่างกรายเข้ามา
ฉินเฟิ่งชิงที่ทำตัวหลบๆ ซ่อนๆ เห็นเขาเดินกลางทุ่งรกร้างอย่างองอาจก็อิจฉาอยู่บ้าง
ความรู้สึกนี้จะฟินเกินไปแล้ว
จะเหมือนตัวเองได้ยังไง ยังต้องระวังจริงๆ ที่นี่นับว่าเป็นเขตใจกลางของเมืองถ้ำใต้ดินแล้ว
แม้ตรงนี้จะไม่ได้มีผู้ฝึกยุทธ์เมืองเยาขุยเยอะจนเกินไป แต่ถ้าเจอกับยอดฝีมือขั้นหก เขาก็ต้องระวังตัวไม่ให้ถูกกำจัดในกระบวนท่าเดียวเช่นกัน
—
หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง
ฟางผิงก็บีบหัวผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่คนหนึ่งระเบิดด้วยรอยยิ้ม ถอนหายใจว่า “เกือบจะพูดจนกลายเป็นเพื่อนกันจริงๆ ซะแล้ว แทบทำใจฆ่านายไม่ได้”
ฉินเฟิ่งชิงวิ่งพรวดพราดออกมาอีกครั้ง เริ่มคลำศพ
คลำไปก็เอ่ยประชดไปพลาง “นายทำบ้าอะไร แค่ขั้นสี่คนหนึ่ง นายซัดกระบวนท่าเดียวก็ตายแล้ว ยังจะคุยเป็นครึ่งชั่วโมง!”
ฟางผิงหัวเราะร่า “คุยแล้วมันทำไม? ว่างก็ว่างเฉยๆ เก็บข้อมูลสักหน่อย เจ้าหมอนี่น่าสนใจ อยากรับฉันเป็นบริวาร ยังจะให้ฉันเป็นหัวหน้าองครักษ์ให้เขาอีก หากจะติดตามเขาไปจริงๆ ก็เข้าไปในเมืองเยาขุยเลยได้ด้วยซ้ำ”
ฉินเฟิ่งชิงเหนื่อยใจอีกครั้ง นายนี่มันเอาเรื่องจริงๆ
แม้ฟางผิงจะหัวเราะไปอย่างนั้นยังคงเอ่ยว่า “แต่ก็ไม่ใช่การพูดคุยอย่างไร้ประโยชน์ คนกันเองเวลาพูดไม่มีอะไรให้กังวลอยู่แล้ว เจ้าหมอนี่ยังพูดข้อมูลออกมาไม่น้อย”
ฟางผิงใช้พลังจิตใจสำรวจเล็กน้อย เห็นว่าไม่มีใครมาก็เดินไปพลางเอ่ยไปพลาง “ดอกทานตะวันต้นนั้นของเมืองเยาขุย มีเมล็ดทานตะวันจริงๆ ทุกปีจะผลิตออกมากว่าสิบเม็ด ยอดฝีมือของเมืองเยาขุยต่างได้ประทานเป็นของรางวัล ใช้เพื่อเพิ่มพลังจิตใจ…ไม่สิ พวกเขาใช้คำว่าพลังศักดิ์สิทธิ์ แต่เม็ดสองเม็ด ประสิทธิภาพยังมีอย่างจำกัด หากเยอะหน่อย น่าจะให้ผลลัพธ์ไม่น้อย นายลองเดาว่าเมืองเยาขุยมียอดฝีมือระดับสูงเท่าไหร่?”
“เท่าไหร่?”
“สิบเก้าคน!”
ฟางผิงตาเป็นประกาย “สิบเก้าคน นี่เป็นจำนวนที่เจ้าหมอนี้รู้ ความสามารถของเมืองเยาขุย แข็งแกร่งกว่าหลายเมืองที่ฉันรู้จักซะอีก ปีศาจทานตะวันคงไม่ต้องพูดถึง เจ้าเมืองก็เหมือนกัน อารยะขั้นแปดของอีกฝ่ายกลับมีไม่เยอะ สามคน แม่ทัพขั้นเจ็ดสิบสี่คน นี่ถือเป็นเมืองที่มากที่สุดเมืองหนึ่งในบรรดาเมืองหลายแห่งที่ฉันรู้จัก! น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของเมล็ดทานตะวันด้วย ไม่งั้นคงไม่เยอะถึงขนาดนี้”
“เยอะชะมัด…”
ฉินเฟิ่งชิงใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ เช่นกัน กระซิบว่า “ฟางผิง แฝงตัวเข้าไป นายอาจจะแย่งจากขั้นเก้าไม่ได้ แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ได้ประทานเป็นของรางวัลพวกนั้น…”
“โดยทั่วไปได้รับก็มักจะใช้จนหมดเลย นายคิดว่ายังจะเก็บไว้หรือไง?”
ฟางผิงส่ายหัว คนโง่น่ะสิถึงจะเก็บสมบัติล้ำค่าไว้ใช้ยามคับขัน
อย่างฟางผิง เจอของที่มีประโยชน์ต่อตัวเอง ต้องใช้ทันทีอยู่แล้ว
เว้นแต่ว่าจะยังไม่จำเป็นต้องใช้ หรืออาจเป็นทรัพยากรที่ไม่ค่อยมีผลกับเขาเท่าไหร่ ถึงจะมีโอกาสเก็บไว้
ยอดฝีมือขั้นเก้า เมล็ดทานตะวันพวกนั้นน่าจะไม่มีประโยชน์กับพวกเขา ดังนั้นจึงประทานให้ผู้ฝึกยุทธ์พวกนั้น ใช้บ่มเพาะกับพวกระดับสูง
แต่ผู้ฝึกยุทธ์ที่ได้รับ ส่วนมากจะเป็นขั้นหกสูงสุด โดยทั่วไปมีโอกาสที่จะเก็บไว้น้อยมาก
ฉินเฟิ่งชิงครุ่นคิดเล็กน้อย รู้สึกว่าเหมือนจะอย่างนั้นเช่นกัน เอ่ยอย่างถอนหายใจว่า “งั้นก็เป็นเรื่องยากแล้ว”
จวนเจ้าเมืองน่าจะมีเก็บอยู่บางส่วน
ตระกูลหรือสำนักใหญ่ๆ อาจจะมีอยู่เล็กน้อยเช่นกัน
แต่คนพวกนี้ต่อกรยาก
แม้ว่าฟางผิงจะปะปนเข้าไปได้ อยากจะเอากลับมาอย่างเงียบๆ เป็นเรื่องยากอย่างมาก
ฟางผิงไม่สนใจเขา เอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง สถานการณ์เมืองเยาขุย ฉันทำความเข้าใจมาเล็กน้อย น่าจะไม่ต่างจากสังคมของพวกเราเท่าไหร่ แบ่งเป็นสำนัก ตระกูล จวนเจ้าเมืองสามขั้วอำนาจ ไม่สิ ยังต้องนับผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปเป็นอีกขั้ว ตอนนี้อันที่จริงที่พวกเราเจอเยอะที่สุดคือพวกของจวนเจ้าเมืองและผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปที่ถูกเกณฑ์มา ผู้ฝึกยุทธ์จากสำนักและตระกูลใหญ่เข้าร่วมสงครามไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็มีช่วงที่ไม่เจอเหมือนกัน ไม่งั้นเจ้าเมืองคงเป็นโลกทั้งใบของพวกเขาแล้ว ออกคำสั่งให้ต่อสู้ ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ อีกอย่างช่วงนี้เมืองเยาขุยขยายการรับทหาร กำลังทหารเยอะกว่าเมืองเทียนเหมิน กำลังพลเกือบสามแสนคน สรุปแล้วเมืองเยาขุยน่าจะมีทั้งหมดสามล้านคน น่าจะมากสุดแค่นั้น แบ่งหนึ่งส่วนสิบออกมาเป็นกำลังทหาร เมืองถ้ำใต้ดินพวกนี้ก็บ้าคลั่งดีเหมือนกัน”
แน่นอนว่าสามแสนคนไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด หากมีผู้ฝึกยุทธ์สามแสนคนจริงๆ นั่นก็น่ากลัวเกินไปแล้ว แต่สัดส่วนของผู้ฝึกยุทธ์ไม่น้อยเหมือนกัน
ก่อนหน้านี้กำลังทหารเมืองจู้หลิวมีไม่เยอะ เกรงว่าจะมีไม่กี่หมื่นคน
ทางเซี่ยงไฮ้น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับสงครามที่ต่อเนื่องมาหลายปีนี้
ฉินเฟิ่งชิงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่ “รู้เรื่องพวกนี้แล้วมีประโยชน์อะไร?”