ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน - ตอนที่ 44 การคาดเดาของอู๋จื้อหาว
ตอนที่ 44 การคาดเดาของอู๋จื้อหาว
มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งที่สอง
ต่อจากนั้นไม่กี่วัน ฟางผิงก็มักไปดูสองพี่น้องตระกูลถานฝึกท่ายืน
แค่เวลาไม่กี่วันกลับได้ประโยชน์กลับมามากมาย
สองพี่น้องตระกูลถานก็เข้าใจพูด บอกว่าไม่รบกวนพวกเขาเลย ดูได้ตามสบาย
ตอนที่พักจากการฝึก ฟางผิงเอ่ยข้อสงสัยออกมา สองพี่น้องก็ให้คำตอบเป็นอย่างดี
ท่าจวงกงถือเป็นเคล็ดวิชาที่เปิดเผยเพียงครึ่งเดียว ไม่มีทางลัดให้พลิกแพลง
ต้องอาศัยเวลาในการฝึกฝนเท่านั้น!
แต่พวกเขาไม่รู้ว่า ฟางผิงผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดา
คนอื่นฝึกท่าจวงกงนานเข้า ต้องสิ้นเปลืองปราณอย่างมาก จิตใจห่อเหี่ยว ยังไงก็ต้องหยุดเพื่อพักผ่อน
รอร่างกายฟื้นฟู ปกติใช้เวลาสองวันถึงสามวัน
ส่วนฟางผิงน่ะเหรอ?
ปราณหมด ก็ใช้ทรัพย์สินแลกเปลี่ยนกับปราณ!
จิตใจห่อเหี่ยวก็ใช้ทรัพย์สินเพิ่มค่าจิตใจขึ้นมา!
สองพี่น้องตระกูลถานฝึกท่ายืนระดับหนึ่ง ก็ยืนเพียงครึ่งชั่วโมงต่อวันเท่านั้น
ไม่ใช่ว่าฝืนต่อไปไม่ได้ แต่จะสิ้นเปลืองปราณและจิตใจเกินไป หลังจากนั้นยังต้องหมดเรี่ยวแรงไปหลายวัน
ปราณยังพอว่า กินยาบำรุงก็สามารถฟื้นฟูขึ้นมาแล้ว
แต่พลังจิตใจ สำหรับผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างแล้ว พวกเขาไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง
นอกจากพักผ่อนนอนหลับ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างก็ไม่รู้วิธีอื่นในการฟื้นฟูค่าจิตใจแล้ว
ส่วนฟางผิง ทำครั้งหนึ่งยี่สิบนาที นั่นก็สุดยอดแล้ว
แต่ชายหนุ่ม ใช้ทรัพย์สินแบบไม่คำนวณต้นทุนแม้แต่น้อย
ทุกวันกลับบ้าน ก็จะเริ่มฝึกตั้งแต่เจ็ดโมง
ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงกับการฝึก (เคล็ดเพิ่มพลัง) ส่วนท่าจวงกงนั้นเสียเวลาไปกว่าสี่ชั่วโมง
ไม่ถึงเที่ยงคืน ฟางผิงก็แทบไม่หยุดพักเลย
หากเขาไม่ง่วงนอนก็คงยืนจนถึงฟ้าสว่างไปแล้ว
ค่าปราณและจิตใจนั้นเต็มเปี่ยมตลอด ใช้เวลาฝึกฝนท่ายืนจนคุ้นชิน ฝึกวิชาครั้งหนึ่งเทียบได้กับการฝึกของสองพี่น้องตระกูลถานครึ่งเดือนถึงหนึ่งเดือนเสียด้วยซ้ำ!
ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่กี่วัน ฟางผิงก็รู้สึกว่าเขาอยู่ไม่ไกลจากจวงกงระดับหนึ่งแล้ว
—
พอถึงเย็นวันเสาร์ ฟางผิงก็ขอให้สองพี่น้องช่วยสอนเขาอีกครั้ง
ถานเฮ่านั้นไม่อะไร แต่แววตาของถานเทาไม่เหมือนเดิมแล้ว
เจ้าหมอนี่ น่ากลัวเกินไปแล้ว!
สองวันก่อนยังถามพวกความรู้เบื้องต้น ตอนนี้กลับถามเกี่ยวกับจวงกงระดับหนึ่งแล้ว
ชำเลืองมองฟางผิงอยู่นาน สุดท้ายถานเทาก็ทนไม่ได้ “ฟางผิง หรือนายใกล้จะทะลวงจวงกงระดับหนึ่งแล้ว?”
ถานเฮ่าอ้าปากค้าง “ทะลวง?”
ฟางผิงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ไม่ ฉันแค่ถามไปเท่านั้น อันที่จริงฉันฝึกยืนมาช่วงหนึ่งแล้ว แต่ฟังจากคนอื่นมาไม่ค่อยเป็นขั้นเป็นตอนเท่าไหร่ เข้าใจแค่ครึ่งเดียว ตอนนี้พวกนายมาช่วยสอน ฉันเลยเข้าใจขึ้นมาบ้าง ได้อะไรกลับมาเยอะเลย! ถึงจะยังไม่ทะลวงจวงกงระดับหนึ่ง แต่ฉันเชื่อว่าน่าจะเร็วๆ นี้ ครั้งนี้ต้องขอบคุณพวกนายแล้ว วันไหนพวกนายว่าง ให้ฉันเลี้ยงข้าวพวกนายสักมื้อละกัน”
สองพี่น้องจะไม่สนใจ หรือใจกว้างก็ช่าง แต่ครั้งนี้พวกเขาช่วยฟางผิงไม่น้อยเลยจริงๆ
บางท่า หากไม่มีคนสอนก็อาจจะทำผิด ฟางผิงฝึกฝนเอง คงจะไม่ก้าวหน้าเร็วถึงขนาดนี้
“ใกล้จะทะลวงจวงกงระดับหนึ่งจริงๆ ด้วย”
ถานเทาพึมพำ มองฟางผิงอีกครั้ง รู้สึกอิจฉาอยู่บ้าง
แม้ปราณจะสูงกว่าพวกเขา แต่ทะลวงท่าจวงกงไม่ได้ สองพี่น้องคงไม่สนใจอะไร
ค่าปราณสูงเท่าไหร่ล้วนไม่เป็นปัญหา
พ่อของพวกเขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์คนหนึ่ง รู้เรื่องมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว
พวกเขาเรียนเรียนจวงกงระดับหนึ่ง รอจนเข้ามหาวิทยาลัย เรียน (เคล็ดหลอมกระดูก) ทั้งมีทรัพยากรที่โรงเรียนจัดหาให้
ภายในหนึ่งปี พวกเขาก็มีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์แล้ว
แต่ถ้าฟางผิงมีค่าปราณสูงอย่างเดียวคงไม่น่ากลัวหรอก
ถึงโจวปินจะมีค่าปราณหนึ่งร้อยยี่สิบห้าแล้วยังไงล่ะ?
เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ก็ต้องเรียนจวงกงตั้งแต่ต้น เมื่อบรรลุจวงกงระดับหนึ่งถึงจะได้ฝึกร่วมกับ (เคล็ดหลอมกระดูก) ยังไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าไหร่
เป็นไปได้ว่า สองพี่น้องทะลวงด่านเป็นผู้ฝึกยุทธ์ หลอมกระดูกบนและล่างแล้ว เจ้าพวกนี้ถึงจะมีโอกาสทะลวงด่านได้
แต่นั่นมันเมื่อก่อน!
ตอนนี้ฟางผิงใกล้จะบรรลุจวงกงระดับหนึ่งแล้ว นั่นก็เท่ากับยืนอยู่บนลู่วิ่งเดียวกับพวกเขา
ถานเทาอิจฉาอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเอ่ยว่า “เลี้ยงข้าวคงไม่จำเป็นหรอก ตอนนี้ทุกคนต่างก็ยุ่ง รอสอบศิลปะการต่อสู้แล้ว พวกเราค่อยหาเวลาไปกินข้าวด้วยกันเถอะ”
ค่าปราณของฟางผิงไม่ได้น้อย วิชาวัฒนธรรมก็ใช้ได้
เจ้าหมอนี่มีโอกาสสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะต่อสู้
รอเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ทุกคนต่างเป็นนักศึกษาสายศิลปะการต่อสู้ ถึงเวลานั้นกินข้าวเชื่อมสัมพันธ์คงจะดีกว่า
พวกเขาไม่มีเวลา ฟางผิงก็ยุ่งเหมือนกัน
ขอบคุณพวกเขาอีกครั้ง ก่อนฟางผิงจะปลีกตัวไป
รอฟางผิงจากไปแล้ว สองพี่น้องก็เจออู๋จื้อหาวที่ชั้นสอง
ถานเฮ่าคว้าคอเสื้อของอู๋จื้อหาวทันที เอ่ยอย่างหงุดหงิด “เสี่ยวอู๋ กล้าหลอกพี่ฮ่าวงั้นเหรอ!”
อู๋จื้อหาวมึนงง ก่อนจะโมโหขึ้นมา “ปล่อยมือจากตัวฉัน คิดว่าฉันกลัวนายสองพี่น้องงั้นเหรอ สู้ตัวต่อตัวสิวะ!”
“ตัวต่อตัวปู่แกสิ!”
ถานเฮ่าก่นด่า ก่อนจะคลายมือออก ยังคงอารมณ์เสียอยู่บ้าง “นายบอกว่าฟางผิงฐานะธรรมดาไม่ใช่เหรอ? ช่วงนี้เขาฝึกจวงกงพัฒนาอย่างก้าวกระโดด ค่าปราณเต็มเปี่ยม ว่าตามเหตุผล มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้สิ”
อู๋จื้อหาวก็หงุดหงิด “เรื่องแค่นี้?”
เมื่อก่อนเขาก็สงสัยเรื่องนี้
แต่ตอนนี้ อู๋จื้อหาวคิดว่าเขาพอจะเข้าใจบ้างแล้ว
ถือโอกาสตอนที่คนอื่นไม่สนใจ อู๋จื้อหาวกระซิบบอก “เจ้าหมอนี่น่าจะมีคนหนุนหลัง!”
“ใคร?”
“รุ่นพี่หวัง!”
อู๋จื้อหาวพูดด้วยตาใสแจ๋ว “ครั้งก่อนรุ่นพี่หวังมาโรงเรียน ฟางผิงมาขอเบอร์จากฉัน หลังจากนั้นเหมือนจะนัดเจอกัน! หลักๆ คุยเรื่องอะไรฉันไม่รู้ แต่เป็นได้ว่าจะขอความช่วยเหลือจากรุ่นพี่หวัง ไม่อย่างนั้น พวกนายว่า เขาจะก้าวหน้าเร็วขนาดนี้ได้ยังไง?”
“รุ่นพี่หวังจินหยาง?”
สองพี่น้องประสานสายตากัน ตกใจอยู่บ้าง!
อู๋จื้อหาวไม่รู้ความนัย พวกเขามีพ่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งยังรู้เรื่องอะไรมาบ้าง
ไม่กี่วันก่อน เด็กหนุ่มอายุน้อย คนเก่งของเมืองหยางเฉิง เด็ดหัวผู้ฝึกยุทธ์ที่ใกล้ทะลวงขั้นสามเพียงลำพัง
หวังจินหยางเพิ่งอายุเท่าไหร่?
นักศึกษาปีหนึ่งที่อายุสิบเก้าปี!
ฆ่าผู้ฝึกยุทธ์ที่ใกล้ทะลวงขั้นสามได้ หวังจินหยางอยู่ขั้นไหนกัน?
ขั้นสอง? หรือขั้นสามแล้ว?
คนประเภทนี้ ขนาดพ่อของพวกเขายังพูดถึง หากเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะการต่อสู้หนานเจียงแล้ว ต้องไปประจบประแจงสักหน่อย
ประจบประแจง แต่ไม่ใช่ตีสนิท
ปีหนึ่งหวังจินหยางก็ร้ายกาจขนาดนี้แล้ว รอจนเรียนจบ อาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางก็ได้!
คนแบบนี้จบออกมา เข้าสู่แวดวงการเมือง อย่างน้อยก็คงอยู่ระดับผู้บัญชาการ
หากเป็นระดับเมืองก็คงเป็นผู้ว่าการเมือง
ระดับมณฑลก็ไม่พ้นเป็นผู้ว่ามณฑล
หยางเฉิงเป็นเพียงเมืองระดับอำเภอ คงเรียกผู้ว่าการเมืองไม่ได้
หวังจินหยางสั่งสมประสบการณ์มาหลายปี ในอนาคตมีความหวังจะเป็นผู้ว่ามณฑลอยู่แล้ว
คนแบบนี้ ไม่ประจบได้เหรอ?
สองพี่น้องอิจฉาตาร้อน เจ้าฟางผิงประจบรุ่นพี่หวังจริงๆ สินะ?
อู๋จื้อหาวเห็นแบบนั้นก็เอ่ยเสียงเบา “ฉันคิดว่ามีโอกาสสูง ดังนั้นพวกนายอิจฉาไปก็ไม่มีประโยชน์ อีกอย่าง คุณลุงถานก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ ฉันต่างหากที่จะเป็นฝ่ายอิจฉาพวกนาย!”
“นายจะเข้าใจอะไร!”
ถานเฮ่าด่าอย่างหงุดหงิด แม้ว่าพ่อเขาจะอยู่ที่นี่ ก็ไม่กล้าจะยกมาเทียบกับหวังจินหยางหรอก
คนหนึ่งอายุเกือบจะห้าสิบเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่ง อีกคนอายุสิบเก้ายังไม่รู้ว่าอยู่ขั้นสองหรือขั้นสาม
นำมาเทียบกันได้งั้นเหรอ?
ตอนนี้พ่อคาดหวังให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ส่วนพ่อ นอกจากในชีวิตประจำวันที่พยายามฝึกวิชารักษาปราณให้คงที่ ก็ไม่ได้ฝึกอะไรอย่างอื่นแล้ว
ฝึกวิชาต้องใช้เงิน เข้าใจหรือเปล่า!
ครอบครัวหนึ่งฝึกวิชาถึงสามคน จะหวังให้พึ่งสวัสดิการของตาแก่นั่นคนเดียว ก็คงกินแกลบไปนานแล้ว
แต่หวังจินหยางไม่เหมือนกัน หมอนั่นยังอายุน้อย ระดับสูงกว่าพ่อเขา ทั้งยังเป็นนักเรียน ยังไงก็ต้องได้รับทรัพยากรง่ายกว่า
เขาหนุนหลังฟางผิงอยู่ เกรงว่าฟางผิงคงจะกินยาบำรุงปราณเหมือนเป็นลูกอม
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงความคิดเท่านั้น ถึงฟางผิงจะกิน ก็ไม่ใช่ว่าปราณจะฟื้นฟูได้รวดเร็วขนาดนี้
“รุ่นพี่หวังถูกใจอะไรในตัวฟางผิงกัน?”
“หรือจะเป็นตอนที่ไปรับครั้งก่อน ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ พวกเราไปต้อนรับด้วยก็ดี!”
“น่าเสียดายจริงๆ!”
“…”
สองพี่น้องถอนหายใจยาว อู๋จื้อหาวยิ่งไม่สบอารมณ์ “อย่าพูดถึงดีกว่า ขนาดฉันไปยังไม่ได้หน้าอะไรเลย”
เขาเดาว่าอาจเป็นเรื่องที่ฟางผิงกินยาบำรุงแล้วปราณพุ่งขึ้นมา เลยทำให้หวังจินหยางเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่ต่อเขา
แน่นอนว่า อาจจะเกี่ยวกับความกล้าหาญของฟางผิงเช่นกัน
เจ้าหมอนั่นกล้าเป็นฝ่ายโทรหาหวังจินหยางก่อน แค่จุดนี้อู๋จื้อหาวก็นับถือเขาแล้ว
ผู้ฝึกยุทธ์ต้องกล้าแย่งชิง!
คำพูดนี้หลายคนเคยได้ยินมาก่อน แต่จะมีหนุ่มสาวกี่คนกันที่เข้าใจ
ตอนนี้อู๋จื้อหาวคิดว่า เขาเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว หากฟางผิงไม่กล้าแย่งชิง ไม่โทรหาหวังจินหยาง คงจะไม่มีใครหนุนหลัง
แม้เขาจะทายไม่ถูกทั้งหมด แต่ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกันมาก
ถ้าตอนนั้นฟางผิงไม่โทรหาหวังจินหยาง ก็คงจะเดินมาไม่ถึงจุดนี้หรอก
แต่ฟางผิงมีการเตรียมตัวมาก่อน ใช้ผลประโยชน์เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน
ถ้าเป็นอู๋จื้อหาวโทรไป ต่อให้หวังจินหยางจะใจกว้างขนาดไหน ก็คงแค่ให้คำแนะนำไม่กี่ประโยคเท่านั้น ไม่อาจช่วยเหลือขนาดนี้หรอก
—
ฟางผิงไม่รู้อยู่แล้วว่า อู๋จื้อหาวคาดเดาเรื่องราวของเขามั่วซั่ว
แต่นี่ก็อยู่ในแผนของฟางผิง
เขาไม่ได้คิดจะปิดบังไปตลอด เรื่องแพะรับบาปก็คิดมานานแล้วว่าจะโยนให้หวังจินหยาง
แต่เป็นตอนที่สอบศิลปะการต่อสู้เสร็จแล้ว ไม่ใช่ตอนนี้
ถึงพวกอู๋จื้อหาวจะคิดมาทางนี้ ฟางผิงรู้ก็คงไม่ปฏิเสธเหมือนกัน
ออกมาจากโรงยิมแล้ว ฟางผิงก็ไม่ได้กลับบ้าน ไปกวนหูหยวนแทน
หลายวันนี้ ของทยอยเข้ามาส่ง ฟางผิงให้คนไปจัดการติดตั้งเรียบร้อยแล้ว
ตอนกลางวัน ฟางผิงติดต่อบริษัททำความสะอาดให้ช่วยเก็บกวาดห้อง
เมื่อเข้ามาในตอนเย็น บ้านใหม่ก็ถูกจัดเก็บอย่างสะอาดสะอ้าน
เขาเดินรอบบ้าน ก่อนจะถอดชุดนอกออก เริ่มฝึก (เคล็ดหลอมกระดูก)
หลายวันนี้ เขาอาศัยข้ออ้างว่า ออกกำลังที่โรงเรียนเลยทำให้กลับบ้านช้า พ่อแม่จึงไม่สงสัยอะไร
—
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมงก็ฝึกเสร็จ
ตั้งแต่ได้เคล็ดวิชาจนถึงตอนนี้ ถือเป็นเวลาเพียงหนึ่งอาทิตย์เท่านั้น
แต่ความสามารถของฟางผิง กลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ทรัพย์สิน : 3,240,000
ปราณ : 129 แคล
จิตใจ : 150 เฮิรตซ์
ค่าทรัพย์สินเปลี่ยนเป็นจำนวนเต็ม นั่นเพราะว่าหลายวันนี้พ่อแม่ให้เงินค่าข้าวและค่าขนมฟางผิงสองร้อยหยวน
ฟางผิงไม่อยากได้ แต่คิดไปคิดมาก็ไม่อาจปฏิเสธ
ถ้าไม่รับเงิน พ่อแม่คงจะกังวลกว่า
รับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน รอการสอบสิ้นสุดแล้ว ค่อยเปิดเผยเรื่องราวก็ไม่สาย
อาทิตย์ก่อนที่เพิ่งได้รับเคล็ดวิชา ฟางผิงมีค่าทรัพย์สิน สามล้านสามแสนเจ็ดหมื่นกว่า
ตอนนั้นปราณอยู่ที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่แคล
ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์ ปราณเพิ่มขึ้นอีกห้าแคล ค่าจิตใจเพิ่มอีกสิบเฮิรตซ์
ครั้งก่อนตอนเริ่มฝึกฟางผิงเสียไปหนึ่งหมื่นห้าพันหยวน
ครั้งนี้กลับเสียไปถึงหนึ่งแสนสามหมื่นกว่า แทบจะเป็นสิบเท่า
แต่ฟางผิงยังคงพอใจ แม้ก่อนหน้านี้จะเสียไปน้อย แต่ขีดจำกัดเพิ่มขึ้นยาก อาศัยแค่การออกกำลังกาย คงจะไม่ไหว
ตอนนี้มี (เคล็ดหลอมกระดูก) และจวงกง ขณะที่เขาสูญเสียค่าปราณและจิตใจ ร่างกายและกระดูกของเขาก็แข็งแรงขึ้นตาม
ทรัพย์สินที่แลกมา ไม่ได้หมายถึงเพียงปราณและจิตใจที่เพิ่มขึ้น แต่เป็นร่างกายที่แข็งแกร่งทุกสัดส่วน
ทั้งยังสามารถประหยัดเวลาได้มาก เงินไม่กี่แสนถือว่าใช้ได้คุ้มค่า
“ยังห่างจากการตรวจร่างกายสิบเอ็ดวัน ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นปราณจะเพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่…”
วันนี้เป็นวันที่ 19 เมษายน ฟางผิงรับรู้ได้ว่า ปราณของเขาเพิ่มได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อวานอยู่ที่หนึ่งร้อยยี่สิบเก้า วันนี้ฝึกทั้งวัน ขีดจำกัดของปราณกลับไม่เพิ่มขึ้น
“ดูท่ายังต้องรอจวงกงทะลวงระดับหนึ่ง ฝึกรวมกับ (เคล็ดหลอมกระดูก) เวลานั้นก็คงจะเพิ่มได้อย่างรวดเร็ว จวงกงระดับหนึ่ง คงจะมาถึงอีกไม่กี่วันนี้แน่”
ฟางผิงคิดในใจ ก่อนจะอาบน้ำลวกๆ แบกกระเป๋าออกไปจากกวนหูหยวน
———————-